เมืองเล็กๆ ในหุบเขาที่มีบรรยากาศดีเยี่ยมในการพักผ่อน เฟรญ่ามาที่นี่ตั้งแต่เมืองสองปีก่อน เธอตั้งใจว่าจะพักผ่อนเป็นการชั่วคราว แต่ทว่าเธอดันชอบบรรยากาศความเงียบและความอบอุ่นของที่นี่มากทีเดียว ในระหว่างที่พักอยู่ที่นี่ ก็มีเจ้าของโรงแรมประกาศขายโรงแรมเพราะว่านางจะแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่นกับสามี เฟรญ่ามองว่านั่นคือโชคชะตาล่ะ
แน่นอนว่าเงินที่เธอมีในบัญชีนั้น เธอไม่ต้องทำงานจำนวนเงินในนั้นก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แบบไม่มีวันกินใช้จนหมดเลยด้วยซ้ำ เพราะมันถูกฝากเข้าเรื่อยๆ จากท่านพี่มาทอส แต่เฟรญ่าชอบที่นี่ เธอถึงได้ตัดสินใจซื้อโรงแรมนี้ต่อจากเจ้าของคนเก่า และปรับปรุงใหม่เพื่อให้โรงแรมแห่งนี้เหมาะสมกับบรรยากาศที่จะต้อนรับนักเดินทางต่างๆ ที่หลั่งไหลเข้ามา “มีห้องพักว่างรึเปล่าครับ” เฟรญ่าส่งยิ้มให้กับทหารรับจ้างคนหนึ่งที่เดินเข้ามาถาม “ไม่ทราบว่าอยากจะได้ที่พักกี่ห้องคะ” “สี่ห้องครับ ขอห้องที่ดีที่สุดสำหรับหัวหน้าของเราด้วย” เฟรญ่าหยิบตารางการเข้าพักขึ้นมาดู ปกติแล้วเธอไม่ได้เป็นพนักงานต้อนรับด้วยตัวเอง เพราะจะมีเกรซเป็นคนรับหน้าที่นี้ แต่เพราะว่าวันนี้ในหมู่บ้านมีงานเลี้ยงฤดูเก็บเกี่ยว เกรซที่ต้องช่วยแม่ของนางตั้งร้านขายของก็เลยมาถึงที่นี่ช้าจากเวลางานนิดหน่อย “สี่ห้องนะคะ ไม่ทราบว่าจะพักกี่วันคะ” เดม่อนมองหน้าของสตรีเบื้องหน้าด้วยใบหน้าที่ขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อ เขาไม่เคยพบเจอสตรีที่งดงามโดดเด่นเช่นนี้มาก่อนเลย “เรื่องนั้นข้าคงจะต้องไปถามหัวหน้าของเราก่อน..รอสักครู่นะครับ” “คงจะดีหากว่าท่านเรียก..หัวหน้าของท่านมาคุยกับข้า เพราะมีเรื่องค่าประกันและค่าเข้าพักห้องชั้นบนที่แพงกว่าห้องอื่นเล็กน้อย..” ในเมื่อเขาต้องการห้องที่ดีที่สุด เช่นนั้นก็จะต้องจ่ายในราคาที่สมน้ำสมเนื้อหน่อยสิ เธอไม่ได้เห็นแก่เงินแต่เพราะว่าในช่วงนี้คืองานเทศกาลที่ใหญ่มากในเมืองเดียลอร์ล จะมีนักเดินทางหลั่งไหลเข้ามาที่นี่อย่างแน่นอนในช่วงสองสัปดาห์นี้และห้องชั้นบนสุดของโรงแรมถือเป็นห้องพักที่นักเดินทางมากมายต้องการเข้าพัก.. เดม่อนเดินออกมาด้านนอกเพื่อมาตามหัวหน้าของเขาไปพูดคุยกับผู้ดูแลห้องพัก “ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะเรื่องเยอะมากทีเดียว..ไม่เป็นไรเดม่อน เดี๋ยวข้าจะเข้าไปคุยเอง พวกเจ้าพาม้าของเราไปพักที่ด้านหลังเถิด” มาร์เซลคิดว่าเขากำลังหงุดหงิดมากพอสมควร เพราะว่าเขาเดินทางอย่างเหนื่อยล้าเพื่อมาที่นี่ เขาเดินเข้าไปด้านในโรงแรม บรรยากาศด้านที่นี่ดูราวกับคฤหาสน์หรูๆ สักหลังเลย ดวงตาสีทับทิมของเขาจ้องมองไปยังพนักงานต้อนรับที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ สิ่งที่แสนสะดุดตาคือเรือนผมสีเงินที่เด่นชัดและดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล ดวงหน้างามในแบบที่เขาเข้าใจท่าทีประหม่าของเดม่อนที่เดินออกไปจากที่นี่แล้วละสิ คราแรกเขาคิดว่าเพราะ เดม่อนอาจจะถูกผู้ดูแลโรงแรมทำท่าเรื่องมากใส่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้น “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่านายท่านจะเข้าพักกี่วันคะ” เฟรญ่าเอ่ยถามออกมาด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ชายเบื้องหน้าดูเด็กมากกว่าที่เธอคิด เพราะในคราแรกที่ทหารรับจ้างคนแรกบอกว่าจะไปเรียกหัวหน้าของเขามา เธอคิดว่าจะเป็นชายหนุ่มที่ดูสูงอายุและน่าเกรงขามมากกว่านี้ซะอีก “เรื่องนั้นข้าจะพักอยู่ที่นี่สักสองเดือนครับ..” สองเดือน? ถือเป็นระยะเวลาที่นานมากพอสมควรกับโรงแรมหรูและทหารรับจ้างแบบพวกเขา “เช่นนั้นข้าต้องขอเก็บค่าเข้าพักล่วงหน้า..” เขาวางถุงทองลงบนเคาน์เตอร์ “เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ ว่าแต่พี่สาวเป็นพนักงานของที่นี่เหรอครับ” แค่ดูชุดเดรสที่สวมก็รู้แล้วว่าเธอไม่ได้เป็นพนักงานแต่เป็นเจ้าของที่นี่ต่างหาก “ค่ะ..ยินดีต้อนรับเข้าสู่โรงแรมของเรานะคะ นี่เป็นกุญแจห้องทั้งสี่ห้อง..ช่วงเช้าจะมีอาหารเช้ายกขึ้นไปให้ที่หน้าห้อง หากท่านไม่ต้องการสามารถปฏิเสธได้..” มาร์เซลยกยิ้มออกมา “พี่สาวเป็นคนยกอาหารขึ้นไปรึเปล่าครับ เพราะหากพี่ยกขึ้นไปให้ ข้าคงจะไม่ปฏิเสธ” รอยยิ้มของเฟรญ่ามันแข็งค้างอยู่บนใบหน้าของเธอ ชายเบื้องหน้านั้นมีใบหน้าที่สะดุดตามากทีเดียว เรือนผมสีแดงและรอยยิ้มที่ทำให้เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มน่ารักๆ คนหนึ่ง แต่เขาเป็นทหารรับจ้างนี่แหละ หากเขาได้เป็นหัวหน้าตั้งแต่อายุเท่านี้ แสดงว่าเขาคงจะสังหารคนมานับไม่ถ้วนแล้ว ทางที่ดีเธอไม่ควรไว้ใจใบหน้าซื่อๆ และรอยยิ้มหวานๆ ของเขา.. “เรื่องนั้นพนักงานของที่นี่จะเป็นผู้ยกขึ้นไปค่ะ ขอทราบชื่อของผู้เข้าพักด้วยค่ะ” มาร์เซลหัวเราะออกมาเบาๆ กับการขีดเส้นของสตรีเบื้องหน้า เธอไม่ได้สนใจเขาเลย..ในดวงตาสีน้ำทะเลนั่นไม่ได้หวั่นไหวไปกับใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเขาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามในแววตาของเธอแสดงออกให้เห็นถึงความไม่ไว้ใจ ถึงอย่างไรเขาก็จะต้องพักอยู่ที่นี่นานมากอยู่แล้วเพราะอย่างนั้นลองเล่นสนุกกับสตรีที่ดูท่าทางว่าจะมอบความสนุกให้เขาหน่อย น่าจะดีกว่า “มาร์เซลครับ..ชื่อของข้าคือมาร์เซล” เฟรญ่าชะงักเล็กน้อยเมื่อเขาเอ่ยชื่อของตัวเองขึ้นมา เธอเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของเขา.. มาร์เซล..ชื่อนี้มันชื่อเดียวกันกับเจ้าของดาบที่เธอใช้ปลิดชีพตัวเองในชาติที่แล้วเลย..คงไม่ใช่หรอกมั้ง ก็แค่คนชื่อเหมือนทั่วๆ ไป “ค่ะท่านมาร์เซล ขอให้ช่วงเวลาที่ท่านพักผ่อนอยู่ที่เดียลอร์ลมีแต่ความสุขนะคะ” เรื่องนั้นเขามีความสุขอย่างแน่นอน หากที่นี่มอดไหม้น่ะนะ..แต่เมื่อถึงเวลานั้นดวงตาสวยๆ คู่นั้นจะร้องไห้ออกมารึเปล่านะ ชักสงสัยแล้วละสิ “แล้ว..ที่นี่มีพี่สาวคนสวยทำงานอยู่คนเดียวงั้นเหรอครับ” เฟรญ่าส่งยิ้มให้เขา ทำไมหมอนี่ยังไม่ไปจากเธอสักทีนะ..