เมื่อสามปีก่อนที่เขาไปยังเมืองซีหาน ยังเป็นบุรุษที่ติดตามอาจารย์เฉิง คือพี่เก้าที่แสนอบอุ่นใจดี คอยสอนนางหลายสิ่ง นั่นคือจุดเริ่มต้นของรักแรกพบ สุดท้ายนางก็ปีนออกจากกำลังคฤหาสน์เหวิน ทั้งที่พี่ชายสุดที่รักเหวินเจิ้งเทาตามตัวกลับหายหน แต่นางใช้อุบายต่างๆ นานาจนรอดพ้นมาได้ แล้วก็ติดตามเซียวหัวเฟิงเดินทางไกลนับพันลี้ ผ่านหลากหลายเรื่องราว จวบจนบ่มเพาะเป็นความรัก มีช่วงเวลาหวานซ่านใจ จนผู้อื่นอิจฉา และเขาได้ออกปากอยากผูกผมครองคู่เหวินซืออี้
“ท่าน เป็นท่านที่เลอะเลือน... สตรีผู้นี้ยึดมั่นในรักเสมอ ข้าเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อมาอยู่กับท่าน”
เซียวหัวเฟิง ไม่ใช่ไร้เยื่อใย แต่เขาเริ่มเห็นว่าเหวินซืออี้ คือสตรีที่เอาแต่ใจ และไม่เติบโตกว่าเดิมสักนิด
“ข้ายังยืนยันคำเดิม หลังจากช่วยองค์หญิงหก จะกลับมาทำหน้าที่ของตนให้แล้วเสร็จ”
“ทำหน้าที่หรอกหรือ โอ้ เฟิงเกอ การเข้าหอและดูแลข้า ท่านถือเป็นหน้าที่ ฮึ หากเป็นเช่นนั้น ไฉนข้ายังจะหน้าด้านเป็นภาระของท่านแม่ทัพด้วยเล่า”
นางกล่าวจบ ก็ใช้มีดสั้นจี้ลำคอของตน ฝ่ายบ่าวรับใช้หญิง กับคนงานที่อยู่บริเวณนั้นหมายจะเข้าไปยื้อแย่งมีดสั้นจากมือเจ้าสาว แต่นางตะโกนห้าม ก่อนที่ปลายคมมีดสั้นจะทำให้ลำคอนางมีเลือดไหลออกมา
ทว่าภาพดังกล่าวหาได้ทำให้เซียวหัวเฟิงล้มเลิกความคิดตนที่จะช่วยสตรีบนหลังม้า
“เฟิงเกอ ทะ ท่านทำผิดต่อข้า”
เหวินซืออี้สะอื้นไห้ นางมิใช่ต้องการแสดงความอ่อนแอ ทว่ายามนี้ เข้าใจได้ว่า อีกฝ่ายเลือกเกิงเตียวอิ๋ง หากเหวินซืออี้คาดเดาไม่ผิด สตรีผู้นั้นต้องวางแผนการบางอย่างเพื่อล้มเลิกงานแต่งของนางกับเซียวหัวเฟิง และตอนนี้ก็ถึงขั้นทำเรื่องชั่วช้า ไร้ยางอาย
เซียวหัวเฟิงหมุนตัวไปอีกทาง เขาไม่ต้องการเผชิญหน้าเหวินซืออี้
“หากเสี่ยวอี้ ยังรั้งตัวข้าไว้ด้วยการกระทำซึ่งไร้สติ บุรุษผู้นี้ย่อมผิดต่อ 115 ชีวิตที่จากไป รวมถึงองค์หญิงหก...ซึ่งนางเป็นผู้มีพระคุณต่อเจ้า”เขายังย้ำเรื่องเดิมให้เหวินซืออี้เจ็บช้ำ
“หึๆ ๆ สวรรค์โปรดฟังข้าเถิด สตรีที่ชิงบุรุษของข้าไป คือผู้มีพระคุณต่อข้าเยี่ยงนั้นหรือ บัดซบยิ่งนัก เฟิงเกอ ทะ ท่านช่างอำมหิต และมีใจมืดบอดหลงใหลต่อนางมารร้าย เอาล่ะ... หากท่านหย่าขาดกับข้าแล้ว สตรีผู้นี้ก็จะปล่อยท่านไป”
สิ่งที่นางแจ้งออกไป ก็ได้ผลลัพธ์ที่ทำร้ายเหวินซืออี้อย่างสาหัส
ซึ่งก่อนชายหนุ่มจะจากไป ยังมีคำหนึ่งจากปากของเกิงเตียวอิ๋งที่ทำให้ผู้เป็นเจ้าสาวนึกฉงน
“คุณหนูอี้ แม้ข้าไม่เห็นด้วยที่ท่านแต่งกับแม่ทัพเซียว แต่ข้าเป็นสตรีใจกว้าง เตรียมของขวัญเอาไว้ให้ท่าน สักพักคงเดินทางมาถึง และขออวยพรให้คุณหนูอี้ มีความสุขในวันมงคล”
“ข้าไม่ต้องการของใดจากคนแพศยา”
เกิงเตียวอิ๋งยิ้มบางๆ ในสีหน้า และเอ่ยว่า “เมื่อของมาถึงมือท่านแล้ว ค่อยปฏิเสธก็ไม่สาย เอาล่ะ... ข้าต้องการให้แม่ทัพเซียวขับพิษร้าย อาจใช้เวลานาน... นานสักหน่อย หวังว่าผู้เป็นเจ้าสาวจะเข้าใจเรื่องนี้ได้”
เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยจบ ภาพที่เหวินซืออี้เห็นก็คือ ร่างของเกียงเตียวอี้ ที่ถูกเซียวหัวเฟิงอุ้ม แล้วเปลี่ยนไปขึ้นม้าตัวใหญ่ของเขา
จากนั้น ทั้งคู่ก็จากไปพร้อมกำลังทหารทั้งหมดที่มีในป้อมแห่งนี้
