บทที่ 1
คำสัญญาของสามี
หลี่เหวินซานใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมสติให้กลับคืนมา ก่อนที่สายตาคู่คมจะสบประสานกับดวงตากลมโตของหวงไป๋เฟิ่ง นางยิ้มให้เขาน้อย ๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้ทำให้คนผู้หนึ่งรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองไปเสียแล้ว
"อะแฮ่ม เรามาดื่มสุรามงคลกันก่อนเถิดจะได้พักผ่อนเสียที วันนี้ท่านหญิงคงจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว"
"เจ้าค่ะ"
หลี่เหวินซานเดินไปหยิบจอกสุราแล้วยื่นให้กับหญิงสาวหนึ่งจอก เขาทรุดกายลงนั่งข้างนางแล้วคล้องแขนดื่มสุรามงคลด้วยกัน สุรานี้ไม่แรงนักทว่าคนตรงหน้ากลับเริ่มมีท่าทางที่แปลกไป
"อื้อ... สุราดี!"
"ท่านหญิง..."
หลี่เหวินซานเอ่ยเรียกสตรีข้างกาย ด้วยเขาสังเกตว่าใบหน้าของนางแดงก่ำยิ่งนัก มิใช่ว่านางดื่มไปแค่จอกเดียวก็เมามายเสียแล้วหรือ
"อึก! ตอนนี้เราสองก็เป็นสามีภรรยากันแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะท่านแม่ทัพน้อย"
"ใช่! และข้าคงต้องพูดกับท่านหญิงให้ชัดเจน ข้ารู้ดีว่าท่านหญิงมิได้เต็มใจแต่งงานกับข้า ส่วนข้าเองก็ทำไปเพราะท่านพ่อกับท่านแม่ร้องขอ เช่นนั้นข้าขอสัญญากับท่านหญิงว่าข้าจะไม่แตะต้องตัวท่านหญิง และจะให้เกียรติท่านหญิงในฐานะฮูหยินเอก"
หลี่เหวินซานกลั้นใจเอ่ยออกไป เขาจะต้องพูดกับนางให้ชัดเจนเพราะในใจของเขามีสตรีผู้หนึ่งอยู่แล้ว เขามิอาจลืมเลือนนางได้และเขาก็ไม่ต้องการทำให้ท่านหญิงต้องมารู้สึกเจ็บปวดใจกับเขาด้วย อย่างน้อยหากแต่งงานและอยู่ด้วยกันอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน ชีวิตคู่ของพวกเขาก็จะสงบราบรื่น
ตัวเขาเองไม่ได้รักท่านหญิงเลยแม้แต่น้อย!
"ข้าเข้าใจแล้ว ท่านกำลังจะบอกว่าไม่ให้ข้าหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าในใจของท่านจะมีข้าใช่หรือไม่ ตัวข้าเองก็ขอพูดบ้างว่าข้านั้นก็ไม่คิดจะฝืนใจใคร หากทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เสด็จพ่อทรงวางแผนเอาไว้ และแดนเหนือสงบสุขแล้วข้าจะขอเขียนหนังสือหย่าให้ท่าน คืนอิสระให้แก่กันไม่ผูกมัดกันอีกต่อไป"
หลี่เหวินซานตะลึงงันที่ได้ยินคำพูดนี้ของหวงไป๋เฟิ่ง ใจหนึ่งก็รู้สึกว่านางนั้นรู้ความดี ทว่าในใจลึก ๆ กลับไม่ชอบใจนักที่ได้ยินว่านางจะเขียนหนังสือหย่าให้กับเขา
"เราเข้าใจตรงกันเช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นท่านหญิงก็ไปพักผ่อนเถิด คืนนี้เราคงต้องนอนเตียงเดียวกันเสียแล้ว"
"ชู่! เอาแต่เรียกข้าว่าท่านหญิงอยู่นั่นแหละ ท่านลืมไป๋เฟิ่งคนนี้แล้วใช่หรือไม่"
หวงไป๋เฟิ่งยกมือขึ้นมาปิดปากเขา นี่เป็นผลจากฤทธิ์สุราจึงทำให้นางใจกล้ากว่าเดิม ทั้งที่นางตั้งใจจะสงวนท่าทีให้สมกับเป็นท่านหญิงแห่งวังชินอ๋อง ทว่าตอนนี้ท่าทางของนางราวกับเด็กน้อยที่เมามายเพราะฤทธิ์สุราไปเสียแล้ว ท่าทางที่น่าเกรงขามเมื่อเอ่ยเรื่องหนังสือหย่าพลันหายไปพริบตาเดียว