กุญแจห้องพักก็ให้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ “เพราะว่าวันนี้เป็นวันแรกของเทศกาลเก็บเกี่ยว พนักงานคนอื่นๆ ก็เลยมาถึงที่นี่ช้าค่ะ” มาร์เซลพยักหน้า “เป็นแบบนี้นี่เอง หมายความว่าในโรงแรมแห่งนี้มีพี่สาวอยู่คนเดียวใช่ไหมครับ แบบนั้นถ้าหากว่าข้าลักพาตัวพี่ขึ้นไปบนห้องชั้นบนสุดด้วยกันก็คงจะไม่มีใครรู้อย่างนั้นสินะ..” เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มของเฟรญ่าแข็งค้างบนใบหน้า เธอไม่ได้ถูกพูดถึงในลักษณะนี้เป็นครั้งแรกสักหน่อย แต่เพราะว่าใบหน้าของเด็กหนุ่มเบื้องหน้ามันค่อนไปทางน่ารักมากกว่าที่เขาจะกล่าวถ้อยคำหยอกล้อที่รุนแรงออกมาแบบนั้น “ฮะ.ฮ่า ท่านล้อเล่นเกินไปแล้วนะคะ” เฟรญ่าหัวเราะออกมาทั้งๆ ที่ในใจของเธอไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลย มาร์เซลส่งยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์ให้กับเฟรญ่าอีกครั้ง “แล้ว..พี่สาวชื่อว่าอะไรกันครับ มันไม่ยุติธรรมนี่หากว่าพี่จะรู้ชื่อของข้าแค่ฝ่ายเดียวน่ะ” เขาไม่ได้ปฏิเสธว่าตัวเองพูดเล่น มาร์เซลกวาดสายตามองไปรอบๆ เขากำลังคิดจะพาพี่สาวคนสวยขึ้นไปบนห้องด้วยกันจริงๆ ต่างหากมาร์เซลพึ่งรู้ว่าการนั่งเรือสำเภามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกเดินทางมายังเมืองทางใต้พร้อมกันกับเฟรญ่า นี่คือการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของเราก่อนที่เขาจะกลับไปทำงานในตำแหน่งดยุคอย่างเป็นทางการ เราทั้งคู่เคยพูดเอาไว้ว่าอยากจะล่องเรือมาเที่ยวที่เมืองทางใต้มาชมทะเลที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และในยามนี้เราก็กำลังอยู่กลางทะเลบนเรือสำเภาที่ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ส่วนตัว เพราะว่าเขาเหมาเรือลำนี้เอาไว้ เพื่อมากับเฟรญ่าเพียงแค่สองคนเท่านั้นแต่เขาอาเจียนไปสิบรอบแล้วเห็นจะได้ เพราะเขาไม่เคยนั่งเรือมาก่อน“ออกมานั่งมองทะเลดูไหม เผื่ออาการของเจ้าจะดีขึ้น”อันที่จริงแค่ได้มองหน้าสวยๆ ของเธอก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแบบมากๆ แล้ว เขาจับมือของเฟรญ่าเอาไว้ก่อนจะซบใบหน้าลงไปบนไหล่ของเธอ“รักนะครับ..รักที่สุดเลย”เฟรญ่าไม่รู้ว่าเพราะอายุที่เขาเด็กกว่ามันเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า แต่เขาทำให้เธอรู้สึกราวกับมีลูกสุนัขตัวใหญ่ที่กำลังออดอ้อนเธอตลอดเวลา มาร์เซลติดการสัมผัสมากๆ เขาจะต้องจับมือหรือไม่ก็กอดและหอมแก้มเธอตลอดเวลา และเธอเองก็ชื่นชอบการแสดงความรักเช่นนั้นมากทีเดียว เฟรญ่าจึงไม่เคยผลักไสหรือว่าดุเขาในเร
บอกตามตรงว่านี่คงจะเป็นงานแต่งที่เจ้าสาวสบายมากที่สุดในจักรวรรดิแห่งนี้ เฟรญ่าแทบไม่ต้องจัดเตรียมอะไรเลยเพราะว่าพี่เจนนีสและลิเวียจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว เธอเพียงสวมชุดเจ้าสาวที่แสนงดงามและเข้าร่วมงานแต่งเท่านั้นเองเฟรญ่าหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อมาร์เซลพาเธอออกมาจากงานแต่งที่แสนยิ่งใหญ่ เขาพาเธอมาที่คฤหาสน์ฮอร์ตันที่เราพึ่งได้รับมาเป็นของขวัญแต่งงาน และในห้องนอนก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ มันทั้งหอมหวานและเย้ายวนมากทีเดียว“เจ้ากำลังข้ามขั้นพิธีแต่งงานอยู่นะมาร์เซล เราไม่ควรด่วนชิงเข้าหอก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม..”