LOGINบทที่ 2
ความใส่ใจเล็กน้อย
คืนเข้าหอที่มีค่าดั่งทองพันชั่งนั้น กลับเป็นค่ำคืนที่ว่างเปล่าสำหรับคู่บ่าวสาวคู่นี้ พวกเขาทั้งสองเพียงทำพิธีให้ครบถ้วนทว่ามิได้ร่วมเสพสังวาสกันอย่างที่ควรจะเป็น หลังจากหวงไป๋เฟิ่งอาบน้ำเสร็จนางก็ปีนขึ้นไปนอนยังเตียงกว้างหลังใหญ่ โดยที่คราแรกนางหัวใจวุ่นวายสับสนเป็นอย่างมาก ภายในใจก็หวังเล็ก ๆ ว่าคืนนี้เขากับนางอาจจะได้เป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริงก็ได้...
แต่หลี่เหวินซานคือบุรุษที่รักษาคำพูดของตัวเองยิ่งชีพ เขาไม่เพียงแต่ไม่แตะต้องตัวนางแต่ยังเอาหมอนอิงมาขวางกั้นระหว่างพวกเขาเอาไว้ด้วย ส่วนตัวเองก็นอนหลับไปเลย โดยทิ้งให้หวงไป๋เฟิ่งนอนกระสับกระส่ายแต่เพียงผู้เดียว
"ช่างเป็นคนที่รักษาคำพูดจริง ๆ"
หวงไป๋เฟิ่งนอนพลิกตะแคงมองหน้าด้านข้างของหลี่เหวินซาน ใบหน้าคมเข้มสันกรามชัดเจน คิ้วกระบี่พาดเฉียงเหนือดวงตาที่หลับสนิทโดยที่นางนั้นจดจำดวงตาอันคมดุ ทว่ากลับแฝงความอ่อนโยนเอาไว้ได้อย่างชัดเจน ไล่สายตาลงมาที่จมูกโด่งเป็นสันกับริมฝีปากหยักหนา เครื่องหน้าของเขาคมเข้มถอดแบบท่านลุงหลี่หงจิ้นมิมีผิดเพี้ยน ร่างกายหรือก็สูงใหญ่กำยำล่ำสัน แม้มีอาภรณ์ปิดทับเอาไว้แต่นางคาดเดาได้จากสายตาตนเอง
"เฮ้อ... ข้านี่หวังอะไรกันอยู่ล่ะเนี่ย"
หวงไป๋เฟิ่งสะบัดศีรษะไล่ความคิดอันเพ้อเจ้อของตัวเองออกไป นางนอนดิ้นไปมาอยู่ราวหนึ่งก้านธูปจนกระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด เสียงลมหายใจของหญิงสาวดังเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกว่านางนั้นได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเสียแล้ว
เมื่อคนข้างกายหลับ คนที่คิดว่าหลับไปนานก็ได้ลืมตาตื่นขึ้น เขาหันไปมองสตรีที่พูดมากและไม่ระวังตัวเองด้วยความอ่อนใจ เด็กน้อยตัวอ้อนกลมในวันนั้นกลายเป็นฮูหยินข้างกายของเขาไปเสียแล้ว ทั้งนางยังเป็นโฉมสะคราญที่งดงามมากเสียด้วย
"น่าตีนัก!"
หลี่เหวินซานบ่นกับตัวเองเสียงเบา ภายในใจก็นึกไปถึงใบหน้าของสตรีที่ติดอยู่ในความทรงจำของเขามิรู้ลืม ก่อนที่เขาจะหลับไปอีกครั้งเช่นเดียวกับคนข้างกาย...
เช้าวันใหม่ในวันที่อากาศสดชื่นแจ่มใสในฤดูใบไม้ร่วง ร่างระหงของหวงไป๋เฟิ่งก็ได้ลืมตาตื่นขึ้น นางค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งก่อนจะมองห้องที่ว่างเปล่านี้ด้วยความรู้สึกน้อยใจ เขาไม่อยู่แล้ว...
