Mag-log inบทที่ 1
คำสัญญาของสามี
หลี่เหวินซานใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมสติให้กลับคืนมา ก่อนที่สายตาคู่คมจะสบประสานกับดวงตากลมโตของหวงไป๋เฟิ่ง นางยิ้มให้เขาน้อย ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ทำให้คนผู้หนึ่งรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองไปเสียแล้ว
"อะแฮ่ม เรามาดื่มสุรามงคลกันก่อนเถิดจะได้พักผ่อนเสียที วันนี้ท่านหญิงคงจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว"
"เจ้าค่ะ"
หลี่เหวินซานเดินไปหยิบจอกสุราแล้วยื่นให้กับหญิงสาวหนึ่งจอก เขาทรุดกายลงนั่งข้างนางแล้วคล้องแขนดื่มสุรามงคลด้วยกัน สุรานี้ไม่แรงนักทว่าคนตรงหน้ากลับเริ่มมีท่าทางที่แปลกไป
"อื้อ... สุราดี!"
"ท่านหญิง..."
หลี่เหวินซานเอ่ยเรียกสตรีข้างกาย ด้วยเขาสังเกตว่าใบหน้าของนางแดงก่ำยิ่งนัก มิใช่ว่านางดื่มไปแค่จอกเดียวก็เมามายเสียแล้วหรือ
"อึก! ตอนนี้เราสองก็เป็นสามีภรรยากันแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะท่านแม่ทัพน้อย"
"ใช่! และข้าคงต้องพูดกับท่านหญิงให้ชัดเจน ข้ารู้ดีว่าท่านหญิงมิได้เต็มใจแต่งงานกับข้า ส่วนข้าเองก็ทำไปเพราะท่านพ่อกับท่านแม่ร้องขอ เช่นนั้นข้าขอสัญญากับท่านหญิงว่าข้าจะไม่แตะต้องตัวท่านหญิง และจะให้เกียรติท่านหญิงในฐานะฮูหยินเอก"
หลี่เหวินซานกลั้นใจเอ่ยออกไป เขาจะต้องพูดกับนางให้ชัดเจนเพราะในใจของเขามีสตรีผู้หนึ่งอยู่แล้ว เขามิอาจลืมเลือนนางได้และเขาก็ไม่ต้องการทำให้ท่านหญิงต้องมารู้สึกเจ็บปวดใจกับเขาด้วย อย่างน้อยหากแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ชีวิตคู่ของพวกเขาก็จะสงบราบรื่น
ตัวเขาเองไม่ได้รักท่านหญิงเลยแม้แต่น้อย!
"ข้าเข้าใจแล้ว ท่านกำลังจะบอกว่าไม่ให้ข้าหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าในใจของท่านจะมีข้าใช่หรือไม่ ตัวข้าเองก็ขอพูดบ้างว่าข้านั้นก็ไม่คิดจะฝืนใจใคร หากทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เสด็จพ่อทรงวางแผนเอาไว้ และแดนเหนือสงบสุขแล้วข้าจะขอเขียนหนังสือหย่าให้ท่าน คืนอิสระให้แก่กันไม่ผูกมัดกันอีกต่อไป"
หลี่เหวินซานตะลึงงันที่ได้ยินคำพูดนี้ของหวงไป๋เฟิ่ง ใจหนึ่งก็รู้สึกว่านางนั้นรู้ความดี ทว่าในใจลึก ๆ กลับไม่ชอบใจนักที่ได้ยินว่านางจะเขียนหนังสือหย่าให้กับเขา
"เราเข้าใจตรงกันเช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นท่านหญิงก็ไปพักผ่อนเถิด คืนนี้เราคงต้องนอนเตียงเดียวกันเสียแล้ว"
"ชู่! เอาแต่เรียกข้าว่าท่านหญิงอยู่นั่นแหละ ท่านลืมไป๋เฟิ่งคนนี้แล้วใช่หรือไม่"
หวงไป๋เฟิ่งยกมือขึ้นมาปิดปากเขา นี่เป็นผลจากฤทธิ์สุราจึงทำให้นางใจกล้ากว่าเดิม ทั้งที่นางตั้งใจจะสงวนท่าทีให้สมกับเป็นท่านหญิงแห่งวังชินอ๋อง ทว่าตอนนี้ท่าทางของนางราวกับเด็กน้อยที่เมามายเพราะฤทธิ์สุราไปเสียแล้ว ท่าทางที่น่าเกรงขามเมื่อเอ่ยเรื่องหนังสือหย่าพลันหายไปพริบตาเดียว