"ไป๋เฟิ่ง ข้าจะเรียกท่านหญิงว่าไป๋เฟิ่งก็แล้วกัน"
นางพยักหน้ารับ "งั้นข้าเรียกท่านพี่เหวินซานเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนได้หรือไม่"
"ย่อมได้ ข้ายังคิดว่าท่าน... เอ่อ ไป๋เฟิ่งลืมพี่ชายผู้นี้ไปแล้วเสียอีก ไม่ได้เจอกัน 10 กว่าปีเจ้าดูเปลี่ยนไปมากเลย"
ท่าทางที่เคยสุขุมพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ภายในใจนึกถึงเรื่องเมื่อวัยเยาว์ที่เขาได้ไปพำนักยังแดนเหนือหนึ่งเดือน ช่วงเวลานั้นเขากับนางสนิทสนมกันมาก แม้วันแรกจะมีเรื่องที่ทำให้นางเสียใจจนร้องไห้ก็เถอะ ช่างน่าเสียดายตอนที่เขาต้องกลับเมืองหลวงนางไม่ได้มาส่งเขาด้วยตนเอง
"ข้าไม่ใช่เจ้าก้อนซาลาเปาเดินได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ" นางมองค้อนเขาด้วยความไม่พอใจ
"เรื่องก็นานมากแล้ว เจ้ายังเก็บเอาคิดใส่ใจอีกหรือ" หลี่เหวินซานส่ายหน้าให้กับเจ้าสาวของตน นางยังเด็กนัก
"ไม่ได้ตั้งใจจำ แต่มันไม่เคยลืมต่างหากเจ้าค่ะ"
หวงไป๋เฟิ่งเริ่มขยับตัวยุกยิกเพราะรู้สึกร้อน นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินซวนเซเล็กน้อยเพื่อจะไปยังห้องอาบน้ำ
"เจ้าจะไปไหน"
"ข้าจะไปอาบน้ำเจ้าค่ะ"
"ข้าช่วย"
หลี่เหวินซานนั่งมองการเดินของนางก็ได้แต่ส่ายหน้า หากนางยังเดินเซไปเซมาเช่นนี้คงจะไม่ได้อาบน้ำเป็นแน่ เขาจึงได้เข้ามาอุ้มนางแล้วพาเดินไปยังห้องอาบน้ำ วางร่างระหงที่แสนเบานี้ลงตรงเก้าอี้ข้างถังอาบน้ำ
"ขอบคุณเจ้าค่ะ"
นางหันมายิ้มหวานให้กับเขา แล้วจัดการถอดอาภรณ์ของตนออกจากกายอย่างรีบร้อน ทว่าหลังจากอาภรณ์ชั้นนอกถูกถอดออกไปแล้ว นางกลับเพิ่งนึกออกว่าตัวเองลืมถอดเครื่องประดับอันหนักบนหัวเสียได้ ความคิดของหวงไป๋เฟิ่งไม่ได้ซับซ้อนนัก เมื่อนางถอดไม่ได้ก็ขอให้คนที่อยู่ในห้องช่วยก็แล้วกัน คิดได้เช่นนั้นร่างระหงที่มีแค่อาภรณ์เนื้อบางคลุมร่างกายจึงได้เดินออกมาจากห้องอาบน้ำ นางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหลี่เหวินซานที่เวลานี้กำลังหายใจติดขัด
"ท่านพี่เหวินซาน ท่านช่วยถอดเครื่องประดับหัวให้ข้าทีเถิด ข้าถอดไม่ได้เจ้าค่ะ"
"ทะ ทำไมเจ้าไม่แต่งกายให้เรียบร้อยก่อนเล่า"
หลี่เหวินซานเอ่ยเสียงเครียด ใบหูของเขาบัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำไปเสียแล้ว เขามิได้ตั้งใจจะมองนางทว่าเพราะจู่ ๆ นางก็พุ่งตัวมาอยู่ตรงหน้าของเขา ทำให้เขาเห็นผิวกายในที่ลับของนางได้อย่างชัดเจน และชุดคลุมตัวบางสีขาวนี้ก็แทบปกปิดร่างกายอันงดงามที่ทำให้ใจบุรุษสั่นไหวไม่ได้เลย
ให้ตายเถิด! ทำไมนางถึงไม่ระวังตัวเสียบ้างเลย เขาเป็นบุรุษที่มีเลือดเนื้อมีความรู้สึกเหมือนกันนะ!