"ฮูหยินน้อย บ่าวขอเข้าไปนะเจ้าคะ"
ชุนหลันที่ยืนอยู่หน้าห้องเอยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านใน
"เข้ามาเถอะ"
หลังจากเอ่ยคำอนุญาตชุนหลันก็เดินเข้ามาโดยด้านหลังมีสาวใช้กว่าสี่นางเดินเข้ามาด้วย พวกนางถืออ่างล้างหน้าและถืออาภรณ์ชุดใหม่เข้ามาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
"ฮูหยินใหญ่ส่งสาวใช้มารับใช้ฮูหยินน้อยเพิ่มเจ้าค่ะ ส่วนท่านแม่ทัพน้อยออกไปที่ลานฝึกยุทธ์ตั้งแต่เช้า บอกว่าจะกลับมาทานอาหารเช้าพร้อมกับฮูหยินน้อยแล้วค่อยไปคารวะน้ำชาที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ"
"งั้นหรือ"
หวงไป๋เฟิ่งพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกขึ้นไปล้างหน้าแล้วอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ ตอนนี้นางได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหลี่แล้ว การไปทำความรู้จักกับทุกคนย่อมถือว่าถูกต้อง ท่านลุงกับท่านป้านั้นนางพอจดจำได้อย่างรางเลือน แต่คนที่เหลือนั้นคงจะเปลี่ยนไปมากแล้ว เหมือนกับสามีของนางที่เปลี่ยนไปจนนางแทบจำเขาไม่ได้ในครั้งแรกที่สบตา
หลี่เหวินซานกลับมาหาหวงไป๋เฟิ่งในช่วงสาย เขาได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายมาแล้วที่ห้องด้านข้าง ทั้งสองนั่งทานอาหารเช้าร่วมกันเป็นครั้งแรก ท่าทีของเขาอ่อนลงให้กับหวงไป๋เฟิ่งกว่าเมื่อคืนไม่น้อย เขาทำราวกับนางเป็นน้องสาวที่เขาควรดูแลเอาใจใส่ให้สมกับความไว้วางใจของชินอ๋อง
"นี่เป็นอาหารที่ข้าให้พ่อครัวทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าจะถูกปากเจ้าหรือไม่"
หลี่เหวินซานตักอาหารใส่ถ้วยของหวงไป๋เฟิ่ง นางยิ้มรับแล้วลองทานตามคำของเขา ดวงตาคู่สวยเป็นประกายเพราะอาหารจานนี้มีรสชาติที่นางชอบทาน
"อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ ข้าชอบมาก ขอบคุณนะเจ้าคะ" นางคลี่ยิ้มหวานด้วยความดีใจ
หลี่เหวินซานเผลอจ้องริมฝีปากที่คลี่ยิ้มของนางไปชั่วครู่ "เอ่อ... ถ้าชอบก็ทานเยอะ ๆ"
"ท่านพี่ก็ทานเยอะ ๆ ด้วยสิเจ้าคะ"
เมื่อได้ทานของที่ชอบและอร่อยเช่นนี้ สีหน้าของหวงไป๋เฟิ่งพลันแจ่มใสขึ้นมาทันที นางเอาใจเขาเฉกเช่นที่เขาเอาใจใส่นาง นิ้วเรียวยาวคอยคีบอาหารใส่ในถ้วยของหลี่เหวินซานอย่างอารมณ์ดี
"พอได้แล้ว เจ้าก็ทานของเจ้าเถิด"
"เจ้าค่ะ"
หวงไป๋เฟิ่งคีบอาหารเข้าปากอย่างมีความสุข ต่อให้จะมีเรื่องทุกข์ใจแค่ไหน ขอแค่ได้ทานอาหารอร่อย ๆ ที่ชอบ นางก็สามารถลืมเลือนความทุกข์นั้นไปได้ ความสุขของนางนั้นเรียบง่ายนัก
ทั้งสองนั่งทานอาหารพลางพูดคุยไต่ถามเรื่องราวกันไปด้วย "ท่านพี่จำคำสัญญาที่ให้ไว้กับข้าได้หรือไม่เจ้าคะ"
"สัญญาอะไรหรือ" คิ้วกระบี่เลิกขึ้นเป็นคำถาม เขาเคยสัญญาอะไรกับนางด้วยหรือ เหตุใดเขาถึงจำไม่ได้เลย
"จำไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ เป็นเพียงคำสัญญาของเด็กน้อย ข้าเองก็จดจำไม่ค่อยได้แล้ว"