"ไป๋เฟิ่ง ข้าจะเรียกท่านหญิงว่าไป๋เฟิ่งก็แล้วกัน"
นางพยักหน้ารับ "งั้นข้าเรียกท่านพี่เหวินซานเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนได้หรือไม่"
"ย่อมได้ ข้ายังคิดว่าท่าน... เอ่อ ไป๋เฟิ่งลืมพี่ชายผู้นี้ไปแล้วเสียอีก ไม่ได้เจอกัน 10 กว่าปีเจ้าดูเปลี่ยนไปมากเลย"
ท่าทางที่เคยสุขุมพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ภายในใจนึกถึงเรื่องเมื่อวัยเยาว์ที่เขาได้ไปพำนักยังแดนเหนือหนึ่งเดือน ช่วงเวลานั้นเขากับนางสนิทสนมกันมาก แม้วันแรกจะมีเรื่องที่ทำให้นางเสียใจจนร้องไห้ก็เถอะ ช่างน่าเสียดายตอนที่เขาต้องกลับเมืองหลวงนางไม่ได้มาส่งเขาด้วยตนเอง
"ข้าไม่ใช่เจ้าก้อนซาลาเปาเดินได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ" นางมองค้อนเขาด้วยความไม่พอใจ
"เรื่องก็นานมากแล้ว เจ้ายังเก็บเอาคิดใส่ใจอีกหรือ" หลี่เหวินซานส่ายหน้าให้กับเจ้าสาวของตน นางยังเด็กนัก
"ไม่ได้ตั้งใจจำ แต่มันไม่เคยลืมต่างหากเจ้าค่ะ"
หวงไป๋เฟิ่งเริ่มขยับตัวยุกยิกเพราะรู้สึกร้อน นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินซวนเซเล็กน้อยเพื่อจะไปยังห้องอาบน้ำ
"เจ้าจะไปไหน"
"ข้าจะไปอาบน้ำเจ้าค่ะ"
"ข้าช่วย"
หลี่เหวินซานนั่งมองการเดินของนางก็ได้แต่ส่ายหน้า หากนางยังเดินเซไปเซมาเช่นนี้คงจะไม่ได้อาบน้ำเป็นแน่ เขาจึงได้เข้ามาอุ้มนางแล้วพาเดินไปยังห้องอาบน้ำ วางร่างระหงที่แสนเบานี้ลงตรงเก้าอี้ข้างถังอาบน้ำ
"ขอบคุณเจ้าค่ะ"
นางหันมายิ้มหวานให้กับเขา แล้วจัดการถอดอาภรณ์ของตนออกจากกายอย่างรีบร้อน ทว่าหลังจากอาภรณ์ชั้นนอกถูกถอดออกไปแล้ว นางกลับเพิ่งนึกออกว่าตัวเองลืมถอดเครื่องประดับอันหนักบนหัวเสียได้ ความคิดของหวงไป๋เฟิ่งไม่ได้ซับซ้อนนัก เมื่อนางถอดไม่ได้ก็ขอให้คนที่อยู่ในห้องช่วยก็แล้วกัน คิดได้เช่นนั้นร่างระหงที่มีแค่อาภรณ์เนื้อบางคลุมร่างกายจึงได้เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ นางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหลี่เหวินซานที่เวลานี้กำลังหายใจติดขัด
"ท่านพี่เหวินซาน ท่านช่วยถอดเครื่องประดับหัวให้ข้าทีเถิด ข้าถอดไม่ได้เจ้าค่ะ"
"ทะ ทำไมเจ้าไม่แต่งกายให้เรียบร้อยก่อนเล่า"
หลี่เหวินซานเอ่ยเสียงเครียด ใบหูของเขาบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำไปเสียแล้ว เขามิได้ตั้งใจจะมองนางทว่าเพราะจู่ ๆ นางก็พุ่งตัวมาอยู่ตรงหน้าของเขา ทำให้เขาเห็นผิวกายในที่ลับของนางได้อย่างชัดเจน และชุดคลุมตัวบางสีขาวนี้ก็แทบปกปิดร่างกายอันงดงามที่ทำให้ใจบุรุษสั่นไหวไม่ได้เลย
ให้ตายเถิด! ทำไมนางถึงไม่ระวังตัวเสียบ้างเลย เขาเป็นบุรุษที่มีเลือดเนื้อมีความรู้สึกเหมือนกันนะ!