เขาส่งยิ้มให้เธอในขณะที่กำลังถอดกระดุมเสื้อของตัวเองออกมา เขาอดทนมานานมากพอสมควร อดทนแล้วอดทนอีกเพราะว่าเฟรญ่าพึ่งจะฟื้นขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ได้แตะต้องเธอเลย แต่วันนี้เขาอดทนไม่ไหวอีกแล้ว“ไม่เห็นจะต้องสนใจแขกที่เข้ามาร่วมงานเลยนี่ นี่คืองานแต่งของเราและข้าอยากอยู่กับท่าน..เข้าหอเร็วหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ หรือว่าพี่กังวล"เฟรญ่าดึงผ้าคลุมหน้าของเธอออกไป เธอไม่ได้ยืนมองมาร์เซลถอดชุดอยู่เฉยๆ แต่เธอเองก็ถอดชุดเดรสแต่งงานออกเช่
บัตรเชิญของงานแต่งเลดี้ทีเซียส วีรสตรีที่ร่วมการกอบกู้เดียลอร์ลนั้นถูกส่งให้แก่ขุนนางมากมายในจักรวรรดิ บอกตามตรงว่าในตอนที่เฟรญ่าเห็นชื่อและรูปวาดของตัวเองเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เธอค่อนข้างตกใจมากพอสมควร เพราะเธอไม่คิดว่าเรื่องที่มาร์เซลกล่าวออกมานั้นมันจะเป็นเรื่องจริง“ให้ตายเถอะ ข้ารับมือกับคำว่าวีรสตรีอะไรพวกนั้นไม่ไหวจริงๆ”ลิเวียหัวเราะออกมา“เจ้าคู่ควรกับมันนะเฟร เรื่องความรักที่แสนอบอุ่นนี้ก็ด้วย มาร์เซลคือบุรุษที่ดีมากทีเดียว”ลิเวียกล่าวพร้อมกับสวมสร้อยคอที่มีสีเดียวกับดวงตาของเฟรญ่าลงไปบนลำคอยาวระหง เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอแต่งงานแล้ว เฟรญ่าคือสตรีที่งดงามมากๆ ในสายตาของลิเวีย เราพบเจอกันเพราะพี่เจนนีสมาทำงานที่ทีเซียสและพี่สาวก็ร้องขอให้เธอมาเป็นเพื่อนกับเฟรญ่า เพราะสงสารที่เฟรญ่าอยู่คนเดียวในคฤหาสน์ที่แสนกว้างใหญ่ และนั่นทำให้ลิเวียได้มาพบเจอกับคาร์เตอร์ จนได้แต่งงานและเป็นจักรพรรดินีทุกวันนี้เพราะความสามารถของเฟรญ่าเลยเธอถึงได้มีความสุขมากๆ ในช่วงเวลาที่เฟรญ่ากำลังจะได้แต่งงาน เพราะมันเหมือนกับว่าครั้งนี้เป็นเธอแล้วนะที่ได้ส่งเฟรญ่าไปให้ถึงฝั่งฝันกับความรักที่ดีงา
มาทอสพาเฟรญ่าและเจนนีสเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงพร้อมกันในอีกสองสัปดาห์ต่อมา คาร์เตอร์ตั้งขบวนเพื่อรอรับการกลับมาของเฟรญ่า ทันทีที่เธอเดินลงมาจากรถม้า คาร์เตอร์ก็พุ่งตัวเข้าไปกอดเฟรญ่าเอาไว้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมา และหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นมันกำลังสั่นคลอนพี่ชายที่แสนกล้าหาญของเธออย่างหนักเลยสินะเฟรญ่าพบเจอคาร์เตอร์ในครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบสี่ปี เขาคือองค์รัชทายาท ตามสายเลือดแล้วท่านพี่มาทอสคือน้องชายขององค์จักรพรรดิผู้เป็นพ่อของคาร์เตอร์ เราทั้งคู่จึงถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันและสนิทสนมกันมากทีเดียว เพราะแผลในใจที่เคยได้รับจากแม่เลี้ยงทำให้เฟรญ่านั้นหวาดกลัวผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งท่านพี่มาทอสก็งานยุ่งมากเพราะในช่วงเวลานั้นท่านพี่มาทอสรับตำแหน่งดยุคมาจากท่านพ่อแล้ว ทำให้เขาไม่มีเวลามาคอยดูแลน้องสาวต่างแม่สักเท่าไหร่นัก ผู้ที่ดูแลและสนิทสนมกับเฟรญ่ามากที่สุดคือคาร์เตอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเธอ เขาพยายามเข้าหาเธอในทุกวัน ชวนเธอออกไปข้างนอก และเป็นผู้ที่พาเธอก้าวเดินไปยังงานเลี้ยงในแวดวงสังคม“ฟังนะเฟร จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าดูถูกเจ้าทั้งนั้น พี่จะปกป้องเจ้าเองเพราะอย่างนั้นไม่ต้องกังวลหรื