หวงไป๋เฟิ่งเสทานอาหารต่อโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ส่วนหลี่เหวินซานก็ไม่ได้ซักถามนางต่อ เขานั่งทานอาหารต่อจนอิ่มแล้วจึงลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าหวงไป๋เฟิ่งก็อิ่มแล้วเช่นกัน
"วันนี้ต้องไปคารวะท่านพ่อกับท่านแม่ อาเฟิงกับเซียวเอ๋อร์ก็อยู่เดียว มีเพียงเพ่ยจูที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ นางแต่งงานออกเรือนไปที่แดนใต้ตั้งแต่ 3 ปีก่อนแล้ว อีกสองเดือนนางก็จะกลับมาเจ้าคงได้พบนางตอนนั้น"
"ท่านพี่เพ่ยจูแฝดผู้น้องของท่านพี่ใช่หรือไม่เจ้าคะ"
"ใช่แล้ว เรารีบไปกันเถอะปล่อยให้ผู้ใหญ่รอจะดูไม่ดี"
"เจ้าค่ะ"
หลี่เหวินซานเดินนำหวงไป๋เฟิ่งไปยังเรือนใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า เรือนของเขาคือเรือนเล็กที่อยู่ด้านข้างของจวน เมื่อ 5 ปีก่อนเขาได้รับพระราชทานรางวัลเป็นจวนของตัวเอง แต่เขายังไม่อยากออกไปอยู่คนเดียวจึงยังอยู่ที่เรือนตระกูลหลี่ โดยที่แยกเรือนออกมาต่างหาก มีบ่าวไพร่ที่ต้องดูแลเป็นของตัวเอง
ทั้งสองเดินมาที่ห้องโถงหลักของเรือนใหญ่ เมื่อเดินเข้าไปก็พบกับผู้อาวุโสทั้งสองนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประมุข ด้านข้างเป็นบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกสลักกับสตรีนางน้อยที่กำลังอยู่ในช่วงวัยแรกแย้ม ทุกคนต่างหันมามองผู้มาใหม่ด้วยความสนใจ
"คารวะท่านพ่อท่านแม่ขอรับ"
"คารวะท่านลุงกับท่านป้าเจ้าค่ะ ข้าน้อยหวงไป๋เฟิ่ง ท่านหญิงแห่งวังชินอ๋องในแดนเหนือเจ้าค่ะ"
"รีบลุกขึ้นเถิด ไม่ได้เจอกันนานท่านอ๋องกับพระชายาสบายดีหรือไม่"
'หลี่หงจิ้น' นายท่านตระกูลหลี่ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ปกป้องแว่นแคว้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนสองส่วน
"ท่านทั้งสองสบายดีเจ้าค่ะ เพียงแต่ยังต้องเฝ้าระวังด่านหน้าเพื่อมิให้คนจากแคว้นอู๋ลงมารุกรานได้เจ้าค่ะ ทั้งเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ยังฝากความคิดถึงมาให้ท่านลุงกับท่านป้าด้วยเจ้าค่ะ"
"ได้ยินเช่นนั้นก็ดี เจ้าเดินทางมาไกลคงลำบากมิใช่น้อยเลยใช่หรือไม่"
'มู่เสี่ยวชิง' ฮูหยินใหญ่ผู้เป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน แววตาของนางทอประกายเอ็นดูสะใภ้คนใหม่ยิ่งนัก
"ไม่ได้ลำบากอะไรเลยเจ้าค่ะ"
หวงไป๋เฟิ่งคลี่ยิ้มหวาน นางรู้สึกโล่งใจที่ท่านลุงกับท่านป้ายังคงเอ็นดูนางไม่เสื่อมคลาย เช่นนี้ชีวิตในจวนตระกูลหลี่ของนางก็จะสงบราบรื่น
"ดีแล้ว ต่อไปจะเรียกท่านลุงท่านป้าไม่ได้แล้วนะ เจ้าคือสะใภ้ของตระกูลหลี่เป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้องเรียกท่านพ่อกับท่านแม่ เข้าใจหรือไม่เฟิ่งเอ๋อร์" มู่เสี่ยวชิงยิ้มบาง
"เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่" หวงไป๋เฟิ่งเอ่ยขึ้นตามคำชี้แนะของผู้อาวุโส หัวใจของนางพลันรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก
"เอาล่ะ ๆ เดี๋ยวจะเลยฤกษ์มงคลไปพวกเจ้ารีบมายกน้ำชาเถิด" เป็นหลี่หงจิ้นที่เอ่ยขึ้น
"ขอรับ/เจ้าค่ะ"
หลี่เหวินซานกับหวงไป๋เฟิ่งรับถ้วยน้ำชาจากบ่าวรับใช้ ทั้งสองคุกเข่าอยู่ด้านหน้าของหลี่หงจิ้นและมู่เสี่ยวชิง ก่อนจะก้มศีรษะยื่นถ้วยน้ำชาเป็นการคารวะให้กับทั้งสองตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมา
ตอนพิเศษ 2ท่านพ่อข้าอยากได้น้องครอบครัวของหลี่เพ่ยจูได้เดินทางกลับสู่แดนใต้หลังจากมาอยู่ที่เมืองหลวงหลายเดือนแล้ว โม่ลี่อินที่ชอบหลี่เฟยหนี่ว์มากร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร เด็กน้อยไม่อยากกลับบ้านเสียแล้ว อยากจะอยู่เล่นกับน้องน้อยที่นี่"ฮือ ๆ ข้าไม่ยั่กกับ ข้ายั่กเล่นกับน้อล ฮือ ๆ" โม่ลี่อินร้องไห้จ้าไม่ยอมขึ้นรถม้าไปกับบิดาและมารดา นางยืนกอดป้าสะใภ้ที่อุ้มหลี่เฟยหนี่ว์อย่างน่าสงสาร เด็กน้อยไม่อยากจากไปไหนเลย"โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะอินเอ๋อร์ อีกไม่นานเราก็จะกลับมาที่นี่อีก ทว่าตอนนี้เราต้องกลับบ้านเสียก่อนนะ" หลี่เพ่ยจูพยายามหลอกล่อบุตรสาว "ไม่ ๆ อินเอ๋อร์ไม่ยั่กรอ อีกนานกว่าจะมาที่นี่ ฮือ ๆ""แต่ว่าอินเอ๋อร์จะต้องรีบกลับไปเตรียมห้องนอนให้น้องแล้วนะ ถ้าหากเรายังอยู่ที่นี่น้องของอินเอ๋อร์ก็จะไม่มีห้องนอนของตัวเองนะ" โม่ลู่หลิ่งก้มหน้าลงไปหาบุตรสาว เมื่อได้ยินเช่นนั้นโม่ลี่อินพลันตาโตแล้วหันไปมองมารดาทันทีด้วยความคาดหวัง"น้อลของอินเอ๋อร์หรือ ทั่นแม่มีน้อลแล้วหรือ""ใช่แล้ว ในท้องของแม่มีน้องของอินเอ๋อร์แล้วนะ" หลี่เพ่ยจูคลี่ยิ้มหวาน นางก้มตัวลงไปหาบุตรสาวด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นเดียวกับสามีท
ตอนพิเศษ 1หลี่เฟยหนี่ว์หวงไป๋เฟิ่งที่เพิ่งคลอดบุตรสาวจำต้องอยู่ไฟเพื่อให้ร่างกายของนางปรับสมดุล ดังนั้นแล้วหลี่เหวินซานที่เป็นห่วงบุตรสาวมากจึงได้ทูลลาราชการกับฮ่องเต้เป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยเขาจะใช้ช่วงเวลานี้ดูแลบุตรสาวที่ยังเล็กและภรรยาที่ยังคงอ่อนแอ ฮ่องเต้หวงลู่หลงเห็นแก่ความดีความชอบของเขาจึงได้ทรงอนุญาตนามของบุตรสาวผู้นี้เป็นหลี่เหวินซานกับหวงไป๋เฟิ่งที่ช่วยกันตั้ง โดยพวกเขาให้ชื่อบุตรสาวคนแรกว่า 'เฟยหนี่ว์' อันหมายถึงหญิงสาวแห่งการโบยบิน เพราะหวงไป๋เฟิ่งนั้นต้องการให้บุตรสาวของนางมีอิสระในการใช้ชีวิต โบยบินไปสู่โลกกว้างด้วยใจของนางเอง"พี่ใหญ่ได้เวลาป้อนนมหนี่ว์เอ๋อร์แล้วเจ้าค่ะ" หลี่ฉิงเซียวเดินเข้ามาในห้องด้านข้างที่อยู่ติดกับห้องของหวงไป๋เฟิ่ง ในตอนนี้นางได้ทำหน้าที่คอยดูแลพี่สะใภ้และเป็นดั่งพี่เลี้ยงให้กับหลานสาวด้วย"พี่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้หนี่ว์เอ๋อร์ก่อน" หลี่เหวินซานตอบกลับมาโดยที่มือคู่นี้ที่เอาแต่จับดาบฆ่าฟันศัตรูกำลังสาละวนกับการผูกผ้าอ้อมให้กับบุตรสาว ตั้งแต่ลางานมาเขาก็คอยดูแลบุตรสาวมิได้ห่าง ทั้งอาบน้ำ เช็ดอึ เช็ดฉี่ เปลี่ยนผ้าอ้อม แล้วยังกล่อมนางนอนบนอกของเขาด้ว