"ข้าลืมเจ้าค่ะ ท่านพี่เหวินซานก็รีบถอดปิ่นให้ข้าเร็ว ๆ สิเจ้าคะ"
หวงไป๋เฟิ่งเอ่ยตอบน้ำเสียงอ้อแอ้ มิได้รับรู้เลยว่าตัวเองกำลังทำให้บุรุษผู้หนึ่งที่ไม่ได้แตะต้องสตรีมานานรู้สึกลำบากทั้งใจและกายถึงเพียงนี้
"เข้าใจแล้ว เจ้าไปนั่งตรงด้านนู้นก่อน"
หลี่เหวินซานชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง หวงไป๋เฟิ่งก็เชื่อฟังยิ่งนัก นางเดินเซไปเซมาไปยังโต๊ะเครื่องแป้งแล้วนั่งลงอย่างเชื่อฟัง ส่วนหลี่เหวินซานก็ได้ถอดชุดคลุมตัวนอกของตัวเองมาคลุมกายของนางเอาไว้ เพื่อป้องกันสายตาของเขาเอง...
"ข้าไม่หนาวเจ้าคะ" นางหันมาแย้ง พยายามจะถอดชุดคลุมคืนเขา ทว่าหลี่เหวินซานย่อมไม่ยอมเช่นกัน
"เจ้าควรแต่งกายให้เรียบร้อย อย่างไรข้าก็เป็นบุรุษ"
"ก็... ท่านพี่เหวินซานบอกว่าจะไม่แตะต้องตัวข้ามิใช่หรือเจ้าคะ"
"ใช่! ข้าพูดเช่นนั้น แต่เจ้าก็มิควรแต่งกายไม่เรียบร้อยเช่นนี้ เข้าใจหรือไม่" เขาเอ่ยเสียงเข้มเพื่อเตือนนาง
"เจ้าค่ะ"
หวงไป๋เฟิ่งยิ้มพราย ที่แท้เขาก็กลัวใจตัวเองใช่หรือไม่ หึ ๆ! เมื่อรู้ว่าเขาเองก็มีความหวั่นไหวให้กับนางเช่นกัน ใจหญิงสาวพลันรู้สึกตื่นเต้นยินดีขึ้นมาไม่น้อย
หลี่เหวินซานใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะถอดปิ่นประดับผมของนางออกจนหมด เมื่อถอดเสร็จแล้วผมของนางที่ตอนแรกทำเป็นมวยก็ได้คลายออก ผมยาวสลวยทิ้งตัวลงมาที่แผ่นหลังเล็ก กลิ่นหอมอ่อน ๆ พลันแตะจมูกโด่งของหลี่เหวินซาน โดยที่เขาเองก็ได้พลั้งเผลอสูดดมเข้าไปเต็มปอด
กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ป่า ทว่ากลับหอมละมุนไม่ฉุนเฉียวดั่งน้ำปรุงที่สตรีในเมืองหลวงชอบใช้กัน
"อ๊ะ! เสร็จแล้วหรือเจ้าคะ"
หวงไป๋เฟิ่งเอี้ยวตัวหันกลับมามองหลี่เหวินซาน ทำให้เวลานี้ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันแค่คืบ ทั้งสองชะงักไปกับความใกล้ชิดที่ไม่ทันตั้งตัวนี้ ลมหายใจพลันสะดุดกึก ดวงตาทั้งสองมองสบประสานเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นหวงไป๋เฟิ่งพลันสะอึกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
"อึก! อ๊ะ! ขออภัยเจ้าค่ะ ขะ ข้าขอไปอาบน้ำก่อนดีกว่า"
หวงไป๋เฟิ่งรีบยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วลุกพรวดเดินหายเข้าไปในห้องน้ำทันที นางจับหน้าอกของตัวเองด้วยความสับสนในจิตใจ
'อ่า... นางไม่เคยลบเขาออกไปจากใจได้เลย ยังคงเก็บเขาเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ทว่าเมื่อได้ใกล้ชิดกับเขาเพียงครู่ หัวใจของนางก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง!'