เหวินซืออี้กำผ้าขาวผืนนั้นที่มี่หนังสือหย่าจากคนรักซึ่งเขียนด้วยเลือดอีกฝ่าย นางก้าวกึ่งวิ่งกึ่งเดินขึ้นไปจนถึงกำแพงป้อมสังเกตการณ์ด้านบน เพื่อมองร่างของคนทั้งคู่ที่ขี่ม้าจากไป
ภาพดังกล่าวสะท้อนหลายสิ่ง มือหนึ่งนางถือมีดสั้น ๆ เอาไว้ ส่วนหนังสือหย่านางโยนลงไปเบื้องล่าง มันปลิวไปตามสายลม ยามนี้นางไม่อยากจดจำเรื่องใด ชีวิตช่างไร้ค่าโดยแท้ ขณะเดียวกันนางรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวเล็กๆ ก่อนจะรู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย
โอ้... สิ่งที่นางกลัวเกิดขึ้นแล้ว
ชีวิตเล็กๆ กำลังดิ้นในครรภ์นาง อนิจจา เรื่องนี้นางไม่ได้ตั้งใจมาก่อน
ขณะที่นางค่อยๆ พยุงตัวไม่ให้ล้ม นอกจากเด็กที่ดิ้นในท้อง นางก็รู้สึกว่ามีอาการทรมานยิ่งนัก
นางคลื่นไส้ ปวดเกร็งทั่วร่าง ขณะเดียวกันก็มองกลับไปยังพิธีแต่งงานของนาง และได้เห็นว่ามีทหารหน่วยพิเศษปรากฏตัว พวกเขาล้วนมีผ้าพันคอสีม่วงเข้ม
“ฆ่าให้หมด พวกมันล้วนเป็นกบฏ สกุลเหวินขายชาติ และร่วมมือกับต่างแคว้น”
เหวินซืออี้ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่ทหารพวกนั้นกล่าวหา แต่ภาพต่อมาคือบ่าวรับใช้ ต่างทยอยล้มตายลง โอ้ ชีวิตเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์
“หยุด... เหตุใดถึงฆ่าผู้คนเช่นนี้”
เป็นตอนนั้นนายทหารผู้หนึ่งและหน่วยของเขา เตรียมก้าวขึ้นไปยังหอสังเกตการณ์ แต่มีคนของเซียวหัวเฟิงที่เหลืออยู่ขัดขวางไม่ให้เข้าถึงตัวของเหวินซืออี้
“หึๆ ๆ ก่อนที่คุณหนูห้าเหวินจะตาย มีบางสิ่งที่องค์หญิงฝากไว้ เป็นของขวัญวันแต่งงานเลือดของท่าน”
คนผู้นั้นเอ่ยจบ ก็ไม่ทันให้นางได้โต้ตอบสิ่งใด กล่องไม้หลายใบถูกยกมา ดวงตากลมโตมองมายังเบื้องล่าง ถึงเป็นระยะไกลหลายจั้ง แต่นางเห็นได้ชัด เมื่อทหารคนนั้น กับลูกน้องเขาเทของในกล่องออก เหวินซืออี้พลันทรุดลงกองไปบนพื้น
กลิ่นคาวคลุ้งลอยตลบ และไม่ใช่แค่เลือดสดๆ ที่ไหลออกมา หากเป็นชิ้นส่วนของร่างกายมนุษย์ ที่หล่นกระจัดกระจายตามพื้น
เกิดชาติไหนก็ไม่เป็นเหวินซืออี้ “สาวใช้สองคน และแม่นมของท่าน จำได้หรือไม่ว่าคนพวกนี้หายตัวไปได้อย่างไร นับแต่คุณหนูห้าเดินทางจนมาถึงเมืองไฉ” เหวินซืออี้สับสน นางคิดว่าสาวใช้สองคนที่ติดตามกันมาหนีไปเพราะกลัวความผิดที่พาหญิงสาวออกจากคฤหาสน์สกุลเหวิน ซึ่งพวกนางเรียกได้ว่าเติบโตด้วยกัน ทั้งเหนียวเอ๋อร์ กับหยุนเอ๋อร์ จงรักภักดีต่อสกุลเหวิน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ยอมเจ็บตัวแทนเหวินซืออี้ตลอด ยามนี้ต้องจากไป เพราะนางเป็นต้นเหตุ โถ...สวรรค์เหตุใดถึงได้ใจร้ายนัก ส่วนแม่บ้านผิง เปรียบได้กับมารดาคนที่สองเหวินซืออี้ ฝ่ายนั้นมาทำงานในช่วงอายุย่างสามสิบปี พอเห็นภาพพวกนางแล้วก็รู้ว่าคงได้รับการทรมานแสนสาหัส ก่อนจะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ ฝ่ายขันทีผู้เป็นหัวหน้าใหญ่หันไปทางร่างบอบบางซึ่งมีผ้าปกปิดใบหน้าเอาไว้ มองเผินๆ เหมือนผู้ชาย หากความจริงเป็นสตรี คนผู้นี้พยักหน้าให้ขันทีเปิดกล่องสำคัญอีกใบ เป็นกล่องใบขนาดย่อมเล็กกว่าเมื่อครู่ เหวินซืออี้ไม่อยากเห็นสิ่งใด ด้วยเกินจะรับเรื่องเลวร้ายได้อีก “คุณหนูห้าเหวิน... อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ท่านเป็นคนเริ่มเรื่องนี้เอง เยี่ยง