"ข้าลืมเจ้าค่ะ ท่านพี่เหวินซานก็รีบถอดปิ่นให้ข้าเร็ว ๆ สิเจ้าคะ"
หวงไป๋เฟิ่งเอ่ยตอบน้ำเสียงอ้อแอ้ มิได้รับรู้เลยว่าตัวเองกำลังทำให้บุรุษผู้หนึ่งที่ไม่ได้แตะต้องสตรีมานานรู้สึกลำบากทั้งใจและกายถึงเพียงนี้
"เข้าใจแล้ว เจ้าไปนั่งตรงด้านนู้นก่อน"
หลี่เหวินซานชี้ไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง หวงไป๋เฟิ่งก็เชื่อฟังยิ่งนัก นางเดินเซไปเซมาไปยังโต๊ะเครื่องแป้งแล้วนั่งลงอย่างเชื่อฟัง ส่วนหลี่เหวินซานก็ได้ถอดชุดคลุมตัวนอกของตัวเองมาคลุมกายของนางเอาไว้ เพื่อป้องกันสายตาของเขาเอง...
"ข้าไม่หนาวเจ้าคะ" นางหันมาแย้ง พยายามจะถอดชุดคลุมคืนเขา ทว่าหลี่เหวินซานย่อมไม่ยอมเช่นกัน
"เจ้าควรแต่งกายให้เรียบร้อย อย่างไรข้าก็เป็นบุรุษ"
"ก็... ท่านพี่เหวินซานบอกว่าจะไม่แตะต้องตัวข้ามิใช่หรือเจ้าคะ"
"ใช่! ข้าพูดเช่นนั้น แต่เจ้าก็มิควรแต่งกายไม่เรียบร้อยเช่นนี้ เข้าใจหรือไม่" เขาเอ่ยเสียงเข้มเพื่อเตือนนาง
"เจ้าค่ะ"
หวงไป๋เฟิ่งยิ้มพราย ที่แท้เขาก็กลัวใจตัวเองใช่หรือไม่ หึ ๆ! เมื่อรู้ว่าเขาเองก็มีความหวั่นไหวให้กับนางเช่นกัน ใจหญิงสาวพลันรู้สึกตื่นเต้นยินดีขึ้นมาไม่น้อย
หลี่เหวินซานใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะถอดปิ่นประดับผมของนางออกจนหมด เมื่อถอดเสร็จแล้วผมของนางที่ตอนแรกทำเป็นมวยก็ได้คลายออก ผมยาวสลวยทิ้งตัวลงมาที่แผ่นหลังเล็ก กลิ่นหอมอ่อน ๆ พลันแตะจมูกโด่งของหลี่เหวินซาน โดยที่เขาเองก็ได้พลั้งเผลอสูดดมเข้าไปเต็มปอด
กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ป่า ทว่ากลับหอมละมุนไม่ฉุนเฉียวดั่งน้ำปรุงที่สตรีในเมืองหลวงชอบใช้กัน
"อ๊ะ! เสร็จแล้วหรือเจ้าคะ"
หวงไป๋เฟิ่งเอี้ยวตัวหันกลับมามองหลี่เหวินซาน ทำให้เวลานี้ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันแค่คืบ ทั้งสองชะงักไปกับความใกล้ชิดที่ไม่ทันตั้งตัวนี้ ลมหายใจพลันสะดุดกึก ดวงตาทั้งสองมองสบประสานเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นหวงไป๋เฟิ่งพลันสะอึกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
"อึก! อ๊ะ! ขออภัยเจ้าค่ะ ขะ ข้าขอไปอาบน้ำก่อนดีกว่า"
หวงไป๋เฟิ่งรีบยกมือขึ้นมาปิดปากแล้วลุกพรวดเดินหายเข้าไปในห้องน้ำทันที นางจับหน้าอกของตัวเองด้วยความสับสนในจิตใจ
'อ่า... นางไม่เคยลบเขาออกไปจากใจได้เลย ยังคงเก็บเขาเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ทว่าเมื่อได้ใกล้ชิดกับเขาเพียงครู่ หัวใจของนางก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง!'
ท่านพี่เหวินซาน... ข้าไม่เคยลืมท่านได้เลยเจ้าค่ะ!!
