ฉู่หวางเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น...ระหว่างที่ข่านซีซย่ากับเซียวซูเฟยกำลังสนทนากัน เขาจึงหันไปให้ความสนใจกับท่านหญิงเค่อหมิ่นที่วิ่งกลับไปเล่นเหยี่ยวกระดาษกับหยวนเพ่ยและเหล่านางกำนัลเหยี่ยวกระดาษที่ผูกเชือกต่อกันใหม่กำลังกินลมขึ้นสูง กางปีกสีน้ำตาลสวยคล้ายเหยี่ยวสีน้ำตาลตัวจริงกำลังบินถลาลม เค
ซูเฟยและข่านซีซย่ารุดเข้ามาถึงที่เกิดเหตุ พลันเห็นภาพตรงหน้า ต่างพร้อมใจกันเงียบ ไม่เอื้อนเอ่ยอันใด ท้ายที่สุดแล้วเป็นซูเฟยที่ให้พวกเขาเข้ามาในตำหนักเพื่อเช็ดตัวให้แห้งและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่หยวนเพ่ยนั่งพักอยู่ในห้องรับรองอาคันตุกะ ที่นั่นไม่มีเก้าอี้ มีเพียงพรมขนสัตว์หลายผืนที่ปูซ้อนลัดเหลื่อมกั
น่าประหลาดใจที่ห้องทรงอักษรวันนี้กลับเย็นเยียบ ชวนให้หยวนเพ่ยประหวั่นพรั่นพรึง ทั้งๆ ที่สถานที่แห่งนี้นางเคยมาบ่อยครั้งจนแทบกลายเป็นบ้านหลังที่สอง"ฟู่หยวนเพ่ยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท" ลี่กงกงกล่าวประกาศ แต่กระแสเสียงตอบกลับมาช่างขุ่นเคืองยิ่ง"ให้นางเข้ามา"หยวนเพ่ยกลืนน้ำลาย พยายามรวบรวมความกล้า
เมื่อกลับมาถึงตำหนักคุนหนิง นางไม่ได้ไปทำความเคารพหวงไท่โฮ่ว เพียงแต่กลับมาที่ห้องตัวเอง หยุนรุ่ยกับเมิ่งหลานเห็นสารรูปนางในตอนนี้ก็ขวัญเสีย รีบหาหยูกยามาทาให้หยวนเพ่ยเป็นการใหญ่แผลที่มือไม่ได้ใหญ่นัก ไกลเส้นเลือดและเส้นเอ็น อีกทั้งป้ายยาห้ามเลือด เลือดก็หยุดไหล ส่วนที่คิดว่าถูกน้ำร้อนลวกพุพองก็ไม่
ราชโองการแต่งตั้งฟู่หยวนเพ่ยเป็นกั๋วฟูเหริน สถานะเท่าเทียมกับท่านหญิงหรือน้องสาวร่วมสายเลือดของเสียนเฟย อีกทั้งยังได้รับสมรสพระราชทานกับฉู่หวาง จื่อหาน โดยงานอภิเษกจะเริ่มในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ถูกส่งมาถึงตำหนักคุนหนิงในช่วงเช้าตรู่ และรู้กันทั่ววังหลวงในยามสายคนแรกที่มีปฏิกิริยากับเรื่องนี้มากที่
ผ่านไปได้หลายสัปดาห์ ฉู่หวางยังคงแวะเวียนมาหาไท่โฮ่วและหยวนเพ่ยบ่อยขึ้น ทีแรกนางก็รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย แต่พอได้พูดคุยกันก็พบว่าเขาและนางมีทัศนคติในหลายๆ เรื่องที่ตรงกัน นางเป็นคนใฝ่หาความรู้เพิ่มเติม ส่วนเขาที่เห็นโลกกว้างจากการได้มีปฏิสัมพันธ์กับชาวนอกด่านนั้น กลับมีความรู้และเรื่องราวแปลกใหม
เย็นวันนั้น หวงตี้ก็ได้รับรายงานจากลี่กงกงว่า ฟู่หยวนเพ่ยได้ทำรายการสิ่งของที่เคยได้รับพระราชทานส่งคืนเข้าท้องพระคลัง เมื่อตรวจสอบแล้วนั้น ถ้าไม่นับรวมที่เป็นของกลางในคดีของฟู่ถิงเฟิงก็นับว่าถูกต้องครบถ้วน แม้กระทั่งป้ายหยกขาวรูปค้างคาวที่นางได้รับมาเป็นชิ้นแรกแล้วได้รับคืนหลังจากคดีเสร็จสิ้น นางก็ใ
เวลาสองสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็มาถึงงานอภิเษกของฉู่หวางกับฟู่กั๋วฟูเหริน งานในช่วงเช้าเป็นงานยกน้ำชา จัดขึ้นในตำหนักคุนหนิงของไท่โฮ่ว โดยมีทั้งไท่โฮ่วและหวงตี้เป็นญาติของบ่าวสาว ความใหญ่โตสมเกียรติเทียบเท่างานอภิเษกของหวังเฟย (ชายาเอก) ตามพระประสงค์ของหวงตี้ที่ไม่สนคำคัดค้านของเหล่าขุนนา