ท่านพี่เหวินซาน... ข้าไม่เคยลืมท่านได้เลยเจ้าค่ะ!!
ตอนพิเศษ 2ท่านพ่อข้าอยากได้น้องครอบครัวของหลี่เพ่ยจูได้เดินทางกลับสู่แดนใต้หลังจากมาอยู่ที่เมืองหลวงหลายเดือนแล้ว โม่ลี่อินที่ชอบหลี่เฟยหนี่ว์มากร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร เด็กน้อยไม่อยากกลับบ้านเสียแล้ว อยากจะอยู่เล่นกับน้องน้อยที่นี่"ฮือ ๆ ข้าไม่ยั่กกับ ข้ายั่กเล่นกับน้อล ฮือ ๆ" โม่ลี่อินร้องไห้จ้าไม่ยอมขึ้นรถม้าไปกับบิดาและมารดา นางยืนกอดป้าสะใภ้ที่อุ้มหลี่เฟยหนี่ว์อย่างน่าสงสาร เด็กน้อยไม่อยากจากไปไหนเลย"โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะอินเอ๋อร์ อีกไม่นานเราก็จะกลับมาที่นี่อีก ทว่าตอนนี้เราต้องกลับบ้านเสียก่อนนะ" หลี่เพ่ยจูพยายามหลอกล่อบุตรสาว "ไม่ ๆ อินเอ๋อร์ไม่ยั่กรอ อีกนานกว่าจะมาที่นี่ ฮือ ๆ""แต่ว่าอินเอ๋อร์จะต้องรีบกลับไปเตรียมห้องนอนให้น้องแล้วนะ ถ้าหากเรายังอยู่ที่นี่น้องของอินเอ๋อร์ก็จะไม่มีห้องนอนของตัวเองนะ" โม่ลู่หลิ่งก้มหน้าลงไปหาบุตรสาว เมื่อได้ยินเช่นนั้นโม่ลี่อินพลันตาโตแล้วหันไปมองมารดาทันทีด้วยความคาดหวัง"น้อลของอินเอ๋อร์หรือ ทั่นแม่มีน้อลแล้วหรือ""ใช่แล้ว ในท้องของแม่มีน้องของอินเอ๋อร์แล้วนะ" หลี่เพ่ยจูคลี่ยิ้มหวาน นางก้มตัวลงไปหาบุตรสาวด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นเดียวกับสามีท
ตอนพิเศษ 1หลี่เฟยหนี่ว์หวงไป๋เฟิ่งที่เพิ่งคลอดบุตรสาวจำต้องอยู่ไฟเพื่อให้ร่างกายของนางปรับสมดุล ดังนั้นแล้วหลี่เหวินซานที่เป็นห่วงบุตรสาวมากจึงได้ทูลลาราชการกับฮ่องเต้เป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยเขาจะใช้ช่วงเวลานี้ดูแลบุตรสาวที่ยังเล็กและภรรยาที่ยังคงอ่อนแอ ฮ่องเต้หวงลู่หลงเห็นแก่ความดีความชอบของเขาจึงได้ทรงอนุญาตนามของบุตรสาวผู้นี้เป็นหลี่เหวินซานกับหวงไป๋เฟิ่งที่ช่วยกันตั้ง โดยพวกเขาให้ชื่อบุตรสาวคนแรกว่า 'เฟยหนี่ว์' อันหมายถึงหญิงสาวแห่งการโบยบิน เพราะหวงไป๋เฟิ่งนั้นต้องการให้บุตรสาวของนางมีอิสระในการใช้ชีวิต โบยบินไปสู่โลกกว้างด้วยใจของนางเอง"พี่ใหญ่ได้เวลาป้อนนมหนี่ว์เอ๋อร์แล้วเจ้าค่ะ" หลี่ฉิงเซียวเดินเข้ามาในห้องด้านข้างที่อยู่ติดกับห้องของหวงไป๋เฟิ่ง ในตอนนี้นางได้ทำหน้าที่คอยดูแลพี่สะใภ้และเป็นดั่งพี่เลี้ยงให้กับหลานสาวด้วย"พี่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้หนี่ว์เอ๋อร์ก่อน" หลี่เหวินซานตอบกลับมาโดยที่มือคู่นี้ที่เอาแต่จับดาบฆ่าฟันศัตรูกำลังสาละวนกับการผูกผ้าอ้อมให้กับบุตรสาว ตั้งแต่ลางานมาเขาก็คอยดูแลบุตรสาวมิได้ห่าง ทั้งอาบน้ำ เช็ดอึ เช็ดฉี่ เปลี่ยนผ้าอ้อม แล้วยังกล่อมนางนอนบนอกของเขาด้ว