บทที่ 9หัวใจว้าวุ่นเย็นนั้นทั้งสองกลับจวนตระกูลหลี่ไปด้วยกัน โดยที่หลี่เหวินซานนั่งรถม้ากลับมาพร้อมกับหวงไป๋เฟิ่งด้วย ตลอดเส้นทางกลับจวนนั้นทั้งสองเอาแต่นั่งเงียบไม่มีใครเอ่ยปากเลย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง หลี่เหวินซานกำลังคิดว่าหรือว่าเขาจะยกเลิกการเดิมพันครั้งนี้ แต่เขาเป็นถึงแม่ทัพเอ่ยคำไหนก็ควรเป็นคำนั้น อีกอย่างจะได้ทำให้หวงไป๋เฟิ่งรู้ตัวว่าไม่ควรท้าประลองกับผู้ใด ถึงแม้ว่าครั้งนี้นางจะต้องใจยอมแพ้ก็เถิด มิรู้ว่าใจจริงของนางนั้นคิดเช่นไร 'เจ้าตั้งใจยอมแพ้เพื่อให้เจียงเฉียงได้หน้า หรือว่าต้องการอาบน้ำให้ข้ากันแน่?!'ส่วนหวงไป๋เฟิ่งก็กำลังนึกเสียใจที่ตัวเองยอมให้เจียงเฉียงชนะ ในตอนนั้นนางแค่คิดว่าควรจะให้เขาที่เป็นถึงรองแม่ทัพชนะนางเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับเหล่าทหาร แต่ว่านางกลับลืมไปเสียสนิทว่าหากนางแพ้นั้นจะต้องอาบน้ำให้กับเขา 'เฮ้อ... ทำไม่ข้าถึงได้โง่เง่าเช่นนี้นะ เกิดมายังไม่เคยอาบน้ำให้ผู้ใดเลย!'คู่สามีภรรยาลอบมองอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ โดยที่ความคิดของพวกเขาจมอยู่กับการเรื่องการอาบน้ำ!"ถึงจวนแล้วขอรับ" หย่งคังเป็นผู้เอ่ยบอกคนที่อยู่ในรถม้า หลังจากรถม้าจอดห
บทที่ 8ชนะเดิมพันด่านแรกทั้งสองสามารถทำได้ดีถือว่าเสมอกัน ต่อไปจึงเป็นด่านที่สองที่จะต้องยิงผลผิงกั่วให้ได้อย่างน้อย 3 ลูก จาก 5 ลูก ครั้งนี้หวงไป๋เฟิ่งเป็นคนเริ่มก่อน นางยืดหลังตรงอย่างสง่างาม แล้วเล็งลูกธนูใส่ผลผิงกั่วที่ส่ายไปส่ายมาบนกิ่งไม้สูงที่ห่างออกไป 30 ผิง อย่างเยือกเย็นก่อนจะปล่อยลูกธนูให้พุ่งเข้าใส่ลูกผิงกั่วอย่างแม่นยำฟิ้ว ฉึก!หวงไป๋เฟิ่งสามารถยิงลูกผิงกั่วให้ตกลงพื้นได้ทั้งหมด สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนที่เฝ้ามองการยิงธนูของนาง เสียงตบมือพลันดังกึกก้องจากเหล่าทหารด้วยความชื่นชม"ฮูหยินน้อยช่างเก่งกาจนัก! สมแล้วที่เป็นบุตรีของชินอ๋อง" เจียงเฉียงเอ่ยชื่นชมจากใจจริง ตัวเขาเคารพผู้ที่มีฝีมือ แม้จะเป็นสตรีแต่เขาก็นับถือยิ่งนัก"รองแม่ทัพเจียงกล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ฝีมือของข้ายังอ่อนด้อยนักเมื่อเทียบกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่" "ถ่อมตัวเกินไปแล้ว" เป็นหลี่เหวินซานที่เอ่ยขึ้น เขามองดูนางด้วยความชื่นชมเล็กน้อย แต่คิ้วกลับกระตุกเมื่อเห็นนางส่งยิ้มให้กับรองแม่ทัพของเขาอยู่บ่อยครั้ง 'ไม่รู้จะยิ้มให้กันทำไมมากมาย ขัดหูขัดตานัก!'"ต่อไปก็ถึงคราวของข้าแล้วขอรับ" เจียงเฉียงก้าวไ