ได้ยินการใส่ร้ายอย่างนั้น เหวินซืออี้ก็คิดว่าไม่ใช่แค่นางโง่เขลาหลงรักคนผิด แต่ยามนี้ยังพาสกุลของตนถึงคราววิบัติด้วย เมื่อรู้เช่นนั้น เหวินซืออี้จำเป็นต้องทำบางสิ่ง อย่างน้อยเพื่อส่งเสียงนางแจ้งข่าวแก่คนสกุลเหวินที่กำลังมุ่งหน้ามายังป้อมสังเกตการณ์เพื่อไม่ให้พวกเขาติดกับดัก และจบชีวิตลงอย่างที่ฝ่ายของเกิงเตียงอิ๋งหวังไว้ มือเรียวสวยจับไม้ตีกลองได้ทั้งสองข้าง อึดใจต่อมา เสียงกลองแจ้งข่าวก็ดังขึ้น ดังไปพร้อมเสียงหัวใจนางที่เต้นระรัวแรงขณะเดียวกันนางมองไปยังด้านล่าง เห็นญาติตนที่ขี่ม้ามุ่งหน้าที่นี่อย่างรวดเร็ว นางยิ่งต้องเตือนพวกเขาอย่างสุดความสามารถทว่าในยามนั้นเด็กในครรภ์ดิ้น และนางยังมีอาการหน้ามืดตามมา แต่เหวินซืออี้ยังแข็งใจทำในสิ่งที่มุ่งหวัง “ยิงธนูออกไป อย่าให้นางตีกลองแจ้งข่าวได้” “แต่นั่นคือ ฮูหยินของท่านแม่ทัพเชียวนะ” เสียงหนึ่งเอ่ยล้อเลียนเหวินซืออี้ แล้วอีกคนก็เสริมต่อ และเสียงดังกล่าวคือพระสนมจือ! “นางกำลังตั้งครรภ์มารหัวขน ทำลายทั้งแม่และลูกเสีย แล้วเก็บกวาดทุกอย่างให้สะอาด อย่าลืมว่าพรุ่งนี้ ต้องมีหัวของคนสกุลเหวินเสียบประจานที่ก
บาปกรรม โอ้ บาปกรรมย้อนเวลา (เข้าร่างจางเหยา) หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเกิดเหตุอันใด แต่เมื่อครู่ริมฝีปากนางถูกใครบางคนฉกชิมความหวานไปอย่างเร้าร้อน ช่างพิลึกและชวนให้ขนลุกโดยแท้ ซึ่งไม่ใช่แค่จูบ แต่ฝ่ายนั้นยังพยายามส่งลิ้นเข้าไปด้านในโพรงปากด้วย เหวินซืออี้สะดุ้งเอือก ลืมตาโพลง ในหัวมึนงงชั่วขณะ ภาพต่างๆ ย้อนกลับไปกลับมาให้ได้คิด ตัดสลับกับเรื่องราวตรงหน้า โอ้ นางกำลังปลอมตัวเป็นบุรุษ แม้ดูรูปงาม แต่มองยังไงก็เป็นชายชาตรี ท่าทางไม่เหมือนขันทีสักหน่อย แล้วคนที่จูบนางเล่า เป็นพวกต้วนซิ่วหรืออย่างไร เขาถึงได้กระทำในสิ่งที่ชวนให้กระอักกระอ่วนเช่นนี้ นางหันไปมองอีกร่างที่นอนหลับในท่าผ่อนคลาย เสียงหายใจเขาสม่ำเสมอพอนางสำรวจให้ดี พบว่าตนกับคนผู้นี้มีเถาวัลย์ผสานใจรัดที่ข้อมือไว้คนละข้าง นี่คงเป็นเหตุที่ทำให้นางรู้สึกอึดอัดนับแต่เข้ามาอยู่ในร่างผู้อื่น เหวินซืออี้พยายามจับต้นชนปลายสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน นางฟื้นกลับมาจากเหตุการณ์บนกำแพงสูงป้อมสังเกตการณ์เมืองไฉ ยามนี้อยู่เพียงลำพังกับบุรุษแปลกหน้า เป็นชาติภพที่นางได้ย้อนเวลามามีชีวิตอีกครั้ง พอนางขยับตัวแรงกว่าเดิ
สิบปีล้างแค้นยังไม่สาย เหรินซืออี้อยู่ในห้องพักรับรองกับสวีเกาหาน และเถาวัลย์ดังกล่าวรัดข้อมือทั้งคู่ไว้ เพียงแต่มันคลายตัวมาก ดังนั้น นางกับเขาในยามนี้จึงอยู่ห่างกันพอให้เคลื่อนไหวร่างกายสะดวก ถึงอย่างนั้นสายตาของผู้อื่นยามมองนางไม่ค่อยให้เกียรติ ฝ่ายสวีเกาหานทำแผลเรียบร้อยแล้ว มียาสมุนไพรให้เขาดื่มด้วย ตัวนางในร่างนี้มีความรู้เรื่องการปรุงยา ได้แต่ทำเป็นถอนหายใจแสดงออกว่า คนพวกนี้ช่างอ่อนด้อยเรื่องการรักษา “นักพรตน้อย ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก็สร้างความเดือดร้อน คุณชายของข้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเจ้า อีกทั้งท่าทางหยิ่งผยอง อย่าได้ทำให้ผู้อื่นรังเกียจเจ้าไปมากกว่านี้เลย” หญิงสาวหรือจะสนใจคำพูดห่าวเจีย อีกฝ่ายก็แค่ขันที แม้ยามนี้เป็นหน่วยแพรม่วง ทว่ายังไม่ได้ก้าวขึ้นเป็นใต้เท้าพันปี (ตำแหน่งสูงสุดของขันที ซึ่งได้รับการโปรดปราณเป็นอย่างสูงในยุคสมัยนั้น อีกทั้งห่าวเจีย มีเชื้อสายของอดีตฮ่องเต้คนเก่า และนั่นทำให้เขาก้าวหน้ามาในอีกสิบปีต่อจากนี้) “พ่อบ้านท่านนี้ ข้าไม่ได้คิดทำสิ่งใดล่วงเกินคุณชายเกาหานแม้แต่น้อย อีกอย่างเรื่องทั้งหมด