บทส่งท้าย แดนเหนือหลี่เหวินซานใช้เวลาเดินทัพเพียงหนึ่งเดือนกว่าก็มาถึงยังแดนเหนือ ทันทีที่เขามาถึงก็เข้าพบชินอ๋องเพื่อปรึกษาเรื่องการรบ การพบหน้าของพวกเขาครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในฐานะพ่อตาและบุตรเขย ก่อนหน้านี้ทั้งสองเคยพบหน้ากันมาแล้ว ทว่านั่นก็ผ่านมาหลายปีแล้วเช่นกัน"ข้าจะลอบไปทางภูเขาด้านนี้เพื่อตีชายแดนของพวกมันให้แตกราบคาบ ส่วนเจ้าก็อ้อมไปอีกทางตลบหลังพวกมันเสีย" หวงซือเหวินชี้มือไปตามแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะ"แต่กระหม่อมคิดว่านี่จะเสี่ยงเกินไป ทั้งยังทำให้เสียไพร่พลไปเป็นจำนวนมากด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ""เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะทำเช่นไรเล่า" หวงจินหมิงเอ่ยถาม"กระหม่อมคิดว่าจะแบ่งกำลังทหารออกเป็นสี่ส่วน โดยจะต้องมีพลธนูไปด้วย เราจะใช้ธนูไฟเป็นโล่ในการบุกโจมตี แล้วจึงค่อยตีขนาบข้างเพื่อเลี่ยงความสูญเสียของฝั่งเราให้มากที่สุด อีกทั้งแคว้นอู๋นั้นชำนาญเรื่องการสู้รบบนที่ราบมากกว่าเรา กระหม่อมคิดว่าจะใช้ทหารเขี้ยวพยัคฆ์ที่ชำนาญด้านนี้เป็นทัพหน้าเพื่อประจัญบานกับพวกมัน ส่วนทหารของแดนเหนือที่เก่งเรื่องสู้รบบนที่สูงและชำนาญเส้นทางมากกว่าให้เป็นทัพหลัง คอยสนับสนุนจากบนที่สูงจะดีว่าพ่ะย่ะค่ะ" "อืม.
บทที่ 34ชดใช้"คุณหนูเอ่ยแค่นั้นก็เอามีดสั้นกรีดข้อมือเพื่อจบชีวิตลง ข้าตกใจมากจนทำสิ่งใดไม่ถูก คนที่คอยเฝ้าพวกเรารีบเข้ามาช่วยแล้วแต่ก็ไร้ผล คุณหนูได้จากไปด้วยความแค้นใจ...""มิใช่... นางจากไปเพราะยอมรับในชะตาของตนเอง นั่นมิใช่ความแค้นแต่เป็นการยอมรับและปลงในโชคชะตาของตัวเองต่างหากเล่า!" หวงไป๋เฟิ่งแก้ต่าง การกระทำของชุนอวิ๋นทั้งกล้าหาญและโง่เขลาในคราวเดียวกัน ถ้านางบอกความจริงกับท่านพี่เหวินซาน นางอาจจะไม่ต้องมาแบกรับเรื่องนี้เพียงผู้เดียว แต่ว่าตัวนางเองก็ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดของชุนอวิ๋น บางทีชุนอวิ๋นอาจมีเรื่องราวมากมายที่ไม่มีผู้ใดรู้ก็เป็นได้ "ฮือ ๆ คุณหนูของข้ามิควรมาตายเช่นนี้เลย ถ้าท่านมาตามสัญญาจะต้องช่วยนางได้อย่างแน่นอน" ฟางหรูเอ่ยโทษหลี่เหวินซาน"วันนั้นข้าถูกดึงตัวไปปราบโจรจึงมิได้ไปพบนางตามที่สัญญาไว้ ด้วยข้าคิดว่าอีกไม่นานนางก็จะกลับมา..." หลี่เหวินซานที่รู้สาเหตุการตายของชุนอวิ๋นรู้สึกปวดใจยิ่งนัก ตัวเขาไม่เคยรับรู้ถึงความหนักใจของนางเลย"ฮือ ๆ เพราะท่านคนเดียวที่ทำให้คุณหนูของข้าต้องจบชีวิตของตัวเองลง"ฟางหรูร่ำไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร นางคิดถึงคุณหนูเหลือเกิน... แม้