แต่แล้วในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันประสูติของรัชทายาท กลับทำให้พระองค์แปลกใจเหลือประมาณการแสดงของซินฉีไม่ได้เป็นการร่ายรำดื่มเดี่ยวใต้จันทร์ของหลี่ไป๋ กลับเป็นเพลง เจียเหรินฉู่ (ลำนำสาวงาม) ซึ่งเป็นเพลงของหลี่เหยินเหนียน นักดนตรีสมัยฮั่นตะวันตกที่แต่งเพื่อชมโฉมของฟูเหริน[1]พระองค์หนึ่ง“นางคือโฉมงามแห่ง
ฝ่ายงานราชพิธีของวังหลวงแบ่งออกเป็นหลายกองได้แก่ กองตำราอักษร กองสังคีต กองอาคันตุกะ และกองพิธีเฉลิมฉลอง ซึ่งยามที่ราชนิกุลหนุ่มทั้งสองพระองค์เดินผ่าน มักได้ยินเสียงเครื่องดนตรีและเสียงขับร้องไพเราะหวานแว่วไปทั่วบริเวณ จื่อหยวนและจื่อซินมาหยุดที่เรือนของกองพิธีเฉลิมฉลอง ที่นั่นมีหญิงสาวส
กาลเวลาผันผ่านตามฤดูกาลทั้งสี่ ยามวสันต์บุปผาบานสะพรั่ง เปลี่ยนเป็นคิมหันต์ตะวันสาดแสงแรงกล้า พอเข้าเดือนสารทใบเฟิงแดงส้มก็ร่วงหล่นปูลาดพื้นวิจิตรตระการ จากนั้นจึงผันผ่านเปลี่ยนเป็นเหมันต์ปกคลุมไปด้วยหิมะทุกแดนดิน ไม่นานก็ผ่านไปสิบห้าหนาว เหล่าทารกตัวน้อยที่เดิมเคยนอนขดนิ่งอยู่ในเปลรอการ
ณ เรือนหลังเล็กของจวนฉู่หวางแห่งฉางอันที่ใช้เป็นที่ทำงานและเป็นที่พักผ่อนคลายอิริยาบถของเจ้าของจวน บัดนี้มีของเล่นเด็กทั้งชายหญิงวางเรียงรายอยู่บนพื้นไม้ที่ปูด้วยผ้าผืนนุ่ม ทั้งตุ๊กตาเสือสีแดงปักลวดลายสดใส ม้าโยกตัวน้อยสีเหลืองสด ตุ๊กตาผ้าเด็กผู้หญิงหลากหลายขนาดและสีสัน และทองคำหีบเล็กที่เป็นของเล่น
หยวนเพ่ยได้ฟังข้อหาใหม่เช่นนี้ยิ่งงุนงงหนัก “เขาไปล่วงเกินฝ่าบาทตอนไหนหรือเพคะ”“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้า” เขาชี้มาทางนาง“หม่อมฉัน? ผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันเป็นแค่หรูเหริน เทียบเท่ากับตำแหน่งพระสนมขั้นไฉเหรินลำดับห้า ถ้านับตามยศแล้วหม่อมฉันย่อมต่ำชั้นกว่า หม่อมฉันจะคารวะเขาก่อนย่อมไม่แปลกเพคะ และที่เขาแตะ
หวงตี้จูงมือหยวนเพ่ยเข้ามายังสวนด้านใน สร้างความแตกตื่นให้แก่นางกำนัลที่พบเห็นไม่น้อย หยวนเพ่ยเองก็ไม่กล้าทำอะไรรุนแรง หนึ่ง ด้วยนางกำลังครรภ์แก่ใกล้คลอด สอง อีกฝ่ายเป็นถึงหวงตี้ ตอนนี้สถานการณ์ในจวนก็ย่ำแย่พอแล้ว ถ้าเกิดนางเผลอพลั้งมือซัดหวงตี้สลบเหมือนตอนสยบท่านข่านด้วยขากวาง เกรงว่าเรื่องราวจะยิ่
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างไม่มั่นคงและทุกข์ทรมานที่สุดนับตั้งแต่หยวนเพ่ยรู้จักวิธีหายใจ รายงานอาการบาดเจ็บของฉู่หวางที่ถูกส่งมาสัปดาห์ละสองฉบับนั้น แต่ละครั้งล้วนเป็นรายงานที่ไม่อาจนับได้เต็มปากว่าเป็นข่าวดี ถึงแม้เขาจะพ้นขีดอันตราย แต่ร่างกายของเขาก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะส่งตัวกลับมายังซีหนิงได้ ทำให้หยวนเ
หยวนเพ่ยได้ยินเช่นนั้นก็แทบทรงตัวไม่อยู่ โชคดีที่มีหยุนรุ่ยกับเมิ่งหลานช่วยประคอง และมีหยวนหลี่ผู้เป็นมารดาบีบมือบุตรสาวไว้แน่น แล้วเอ่ยเบาๆ“ใจเย็นๆ ฟังให้จบก่อน”หญิงสาวได้ยินมารดาเอ่ยเช่นนั้นก็พยักหน้า นางสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ย“เรื่องเป็นมาอย่างไร”อู่จี๋หอบหายใจครู่หนึ่งจึงกัดฟันเอ่ยต่อ“เมื่อวั
สองเดือนหลังจากนั้น หยวนเพ่ยก็ได้รับข่าวดีว่าทัพของฉู่หวางได้รับชัยชนะ บัดนี้อยู่ในค่ายของซีซย่า คาดว่าอีกสามวันถึงจะเดินทางกลับสู่ซีหนิงหญิงสาวที่ได้ยินข่าวดีเช่นนี้ก็ให้เบาใจ นางในตอนนี้อายุครรภ์เจ็ดเดือน แต่ครรภ์กลับใหญ่โตอุ้ยอ้ายยิ่ง จะนั่งก็ลำบาก จะยืนก็ปวดขา ขนาดหยวนหลี่ผู้เป็นมารดายังอดทักไม