กัวซาคะนองรัก จือฮวนเป็นเดือนเป็นแค้นมาก นางคือลูกสาวคนเล็กของสกุลจือ หลังจากบิดาสิ้นใจ อำนาจก็ไม่ได้สั่นคลอนลง ด้วยสกุลจืออยู่คู่กับแคว้นเหลียงมานาน คนเก่าแก่จึงมีไม่น้อย อีกทั้งพี่ชายนางตอนนี้เป็นถึงจือหยวนโหว แล้วใครกันจะกล้าขัดใจ ถึงอย่างนั้นสวีเกาหานก็กล้าทำเป็นไม่เห็นนางอยู่บ่อยๆ ทั้งที่ยามนี้เขาควรดูแลนาง ด้วยออกมาล่าสัตว์ต่างเมือง เดินทางก็เกือบสามร้อยลี้ นางต้องทรมานนั่งๆ นอนในรถม้าด้วยทางคดเคี้ยว พอมาถึงเขาหวงซาน อีกฝ่ายกับหายตัวไป รู้อีกทีก็ผ่านไปสองวันเต็มๆ กระทั่งห่าวเจียไปช่วยกลับมาที่เรือนรับรอง ซ้ำร้ายยังมีนักพรตท่าทางพิลึกอยู่ไม่ห่างกาย ดวงตาหงส์มองไปยังห่าวเจีย พอเห็นเขาเตรียมขยับปากจะพูด นางจึงชิงถามเสียก่อน “สืบได้ความเช่นไรบ้าง จงเล่ามาให้ละเอียด” “มันเป็นแค่นักพรตน้อย ใช้ชีวิตพเนจร ไม่มีหลักแหล่ง พอมีความรู้เรื่องสมุนไพรบ้าง ที่ถูกเถาวัลย์ผสานใจรัดเอาไว้ ก็เพราะเข้าไปขโมยของสำคัญที่สุสานชาวสุยจ้วง ที่ติดอยู่กับชายแดน” “ขโมยสิ่งใด” “เท่าที่ข้าทราบเป็นเกล็ดหิมะพันปี” “มันต้องการนำไปใช้เพื่อการใด” “เท่
ดวงตาที่สาม เมื่อเห็นเปลวไฟพุ่งเข้ามาหาตนเอง จือฮวนจึงยกมือทั้งสองข้างเพื่อปกป้องใบหน้างดงาม หากไฟดังกล่าวไม่ได้มีความร้อนเพราะถูกทำขึ้น กระนั้นก็สามารถสร้างความแสบร้อนและเผาไหม้ผิวหนังได้ อีกทั้งเสื้อผ้าที่นางสวมเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เหตุการณ์ต่อจากนั้นจึงชวนให้ตื่นตระหนก จือฮวนดิ้นปัดไปมา ก่อนลงไปนอนกลิ้งบนพื้นดิน ภาพของนางช่างน่าสงสารยิ่งนัก ทว่าการที่กรรมไล่ล่านางอย่างรวดเร็วนั้น เพราะเรื่องนี้มีคนเตรียมการไว้ ยามนั้น เสียงหวีดร้องเสียงขอความช่วยเหลือดังขึ้น คนที่พุ่งเข้าให้ความช่วยเหลือจือฮวนก็คือห่าวเจีย และตามด้วยจือคัง ฝ่ายจือฮวนถูกไฟเผาเสื้อผ้าและหลังมือเป็นบริเวณกว้าง ถึงไฟจะดับลงในเวลารวดเร็ว แต่นางได้แผลหลายแห่ง และนับว่าโชคดีที่ใบหน้าไม่ได้รับอันตราย แต่เส้นผมไหม้ไปไม่น้อย สภาพนางจึงดูแย่ ทั้งมีอาการเสียขวัญ “ห้ามไม่ให้ผู้ใดออกไปจากที่นี่ นางระบำทั้งหมดจับตัวไปไต่สวน เค้นหาความจริงให้ได้ ว่าใครสั่งให้พวกมันทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้” จือคังออกคำสั่ง เขาสงสารน้องสาวจับใจ นางแสบร้อนที่แผล สะอื้นไห้อย่างหนัก น้องสาวเขาถูกตามใจจนเสียนิสัย
เหล่านางรำราวๆ สามสิบกว่าชีวิตถูกต้อนมายังพื้นที่หลังเรือนรับรอง ซึ่งห่างออกมาพอสมควร ยามนั้นสตรีที่รำประทีปอยู่ด้านหลังสุด มีทหารหลายคนมองนางด้วยความสนใจ ทั้งเสื้อผ้าที่สวม กิริยาอ่อนช้อย กลิ่นกายนางก็หอมหวานชวนให้เคลิบเคลิ้ม แน่นอนมันไม่ใช่กลิ่นกายปกติที่สตรีพึงมี หากเป็นนางที่ใช้ความสามารถของตนกลั่นน้ำมันหอมระเหยทั้งจากสมุนไพร และไขมันมนุษย์ “เฮ้ย... น่าเสียดายของสวยของงาม... คำสั่งคือเฉือดพวกนางทั้งหมดเลยหรือ” คำพูดดังกล่าวทำให้นางรำเข้าใจได้ว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตผู้บริสุทธิ์เหล่านี้กำลังจะสิ้นลง