บทที่ 7การประลองยิงธนูหลี่เหวินซานควบเจ้าต้าเฮยไปตามแนวป่าของค่ายทหาร โดยเขาใช้ความเร็วเจ็ดส่วนของเจ้าต้าเฮย เขาเองก็อยากจะพิสูจน์ว่าหวงไป๋เฟิ่งจะรู้สึกกลัวหรือไม่ ทว่านางกลับยิ้มร่าด้วยความชอบใจ ทั้งยังหันมาบอกให้เขาเพิ่มความเร็วเสียอีก หลี่เหวินซานมองสตรีที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดนางไม่เหมือนใครจริง ๆ ด้วย!"เจ้าต้าเฮยวิ่งได้เร็วแค่นี้หรือเจ้าคะ" นางเอี้ยวตัวหันมาถามคนด้านหลังขณะที่ม้าวิ่งด้วยความเร็วหลี่เหวินซานรีบจับเอวเล็กคอดของนางเอาไว้แน่นไม่ให้ขยับตัว พร้อมกับเอ่ยตำหนิเสียงเข้ม "อย่าขยับ ม้ากำลังวิ่งเดี๋ยวก็พลัดตกลงไปหรอก และใช่! เจ้าต้าเฮยวิ่งได้เร็วแค่นี้" เขาโกหกนาง"ม้าของเสด็จพ่อยังวิ่งเร็วกว่าเจ้าต้าเฮยอีกเจ้าค่ะ หรือเป็นเพราะท่านพี่ไม่ค่อยพามันออกไปวิ่งเล่นบ่อย ๆ กันแน่เจ้าคะ ทำให้ฝีเท้าของมันตกลงเช่นนี้""อาจจะเป็นเช่นนั้น"หลี่เหวินซานตอบเพียงแค่นั้น เขาหันกลับไปสนใจบังคับเจ้าต้าเฮยให้วิ่งกลับไปยังคอกม้าของตน เวลานี้หัวใจของเขาเริ่มจะไม่ปกติเสียแล้ว เพียงแค่ใกล้ชิดกับนางชั่วครู่กลับเริ่มทำให้เขารู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ร่างกายอันนุ่มนิ่มและกล
บทที่ 6เจ้าต้าเฮยแสนพยศทั้งสองต่างจ้องมองกันอย่างไม่มีใครยอมใคร หลี่เหวินซานก็เป็นห่วงนางไม่อยากให้ถูกมองไม่ดีและกลัวจะเกิดอันตรายกับนางได้ ทว่าหวงไป๋เฟิ่งกลับมองว่าเขาต้องการกีดกันนางและเอ่ยวาจาจาบจ้วงไปถึงเสด็จพ่อ นางซึ่งเป็นบุตรสาวย่อมไม่ยอมให้ผู้ใดมาดูหมิ่นตัวเองและลามไปถึงเสด็จพ่อได้ การประลองครั้งนี้จึงได้บังเกิดขึ้น!"แต่ข้าคิดว่าแค่ประลองเฉย ๆ คงจะไม่สนุกเท่าไหร่นะเจ้าคะ""เจ้าต้องการอะไร""หากข้าสามารถเอาชนะทหารของท่านพี่ได้ ม้าเหงื่อโลหิตสีดำที่ผูกไว้ด้านข้างของเรือนข้าขอนะเจ้าคะ"ตอนที่นางเดินผ่านมาสะดุดตากับม้าเหงื่อโลหิตตัวนี้มาก ลำตัวแข็งแรงใหญ่โตสมบูรณ์น่าเป็นเจ้าของยิ่งนัก เสียดายที่มันมีเจ้าของอยู่แล้วซึ่งนางก็คิดว่าจะต้องเป็นสามีของนางอย่างแน่นอน เมื่อมีโอกาสจะได้ม้าตัวนี้มาครอบครองนางย่อมไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป"ไม่ได้! ม้าตัวนั้นมันพยศมาก มีแค่ข้าที่ขี่ได้เท่านั้น" หลี่เหวินซานส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย"แล้วถ้าข้าสามารถขี่มันได้ ท่านพี่จะยอมให้ม้าตัวนั้นมาเป็นของเดิมพันครั้งนี้หรือไม่เจ้าคะ""เจ้าเอาแต่พูดว่าตัวเองจะชนะ แล้วถ้าเจ้าแพ้ข้าจะได้อะไรเล่า" เขาย้อนถา