เมื่อเฟรญ่าทำท่าไม่เชื่อ มาร์เซลก็หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาจับมือเธอพร้อมกับพาเธอวิ่งไปยังงานเทศกาลของเดียลอร์ลที่ในยามนี้มีชาวบ้านมากมายกำลังเต้นรำอยู่ตามท้องถนน บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมีรอยยิ้มฉายชัดอยู่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาของเฟรญ่านั้นพร่ามัวไปในทันทีราวกับว่ารอยยิ้มของเขามันแฝงไปด้วยเวทมนตร์แค่เขายิ้มก็ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงยวบยาบ ฝ่ามือของเราเกาะกุมกันไว้โดยไร้คำพูด มาร์เซลหยุดเดินพร้อมกับหมุนตัวมาหาเธอ เขายกมือขึ้นมาจับเอวของเธอเอาไว้ ก่อนจะยกขึ้นเล็กน้อยแล้วพาเธอหมุนตัวตามจังหวะของเครื่องดนตรีพื้นเมือง เฟรญ่าหยักยิ้มขึ้นมาในทันที หัวใจของเธอมันเต้นผิดจังหวะในทุกครั้งที่อยู่กับเขา มันคือความรักที่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายเช่นไร แต่ในยามที่เธอมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มันทำให้เธอมีความสุขได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย บางทีความหวังของเธอก็เป็นเรื่องง่ายๆอย่างเช่นการคาดหวังให้มาร์เซลมีความสุขตลอดไป..“เวลาที่ท่านยิ้มออกมามันสวยมากเลยนะครับ..”ในวันที่พบเจอกันครั้งแรก เขาก็เชื่อมั่นในพรหมลิขิตในทันทีว่าคนรักของเขาจะต้องเป็นเธอเท่านั้น บางสิ่งในอกค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา หัวใจที่เย็นย
งานเทศกาลในครั้งนี้จัดขึ้นมาในฤดูที่กำลังปลูกพืชผล เมืองเดียลอร์ลนั้นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างเพราะอย่างนั้น บารอนดีแลนจึงหารือกับชาวบ้านจัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อให้บรรยากาศในเดียลอร์ลนั้นดีขึ้นมา ก่อนหน้านั้นกับบางคนที่เผชิญหน้ากับความสูญเสีย พวกเขาไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อไปดีแลนรู้สึกผิดกับชาวเมืองมากทีเดียว กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเขา เพราะอย่างนั้นเขาจึงพยายามที่จะฟื้นฟูเดียลอร์ลขึ้นมาใหม่เพื่อให้ที่นี่กลับมามีบรรยากาศที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นเดิมเฟรญ่าเดินไปบนถนนหนทางที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง ไม่ว่าจะถามเธอสักกี่ครั้ง เฟรญ่าก็ยังคงตอบได้ในทันทีว่าเดียลอร์ลคือเมืองที่เธอชอบมากที่สุด ความธรรมดาของที่แสนพิเศษ“ไม่เจอกันนานเลยนะเฟร..”ดีแลนเดินเข้ามาทักทายเฟรญ่าด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม“อื้ม ที่นี่เหมือนเดิมเลยนะคะ เหมือนเดียลอร์ลที่ข้ารู้จัก”เฟรญ่าจุดยิ้มที่แสนงดงามบนใบหน้าของเธอ เธอคิดว่าดีแลนเองก็คงจะได้รับผลกระทบทางจิตใจเช่นเดียวกัน“ขาของเจ้า..มันหายดีเป็นปกติแล้วสินะ”เฟรญ่าก้มมองเท้าของตัวเอง เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างในยามที่ไ