ทว่าคนที่เกิดใหม่ในร่างของท่านอาหญิงที่มีนามว่าจางเหยา อีกทั้งมีดวงตาที่สามมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ในภายหน้า มีหรือจะยอมให้ทหารชั่วช้าของจือฮวน ปลิดชีพนางได้ง่ายๆ อย่างเช่นชาติภพก่อน ฝ่ายทหารที่เป็นหัวหน้าหน่วยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “แบ่งเป็นสองกลุ่มก็แล้วกัน พวกหนึ่งจัดการไม่ให้จดจำสภาพเดิมได้ ส่วนคนงามๆ ข้าจะนำไปขายต่อ ได้เงินสักเล็กน้อย นับว่าไม่เสียแรงเปล่า” เมื่อเขาแจ้งความต้องการเช่นนั้น ทหารอีกหลายคนก็เห็นด้วย
เร้ารักแนบเนื้อ เหวินซืออี้ไม่ใช่คนอ่อนหัดเรื่องอุ่นเตียง แม้อายุเดิมในชาติก่อนยังเยาว์วัย แต่นางรักสนุกอยู่สักหน่อย ชอบเรื่องระหว่างชายหญิงเป็นพิเศษ นางจึงปล่อยใจเตลิดไปกับแม่ทัพเซียว ซึ่งหลังจากตกเป็นของเขา ก็เกิดเรื่องราวมากมายต่อจากนั้น กระทั่งตั้งครรภ์ ทว่านางกลับไม่รู้ตัว จวบจนใกล้วันมงคลจึงตระหนักได้ว่าชีวิตน้อยๆ ใกล้ลืมตาขึ้นมาดูโลก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้บอกเซียวหัวเฟิงให้รับรู้ สุดท้ายจึงจากไปพร้อมก้อนเนื้อในครรภ์ โดยผู้เป็นทั้งสามีและบิดา ไม่ทันได้ดูใจนาง ซ้ำร้ายยังหายตัวไปกับอรสพิษอย่างองค์หญิงหก“ซือเหยา เจ้าไม่ใช่แค่งาม หากเป็นสตรีที่ข้าหลงใหล” เสียงทุ้มๆ น่าฟังดังอยู่ข้างหู ซึ่งคนปากหวานย่อมเป็นเช่นสวีเกาหาน อีกทั้งรูปงาม เขางามแล้วยังทำให้นางมีความสุข มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ผิวเขาขาวละเอียดน่าสัมผัส ไรขนตามร่างกายถูกเล็มไว้อย่างงดงาม ยิ่งกว่านั้นคือขนาดแก่นกายเขา มังกรยักษ์คล้ำกว่าผิวกาย หัวบานหยักแดงเข้ม และเห็นเส้นเลือดปูนตลอดลำยาวเมื่อแข็งตัว ซึ่งทำให้หัวใจนางพองโตยามได้สัมผัส และปลุกปล้ำให้มันพ่นลาวาขาวขุ่นออกมา “เมื่อครู่หานอ๋อง ก็ขึ้นสวรรค์แล้ว
ร่างงดงามเข้าไปมาอยู่ในห้องนอนที่ข้าวของทุกอย่างล้วนเป็นสีแดง มีกลิ่นหอมของดอกไม้แห้ง เทียนไขถูกจุดให้ความสว่าง เนื้อตัวของอวี้เพ่ยเอ๋อร์ได้รับการดูแลอย่างดี สะอาดหมดจด กลีบอวบอิ่มถูกชโลมด้วยน้ำมันกับขี้ผึ้ง ยอดหน้าอกทาด้วยน้ำมันหอมซึ่งจะเป็นพื้นที่ให้บุรุษใช้ปาก ลิ้น และฟันเล่นสนุกด้วย อวี้เพ่ยเอ๋อร์เคลิ้มอย่างหนัก และร้อนรุ่มในร่มผ้า กระทั่งไม่มีผู้ใดวุ่นวายกับนาง ซึ่งแม้สติจะดับๆ ติดๆ แต่นางมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการช่วยให้ตนดับตัณหาที่ลุกโชนในร่างกาย มือของนางค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าของตน ยามนี้ไม่ละอายสิ่งใด นางแค่ต้องการคลายความอึดอัด นิ้วเรียวสวยไล้ไปตามสัดส่วนงดงาม สัมผัสผิวกายที่นุ่มเนียนละเอียด บางครานางครางเสียงแปลกๆ บางครานางส่งเสียงหวีดสูงต่ำ เมื่อคลึงยอดหน้าอกตนแรงขึ้น สลับการบีบบี้ อวี้เพ่ยเอ๋อร์ก็ฉ่ำเยิ้มอย่างพึงใจ “ชะ ช่วยข้าด้วย” อวี้เพ่ยเอ๋อร์คงบ้าไปแล้ว แต่นางปรารถนาบุรุษสักคน ที่พอจะทำให้นางหลุดพ้นจากพิษร้ายที่อยู่ในร่างกาย ถึงจะมีบาดแผลที่เหนือหัวไหล่ข้างขวา แต่เล็กน้อยมาก อีกทั้งได้รับการใส่ยาอย่างดี ดังนั้นอวี้เพ่ยเอ๋