บทที่ 5เยือนค่ายทหารเขี้ยวพยัคฆ์นับจากวันที่ได้แต่งงานเข้าจวนตระกูลหลี่ นี่ก็ล่วงเข้าสู่วันที่ 10 แล้ว หวงไป๋เฟิ่งได้รับการสั่งสอนจากมู่เสี่ยวชิงไม่น้อย ทั้งทำบัญชีของจวนโดยนางทำเฉพาะเรือนของตน ควบคุมดูแลกิจการร้านค้าต่าง ๆ ในเมืองหลวงที่อยู่ภายใต้ชื่อของหลี่เหวินซานทุกอย่างนางล้วนเคยฝึกปรือกับเสด็จแม่มาไม่น้อย ทำให้นางทำเรื่องทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อยจนได้รับคำชื่นชมจากมู่เสี่ยวชิง"วันนี้ไม่มีใครอยู่ที่จวนเลย เฟิ่งเอ๋อร์คงจะเหงามากใช่หรือไม่""ไม่เหงาเลยเจ้าค่ะ ได้พูดคุยกับท่านแม่ข้าสนุกมากเจ้าคะ" หวงไป๋เฟิ่งเอ่ยด้วยความจริงใจ การได้อยู่กับมู่เสี่ยวชิงทำให้นางได้ข้อคิดและได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายเลยด้วยซ้ำ ทั้งนางยังชอบฟังเรื่องเล่าของท่านแม่กับเสด็จแม่เมื่อครั้งยังไม่ได้แต่งงานด้วย สนุกยิ่งนัก!"เด็กดี วันนี้ก็ออกไปเปิดหูเปิดตาหน่อยดีกว่า" มู่เสี่ยวชิงพยักหน้าให้กับชงเหยา นางเดินเข้ามาโดยถือกล่องอาหารที่อยู่ในตะกร้ายื่นส่งให้กับชุนหลังผู้เป็นสาวใช้ "นี่อะไรหรือเจ้าคะ""เป็นอาหารกลางวันของอาซาน เจ้าเอานี่ไปให้เขาที่ค่ายทหารเขี้ยวพยัคฆ์เสีย ส่วนนี่เป็นป้ายผ
บทที่ 4คำเตือนของมู่เสี่ยวชิงหลี่ฉิงเซียวมาที่ห้องรับรองแขกด้วยสีหน้าไม่ดีนัก แม้นางจะสนิทกับสหายผู้นี้แต่ใช่ว่านางจะยอมให้เสียทุกอย่าง ตัวนางถูกสั่งสอนจากท่านพ่อและท่านแม่เป็นอย่างดีย่อมพอคาดเดาได้ในใจถึงการมาของสหาย"ฮุ่ยผิง เหตุใดเจ้าถึงมาหาข้าที่จวนวันนี้ เจ้าไม่รู้หรือว่านี่เป็นเรื่องไม่สมควรนัก""ขะ ข้าแค่คิดถึงเจ้าเท่านั้นเอง นี่ข้าก็เพิ่งกลับมาจากอารามนอกเมืองจึงเพิ่งทราบข่าวตอนที่มาถึงจวนของเจ้าแล้ว"'ชุนฮุ่ยผิง' บุตรีคนรองของเสนาบดีชุนกรมคลัง นางมีใบหน้างดงามหยาดเยิ้ม อายุเพียง 15 หนาวทว่าส่อเค้าความงามมิต่างจากผู้เป็นพี่สาวที่ล่วงลับไปแล้วเลย เพียงแต่นิสัยของนางค่อนข้างเอาแต่ใจมากไปเสียหน่อย ด้วยเป็นบุตรสาวคนเล็กที่มีแต่คนตามใจ คิดอ่านสิ่งใดก็ไม่รอบคอบนัก "ชุนฮูหยินไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าจวนของข้าเวลานี้ไม่สะดวกรับแขก""เหตุใดเจ้าถึงได้มาตำหนิข้าเช่นนี้เล่า ท่านแม่ข้าก็เอาแต่สวดมนต์ไม่รู้เรื่องภายนอกนักหรอก ส่วนข้าก็เพิ่งกลับมาแล้วรีบตรงมาหาเจ้าที่นี่เลย ทำไมหรือ... แค่เจ้ามีพี่สะใภ้คนใหม่ก็ลืมเลือนสหายเช่นข้าไปใช่หรือไม่ ฮึก ๆ น่าเสียใจแทนพี่สาวผู้โชคร้ายของข้ายิ่งนัก นางต