บทส่งท้าย แดนเหนือหลี่เหวินซานใช้เวลาเดินทัพเพียงหนึ่งเดือนกว่าก็มาถึงยังแดนเหนือ ทันทีที่เขามาถึงก็เข้าพบชินอ๋องเพื่อปรึกษาเรื่องการรบ การพบหน้าของพวกเขาครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในฐานะพ่อตาและบุตรเขย ก่อนหน้านี้ทั้งสองเคยพบหน้ากันมาแล้ว ทว่านั่นก็ผ่านมาหลายปีแล้วเช่นกัน"ข้าจะลอบไปทางภูเขาด้านนี้เพื่อตีชายแดนของพวกมันให้แตกราบคาบ ส่วนเจ้าก็อ้อมไปอีกทางตลบหลังพวกมันเสีย" หวงซือเหวินชี้มือไปตามแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะ"แต่กระหม่อมคิดว่านี่จะเสี่ยงเกินไป ทั้งยังทำให้เสียไพร่พลไปเป็นจำนวนมากด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ""เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะทำเช่นไรเล่า" หวงจินหมิงเอ่ยถาม"กระหม่อมคิดว่าจะแบ่งกำลังทหารออกเป็นสี่ส่วน โดยจะต้องมีพลธนูไปด้วย เราจะใช้ธนูไฟเป็นโล่ในการบุกโจมตี แล้วจึงค่อยตีขนาบข้างเพื่อเลี่ยงความสูญเสียของฝั่งเราให้มากที่สุด อีกทั้งแคว้นอู๋นั้นชำนาญเรื่องการสู้รบบนที่ราบมากกว่าเรา กระหม่อมคิดว่าจะใช้ทหารเขี้ยวพยัคฆ์ที่ชำนาญด้านนี้เป็นทัพหน้าเพื่อประจัญบานกับพวกมัน ส่วนทหารของแดนเหนือที่เก่งเรื่องสู้รบบนที่สูงและชำนาญเส้นทางมากกว่าให้เป็นทัพหลัง คอยสนับสนุนจากบนที่สูงจะดีว่าพ่ะย่ะค่ะ" "อืม.
บทที่ 34ชดใช้"คุณหนูเอ่ยแค่นั้นก็เอามีดสั้นกรีดข้อมือเพื่อจบชีวิตลง ข้าตกใจมากจนทำสิ่งใดไม่ถูก คนที่คอยเฝ้าพวกเรารีบเข้ามาช่วยแล้วแต่ก็ไร้ผล คุณหนูได้จากไปด้วยความแค้นใจ...""มิใช่... นางจากไปเพราะยอมรับในชะตาของตนเอง นั่นมิใช่ความแค้นแต่เป็นการยอมรับและปลงในโชคชะตาของตัวเองต่างหากเล่า!" หวงไป๋เฟิ่งแก้ต่าง การกระทำของชุนอวิ๋นทั้งกล้าหาญและโง่เขลาในคราวเดียวกัน ถ้านางบอกความจริงกับท่านพี่เหวินซาน นางอาจจะไม่ต้องมาแบกรับเรื่องนี้เพียงผู้เดียว แต่ว่าตัวนางเองก็ไม่ได้ยืนอยู่ในจุดของชุนอวิ๋น บางทีชุนอวิ๋นอาจมีเรื่องราวมากมายที่ไม่มีผู้ใดรู้ก็เป็นได้ "ฮือ ๆ คุณหนูของข้ามิควรมาตายเช่นนี้เลย ถ้าท่านมาตามสัญญาจะต้องช่วยนางได้อย่างแน่นอน" ฟางหรูเอ่ยโทษหลี่เหวินซาน"วันนั้นข้าถูกดึงตัวไปปราบโจรจึงมิได้ไปพบนางตามที่สัญญาไว้ ด้วยข้าคิดว่าอีกไม่นานนางก็จะกลับมา..." หลี่เหวินซานที่รู้สาเหตุการตายของชุนอวิ๋นรู้สึกปวดใจยิ่งนัก ตัวเขาไม่เคยรับรู้ถึงความหนักใจของนางเลย"ฮือ ๆ เพราะท่านคนเดียวที่ทำให้คุณหนูของข้าต้องจบชีวิตของตัวเองลง"ฟางหรูร่ำไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร นางคิดถึงคุณหนูเหลือเกิน... แม้