พวกเขาเลยต้องหาเจ้าสาวสักคนแต่งไปเป็นฮูหยินใต้เท้าเซี่ย ซึ่งแม้ชิงถงจะหวงหาและพิศวาสอวี้เพ่ยเอ๋อร์มากอย่างไร ทว่าเขารักตัวกลัวตายยิ่งกว่า ดังนั้นที่ทำได้ตอนนี้คือวางยานางให้สูญเสียความทรงจำชั่วขณะ แล้วย้อมแมวให้ปลอมตัวเป็นเจ้าสาวที่มีชื่อว่า จ้าวรั่วรั่ว เสียงบ้านแม่เหลียวดังขึ้นก่อนใคร ตามด้วยสาวใช้ฉีหนวนกับบ่าวชายที่อยู่ด้านหลัง “แม่บ้านเหลียว มั่นใจหรือว่า นี่คือเจ้าสาวที่จะพาไปส่งใต้เท้าเซี่ย!” บ่าวชายถาม แม้เขาอยู่ห่างออกไป แต่เหมือนจะพบพิรุธหลายอย่าง “ใช่หรือไม่ ข้าย่อมล่วงรู้กว่าผู้ใด อีกอย่าง มิเห็นหรือว่านางมีเสื้อคลุมเจ้าสาว ผ้าคลุมหน้าก็ใช่ มิหนำซ้ำยังได้รับบาดเจ็บ หากข้าคาดการณ์ไม่ผิดคงหนีตายมา แล้วหลบซ่อนตัวในบ้านร้างหลังนี้” เหลียวจูเอ่ย พลางสำรวจรูปร่างของอวี้เพ่ยเอ๋อร์ และนางชอบใจเป็นอย่างมาก สตรีผู้นี้ผิวขาวอมชมพู เอวคอด หน้าอกที่อยู่ในเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น เห็นได้ชัดว่าอวบสวย นางเหมาะเป็นแม่พันธุ์โดยแท้ ฝ่ายอวี้เพ่ยเอ๋อร์ ที่ถูกมีดแทงเข้าหัวไหล่ ทั้งยังมีพิษเคลือบอยู่ทำให้นางอ่อนเพลีย มิหนำซ้ำมันให้สตินางหลงลืมชั่วขณะ นอกจากนั้นเหลีย
จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อออก และส่งให้นาง “เสื้อตัวนี้ มีกลิ่นเล็กน้อย แต่รับรองสะอาด เจ้าใส่ไปก่อน ส่วนเรื่องอื่นๆ พี่จะแก้ปัญหาให้เอง” อวี้เพ่ยเอ๋อร์ยื่นมือไปรับเสื้อจากอีกฝ่าย และกลับกลายเป็นว่าชิงถง ดึงมือนางไว้ ก่อนออกแรงมากกว่าเดิม จนนางถูกรั้งเข้ามาหาอกเปลือยเปล่าของเขา “พี่ถง ทะ ท่านต้องการทำสิ่งใด” “อยากสูดกลิ่นหอมๆ ของเจ้า อยากมอบจูบที่เจ้าคู่ควรได้รับ มิใช่การถูกขบ ดูดเม้ม หรือกัดอย่างป่าเถื่อน เยี่ยงสุนัขบ้า” เขาว่าแล้วก็ฉีกเสื้อที่ขาดของอวี้เพ่ยเอ๋อร์ ในตอนนั้น ผิวขาวอมชมพูเผยให้เขาเห็นมากกว่าเดิม “โอ้ใช่แล้ว กลิ่นกายนี้ ความงาม เนื้อนุ่มนิ่มอ่อนหวาน คือสิ่งที่ข้าฝันถึงมานาน” อวี้เพ่ยเอ๋อร์ตัวสั่น นางตกเป็นของเหวินมู่ถังแล้ว และไม่ปรารถนาเป็นของชายใดอีก เพียงแค่นี้ก็ผิดต่อป้ายวิญญาณสามีที่ตายจาก “พี่ถง ข้าชอบความเปิดเผย และความมีน้ำใจของท่าน แต่สตรีผู้นี้ เหมาะสมที่จะเป็นคนที่ท่านอยากให้อยู่เคียงข้างจริงๆ หรือ” ชิงถงไม่เสียเวลาคิด เขาตอบว่า “ให้ฟ้าดินเป็นพยาน ขอให้ข้ากับเจ้าได้เป็นสามีภรรยา ร่วมทุกข์และสุข ด้วยกันตลอดไป” อว
อวี้เพ่ยเอ๋อร์ ยังปวดศีรษะด้านหลัง ทั้งถูกยากล่อมประสาททำให้ มึนงงอยู่มิน้อย กระนั้นการถูกตบอย่างแรง ก็ทำให้นางฟื้นคืนสติ “ลงนามเดี๋ยวนี้!” อวี้เพ่ยเอ๋อร์ไม่ยอมจับปากกา ดังนั้นจึงถูกจับทั้งฝ่ามือ และหัวนิ้วโป้งลงไปในตลับหมึกสีแดงๆ “ไม่... ข้าไม่ยอมให้ทรัพย์สินใด กับคนช่วยอย่างพวกเจ้า” อวี้เพ่ยเอ๋อร์ร้องประท้วง แต่มือนางถูกซ่งหลันบีบเอาไว้ และสุดท้ายก็วางลงในกระดาษแผ่นดังกล่าว “ฮิๆ ๆ ยอมหรือไม่ เรื่องนี้เจ้าไม่สิทธิ์ขัดขืนหรอก” เมื่อได้หนังสือมอบอำนาจของอวี้เพ่ยเอ๋อร์ สิ่งที่ซ่งหลันกระทำก็นับว่าสำเร็จ ยามนั้นนางเกิดความคิดหนึ่งขึ้น มันฉายวาบในหัว จะดีเท่าใด หากให้เหตุการณ์ต่อจากนี้คือ อวี้เพ่ยเอ๋อร์ มีความสัมพันธุ์กับน้องสามี และเพื่อปกปิดความลับ จึงพยายามจะฆ่าอนุผู้ที่กำลังตั้งท้องอย่างซ่งหลัน! ในตอนนั้น ไฟเริ่มลุกลามเข้ามาทีละนิด ความร้อนทำให้ซ่งหลันไม่อาจอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้อีกต่อไป ซึ่งด้านนอกเริ่มมีเสียงเอะอะ โวยวายดังอึงอล “ฮูหยินหม้าย แซ่อวี้ เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่!” “แม่นางอวี้... ป้าเจี้ยนมาหา เจ้ารีบออกมาจากเรือนก