บทที่ 33สาเหตุที่แท้จริงหลี่เหวินซานมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยอาการสงบ คราแรกเขาก็เตรียมใจมาแล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเป็นแน่ แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องในจวนตระกูลชุนจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ "กุมตัวไปขังคุกหลวงทั้งหมด ยกเว้นนาง" เขาเอ่ยสั่งการเสียงเข้มก่อนจะชี้มือไปยังฟางหรู จินเกอที่ติดตามมาด้วยได้เข้ามาควบคุมตัวฟางหรูเพื่อพาไปสืบสวนต่อไป เรื่องของนางนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังไม่ธรรมดาเลยค่ายทหารเขี้ยวพยัคฆ์ฟางหรูถูกนำตัวมาขังยังคุกของค่ายทหารเขี้ยวพยัคฆ์ มือเท้าของนางถูกตรึงด้วยโซ่ตรวนที่ยากจะหลบหนีออกไปได้ ห้องขังนี้เป็นห้องขังเดี่ยวที่มีไว้สำหรับนักโทษสำคัญ หลังจากหลี่เหวินซานเข้าไปรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แล้ว เขาก็ได้มาหาฟางหรูเพื่อไต่สวนนางต่อไป ยังคงมีเรื่องของชุนอวิ๋นที่เขายังไม่รู้ รวมถึงการตายที่แท้จริงของนาง ด้วยตอนนี้ชุนฮูหยินได้เสียสติจนมิอาจให้การอะไรได้อีกแล้ว"เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วยสินะฟางหรูที่สวมรอยอวิ๋นเอ๋อร์" ใบหน้าคมเข้มตวัดสายตามองอดีตสาวใช้ข้างกายของชุนอวิ๋น มิน่าเล่านางถึงได้เลียนแบบชุนอวิ๋นอย่างไร้ที่ติ ทั้งยังรับรู้เรื่องราวข
บทที่ 32ปิดจบเรื่องนี้หลี่เหวินซานมองทุกคนไปมา ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเป็นเขาที่ไม่รู้อะไรเลย ทุกคนต่างร่วมกันแสดงงิ้วฉากใหญ่นี้ขึ้นมา โดยที่ไม่คิดว่าตัวเขานั้นจะรู้สึกเจ็บปวดใจเช่นไร ทั้งที่สามารถบอกเขาก่อนได้"ท่านพี่คงกำลังคิดว่าเหตุใดพวกเราถึงไม่บอกท่านใช่หรือไม่ ดังเช่นที่ท่านพี่ไม่บอกข้าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ปล่อยให้ข้านอนร้องไห้หลังจากกลับจากโรงเตี๊ยม ถ้าไม่ใช่เพราะอาเฟิงแอบมาบอกว่าทุกอย่างที่ท่านพี่ทำลงไปเพื่อสืบหาตัวจริงของชุนอวิ๋น ข้าคงได้เป็นบ้าตายและทำเรื่องไม่ยั้งคิดไปเสียแล้ว" หวงไป๋เฟิ่งยังคงรู้สึกน้อยใจสามีในเรื่องนี้ นางยังเสียใจที่เขาเข้าข้างชุนอวิ๋นและดูเป็นห่วงอีกฝ่ายมากเรื่องเกิน"เรื่องนั้น... พี่ทำไปเพราะต้องการกันเจ้าให้ออกห่างจากเรื่องนี้ มันอันตรายมากนะเฟิ่งเอ๋อร์ ชุนอวิ๋นผู้นั้นเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่านางมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ และเหตุใดนางถึงได้สวมรอยได้เหมือนกับชุนอวิ๋นตัวจริงยิ่งนัก เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวพันแค่เพียงพวกเราแต่ยังเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองด้วย""ข้ารู้ว่าท่านพี่เป็นห่วงข้า แต่เราเป็นสามีภรรยากันก็มิควรมีเรื่องปิดบังกันมิใช่หรือเจ้าคะ วันนั้นท่านพี่ก็