บทที่ 33สาเหตุที่แท้จริงหลี่เหวินซานมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยอาการสงบ คราแรกเขาก็เตรียมใจมาแล้วว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเป็นแน่ แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องในจวนตระกูลชุนจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ "กุมตัวไปขังคุกหลวงทั้งหมด ยกเว้นนาง" เขาเอ่ยสั่งการเสียงเข้มก่อนจะชี้มือไปยังฟางหรู จินเกอที่ติดตามมาด้วยได้เข้ามาควบคุมตัวฟางหรูเพื่อพาไปสืบสวนต่อไป เรื่องของนางนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังไม่ธรรมดาเลยค่ายทหารเขี้ยวพยัคฆ์ฟางหรูถูกนำตัวมาขังยังคุกของค่ายทหารเขี้ยวพยัคฆ์ มือเท้าของนางถูกตรึงด้วยโซ่ตรวนที่ยากจะหลบหนีออกไปได้ ห้องขังนี้เป็นห้องขังเดี่ยวที่มีไว้สำหรับนักโทษสำคัญ หลังจากหลี่เหวินซานเข้าไปรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แล้ว เขาก็ได้มาหาฟางหรูเพื่อไต่สวนนางต่อไป ยังคงมีเรื่องของชุนอวิ๋นที่เขายังไม่รู้ รวมถึงการตายที่แท้จริงของนาง ด้วยตอนนี้ชุนฮูหยินได้เสียสติจนมิอาจให้การอะไรได้อีกแล้ว"เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วยสินะฟางหรูที่สวมรอยอวิ๋นเอ๋อร์" ใบหน้าคมเข้มตวัดสายตามองอดีตสาวใช้ข้างกายของชุนอวิ๋น มิน่าเล่านางถึงได้เลียนแบบชุนอวิ๋นอย่างไร้ที่ติ ทั้งยังรับรู้เรื่องราวข
บทที่ 32ปิดจบเรื่องนี้หลี่เหวินซานมองทุกคนไปมา ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเป็นเขาที่ไม่รู้อะไรเลย ทุกคนต่างร่วมกันแสดงงิ้วฉากใหญ่นี้ขึ้นมา โดยที่ไม่คิดว่าตัวเขานั้นจะรู้สึกเจ็บปวดใจเช่นไร ทั้งที่สามารถบอกเขาก่อนได้"ท่านพี่คงกำลังคิดว่าเหตุใดพวกเราถึงไม่บอกท่านใช่หรือไม่ ดังเช่นที่ท่านพี่ไม่บอกข้าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ปล่อยให้ข้านอนร้องไห้หลังจากกลับจากโรงเตี๊ยม ถ้าไม่ใช่เพราะอาเฟิงแอบมาบอกว่าทุกอย่างที่ท่านพี่ทำลงไปเพื่อสืบหาตัวจริงของชุนอวิ๋น ข้าคงได้เป็นบ้าตายและทำเรื่องไม่ยั้งคิดไปเสียแล้ว" หวงไป๋เฟิ่งยังคงรู้สึกน้อยใจสามีในเรื่องนี้ นางยังเสียใจที่เขาเข้าข้างชุนอวิ๋นและดูเป็นห่วงอีกฝ่ายมากเรื่องเกิน"เรื่องนั้น... พี่ทำไปเพราะต้องการกันเจ้าให้ออกห่างจากเรื่องนี้ มันอันตรายมากนะเฟิ่งเอ๋อร์ ชุนอวิ๋นผู้นั้นเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่านางมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ และเหตุใดนางถึงได้สวมรอยได้เหมือนกับชุนอวิ๋นตัวจริงยิ่งนัก เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวพันแค่เพียงพวกเราแต่ยังเกี่ยวข้องกับบ้านเมืองด้วย""ข้ารู้ว่าท่านพี่เป็นห่วงข้า แต่เราเป็นสามีภรรยากันก็มิควรมีเรื่องปิดบังกันมิใช่หรือเจ้าคะ วันนั้นท่านพี่ก็