อวี้เพ่ยเอ๋อร์เคลิ้มไปกับการนวด และการจูบหนักหน่วง ทั้งลิ้นเรียวเล็กที่เลื่อนไปตามจุดที่ไวต่อการปลุกเร้า แม้นางจะฟื้นจากยาสลบแล้ว หากยามนี้สิ่งที่ได้รับเข้าไปใหม่ คือยากล่อมประสาท และถุงหอมราคะ ซึ่งกระตุ้นให้หญิงสาวร้อนอบอ้าวในกลีบบุปผางาม และนางจะไวต่อสัมผัสของบุรุษเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเวลาเกือบสามวันสามคืน! ทั้งหมดนี้คือการกลั่นแกล้งของซ่งหลัน ด้วยต้องการให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์ถูกย่ำยี และไม่เหลือความภาคภูมิใจต่อตนเองอีกต่อไป ซ่งหลันอยากให้อีกฝ่าย มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตาย และกลายเป็นโสเภณี ที่มีตราบาปไปชั่วชีวิต! “นางมิใช่สตรีบริสุทธิ์ อีกทั้งยามที่ข้า ใช้กัวซาไล้วนที่กลีบฉ่ำแฉะนั้น คุณชายเจี่ยง ก็เห็นและได้ยินนางครางเสียงหวานเช่นไร” ซ่งหลันพยายามเหลือเกินที่จะทำให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์กหลุดครางเสียงกระเส่าอย่างสตรีไร้ยางอาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็ทำให้เจียงเซียนแถบจะโผเข้าไปย่ำยีอวี้เพ่ยเอ๋อร์ เจี่ยงเซียนมองร่างที่นอนบนเตียง และไล้เลียริมฝีปากตน ส่วนมือเขาก็จับเป้า และลูบไปมา เพราะส่วนที่แข็งขันกำลังสู้มือ อยากออกมาสูดอากาศนอกกางเกงเหลือเกิน “ให้ข้าส่ง
ยามเช้าวันนี้อวี้เพ่ยเอ๋อร์แปลกใจอยู่สักหน่อย นั่นเป็นเพราะตั้งแต่เมื่อคืน นางรีบปิดประตูห้องก่อนผล็อยหลับไป รู้สึกตัวก็ฟ้าสว่างแล้ว หญิงสาวสำรวจเนื้อตัว และโล่งใจที่ไม่ถูกข่มเหง กระนั้นก็อดครั่นคร้ามใจมิได้ ด้วยนางคาดว่าตนถูกวางยา! หญิงสาวออกจากห้องนอน ไม่เห็นทั้งซ่งหลัน หรือเจี่ยงเซียน จึงเดินตรวจสอบข้าวของคนทั้งคู่ พบว่าห่อผ้า ทั้งของใช้จุกจิกยังอยู่ครบ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขา อาจออกไปข้างนอก จากนั้น อวี้เพ่ยเอ๋อร์ก็แอบไปดูเหวินมู่ถัง ซึ่งเป็นรอบที่สามแล้วแม้ไม่พบเขา อีกฝ่ายหายตัวไปและทำให้นางน้อยใจมาก ด้วยเหวินมู่ถัง ไม่บอกกล่าวสิ่งใด แม้จะเขียนจดหมายแจ้งข่าวคราวก็ยังไม่มี เมื่อมั่นใจว่า เหวินมู่ถึงไม่ได้อยู่ในห้องเก็บฟืน ใจก็เคว้งเหลือเกิน กระนั้นกลิ่นกายของเขาจางๆ ยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในโรงเก็บฟืนนี้ อวี้เพ่ยเอ๋อร์กำซาบถึงความรู้สึก ระหว่างเขากับนาง มือเรียวสวยเผลอลูบไล้ตัวตน ทั้งภายในร่มผ้าร้อนเร่าขึ้น นางยอมรับว่าเมื่อใกล้ชิดเหวินมู่ถัง ความปรารถนาอยากตกเป็นของอีกฝ่ายรุนแรงเหลือเกิน ยามเขาซุกไซ้เรือนกาย ขบเม้มไปจุดที่ไวต่อความรู้สึก ก็ประหนึ่งว่านางได้ขึ้
“เสี่ยวเอ๋อร์... พี่ถง จะทำให้เจ้า ลืมผู้ชายทุกคน เชื่อเถิด น้ำของพี่จะอาบทั้งกลีบเนื้อนี้ และเรือนกายเจ้าจนเปียกชุ่ม” แม้ประหลาดใจที่อีกฝ่ายเรียกตนว่า ‘พี่ถง’ แต่ซ่งหลันก็มิอาจหยุดความต้องการได้แล้ว นางต้องปล่อยให้ศึกรักดุเดือดนี้เดินหน้าต่อไป “บีบรัดกว่าสิ เจ้าเคยทำได้ดีกว่านี้ ข้าเห็นชัดด้วยสองตาของตน!” ซ่งหลันได้ยินอย่างนั้น นางก็อยากเอาใจชิงถง ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยามร่วมรักกับเจี่ยงเซียน คนใจทราม และหยาบคาย เขาหาได้เล้าโลมนางไม่ ก็เพียงแค่กระแทกกระทั้น ถ้อยคำหวานใดๆ ก็ไม่เคยปริปากบอก มิหนำซ้ำยังเสร็จคนเดียว ปล่อยให้นางจมอยู่กับความรู้สึกน้อยใจเพียงลำพัง “ข้าทำได้ เชื่อข้าหรือไม่ ข้าทำให้ท่านได้” หญิงสาวว่าแล้ว ก็ร้องเสียงครางหวานจัด และบีบรัดแกนกายของชิงถง ยามนั้นเขาส่งแรงจากสะโพกเข้าไปลึก ทั้งคู่จึงแทบจะปล่อยความสุขออกมาพร้อมกัน “เสี่ยวเอ๋อร์... เจ้าช่างเอาใจเก่ง” ชิงถงเอ่ยจบก็สับสะโพกรัวแรงกว่าเดิม และยามนั้น ร่างหนึ่งที่ไร้อาภรณ์สืบเท้าเข้ามา “ฮ่าๆ ๆ พี่สะใภ้ ออกมากลางค่ำ กลางคืนให้ ผู้อื่นเย่อ ราวกับหมาตัวเมียเช่นนี้
หลังอาหารมื้อค่ำที่ดึกอยู่สักหน่อย เจี่ยงเซียนขอดื่มสุราในห้องโถง อันที่จริงอวี้เพ่ยเอ๋อร์ปฏิเสธแล้ว และบอกว่านางหาได้มีสุราในเรือนหลังนี้แม้แต่ป้านเดียว ทว่าอีกฝ่ายยิ้มร่า บอกว่าเตรียมมาด้วย นอกจากนั้นยังมีกัญชา และฝิ่นใช้สำหรับสูบ ได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวรใจคอไม่สู้ดี นางอยากออกปากไล่เขาไปให้พ้นๆ หน้า ซึ่งยามนี้ฝนหยุดตกแล้ว ทว่าเจี่ยงเซียนหาเหตุผลยกมาอ้างว่าเดินทางเข้าเมืองฮุ่ยลำบากมิน้อย ส่วนซ่งหลันก็เข้านอนไปแล้ว กระทั่งปลายยามห้าย (21.00-22.59น.) ร่างหนึ่งในชุดเสื้อผ้าสตรีทำงานครัวก็ก้าวออกจากเรือนหลังเล็ก ลัดเลาะไปตามกำแพง ก่อนสืบเท้าพ้นประตูด้านหลัง จุดหมายคือบริเวณลำธารสายเล็กๆ ที่ทอดตัวมาจากภูเขาสูง เมื่อนั่งที่หินก้อนใหญ่อย่างผ่อนคลาย สตรีนางนั้นก็แกะชุดด้านในออก มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบหินจากลำธาร ก่อนนำมาถูไถร่างกาย คืนนี้แสงจันทร์มืดอยู่มาก อีกทั้งบริเวณนั้นมีต้นไม้หนาทึบแผ่กิ่งก้านบดบังแสงจันทร์เอาไว้ ผู้ที่แอบซุ่มดูอยู่จึงได้แต่จินตนาการว่า หญิงสาวกำลังทำสิ่งใดกันแน่! อีกทั้งเสียงครวญครางนาง ก็ช่างหวานล้ำ ชวนให้บุรุษเกิดความกระสัน! ชิงถ
เอาเข้าจริงๆ อวี้เพ่ยเอ๋อร์ไม่อยากต้อนรับเจี่ยงเซียน และสตรีอีกคนที่ชื่อซ่งหลัน ฝ่ายนั้นประกาศตัวชัดเจนว่าตนคือ อนุของเจี่ยงซาน โดยเรื่องนี้หญิงสาวไม่ล่วงรู้มาก่อน ที่สำคัญคนทั้งคู่มากับรถม้าคันหนึ่ง เห็นว่ามีสาวใช้รุ่นใหญ่ติดตามมาด้วย แต่แยกตัวออกไป อ้างว่าจะไปพบญาติที่อยู่ใกล้ๆ เมืองนี้ ถึงอย่างนั้นอวี้เพ่ยเอ๋อร์ก็คลางแคลงใจ หนึ่งคือน้องชายสามี อีกหนึ่งเป็นอนุผู้ที่ตายไปแล้ว พิจารณาอย่างละเอียด อย่างไรพวกเขาก็ไม่ควรเดินทางมาด้วยกัน ภายในเรือนหลังเล็ก เมื่อต้องต้อนรับคนแปลกหน้า ยิ่งทำให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์เกิดความเครียด ทั้งยังกังวลใจว่า ทั้งคู่อาจเดินทางมาด้วยความประสงค์ร้ายแอบแฝง เจี่ยงเซียนมองสำรวจทุกอย่างในเรือน แม้ไม่ได้กว้างขวาง แต่สะอาดสะอ้าน และเห็นได้ชัดว่า อวี้เพ่ยเอ๋อร์ ไม่ใช่แค่หญิงสาวทั่วไป นางมีฝีมือด้านการปักผ้า ซ้ำยังอ่านหนังสือ และเขียนตัวอักษรได้ดี สตรีเช่นนี้สมแล้วที่พี่ใหญ่ให้แม่สื่อสู่ขอมาเป็นภรรยา ทว่าผิดแต่ครอบครัวนางละโมบ โดยเฉพาะพี่ชายของอวี้เพ่ยเอ๋อร์ที่ ถูกจำคุกในข้อหาหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี ซ้ำยังทำร้ายเจ้าขุนนางของศาล จนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายเสียชีวิต