หลังจากที่กลับมาจากบ้านของเหม่ยอิงแล้ว จงเซ่อซึ่งสังเกตท่าทีของเจ้านายตัวเองพลันต้องแปลกใจ หมู่นี้ดูคุณไท่เหวินเจิ้งมักมองหานายหญิงอยู่เสมอ เวลาทานมื้อเช้าด้วยกันก็ชอบทอดมองภรรยาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอด
ดั่งเช่นเช้าวันนี้ก็เหมือนเคย... “...” บรรยากาศนิ่งเงียบในห้องทานอาหารพาลทำให้เหม่ยอิงเลิ่กลั่กไม่น้อย เธอกำลังเขี่ยเต้าหู้ออกจากจานจำต้องสะดุ้งเพราะรู้สึกถึงสายตาของคนตรงหัวโต๊ะที่เอาแต่มองกัน นี่คงคิดจะดุที่เธอเขี่ยเต้าหู้ออกอีกแล้วล่ะสิ? “ฉันไม่ได้จะเขี่ยทิ้งนะคะ แค่จะกินทีหลั--” คำพูดยังไม่จบประโยคดีกลับโดนสามีแทรกขึ้น “แผลที่ปากหายหรือยัง?” พลันก็ทำให้คนที่ได้ยินสะดุ้งกันทั้งหมด สาวใช้มองหน้ากันไปมา จงเซ่อขมวดคิ้ว ส่วนเหม่ยอิงอ้าปากค้างไปแล้ว นี่เหวินเจิ้งจะมาถามเธอทำไมตอนนี้! “...” แก้มเนียนพลันซับสีแดงระเรื่อ เหตุเพราะวันนั้นทั้งโดนเหวินเจิ้งรังแกทั้งได้แผลกลับมา ก็เขาทนไม่ไหวกัดปากเธอไปตั้งหลายหน! ทว่าจะโทษแค่เหวินเจิ้งก็ไม่ได้ เพราะคนที่ไหลตามน้ำตัวอ่อนอยู่บนตักสามีก็คือเธอนี่เอง “หะ หายแล้วค่ะ” ตอบเสร็จก็รีบยัดเต้าหู้เข้าปาก ไม่ได้สนใจแล้วว่ามันเป็นของที่ตนเองไม่ชอบหรือเปล่า ตอนนี้เหม่ยอิงอยากทานมื้อเช้าให้เสร็จแล้วลุกออกไปเสียที “หันหน้ามาให้ดูหน่อย” แต่ยิ่งพยายามเลี่ยงเท่าไรเหวินเจิ้งก็ยิ่งพูดไม่หยุด มือหนาวางช้อนส้อมในมือพลางมองเธออย่างตั้งใจ ดวงตาดุดันอ่อนลงมากยามเห็นท่าทีเป็นกระต่ายตื่นตูมของภรรยา “ขอฉันดูหน่อยว่ายังแดงมากอยู่หรือเปล่า” ไม่เพียงแค่นั้น เหวินเจิ้งยังทำท่าจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ เขาเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ นิ้วชี้เคลื่อนมาถึงปลายคาง ทว่ากำลังจะแตะริมฝีปากกันนั้นเหม่ยอิงถึงกับผงะหนีราวโดนของร้อน “ดูอะไรคะ ไม่มีอะไรให้ดูซะหน่อย อ่า...อิ่มแล้วสิ ฉันขอตัวนะคะ” เสียงหวานเอ่ยพูดรัวเร็วก่อนจะยกผ้าขึ้นซับริมฝีปาก เหวินเจิ้งที่เห็นดังนั้นลอบหัวเราะในลำคอ ช่วงนี้พอเห็นหน้าภรรยาทีไรจำต้องจดจ้องริมฝีปากสีสดนั่นทุกครั้ง นุ่มไม่หยอก... มื้อเช้าของสามีภรรยาตระกูลไท่วันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหม่ยอิงพรูลมหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นว่ารถของเหวินเจิ้งเคลื่อนตัวออกไปทำงานแล้ว เธอได้แต่นั่งกอดอกฟึดฟัดกับตัวเองที่ชอบใจสั่นกับเหวินเจิ้งอยู่เรื่อย “โอ้ย ไม่รู้ด้วยแล้ว! ไปดูดอกไม้ดีกว่า” ช่วงบ่ายเป็นช่วงที่เหม่ยอิงว่างแล้ว ความจริงเธอก็อยากทำงานให้เป็นหลักเป็นแหล่ง ทว่าเหวินเจิ้งยังไม่อนุญาต ดังนั้นกิจวัตรประจำวันของนายหญิงตระกูลไท่จึงค่อนข้างน่าเบื่อ “คุณหนูเหม่ยจะลองทำอาหารจริง ๆ หรือคะ?” “อืม ช่วยสอนหน่อยสิ” สาวใช้นามหลันและคนอื่น ๆ ต่างก็หันมามองหน้ากัน พวกเธอไม่ค่อยแน่ใจกับคำขอนั้น จู่ ๆ ก็โดนคุณหนูเหม่ยเอ่ยปากขอให้สอนทำอาหาร หากเป็นเมื่อก่อนแม้กระทั่งน้ำตาลกับเกลือเหม่ยอิงยังแยกไม่ออกด้วยซ้ำ “งั้นคุณหนูเหม่ยรอสักครู่นะคะ พวกฉันจะเตรียมวัตถุดิบให้” คนตัวบางพยักหน้ารับ จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งอาหลันถึงได้มาบอกว่าครัวพร้อมแล้ว “วันนี้เราลองทำอะไรง่าย ๆ แบบหมี่ซั่วกันดูก่อนนะคะคุณหนูเหม่ย” สาวใช้เสนอ เหม่ยอิงพยักหน้ารับ “อืม เรามาเริ่มทำกันเถอะ” พอสรุปได้ดังนั้นสาวใช้ทั้งหมดจึงต้องกลายเป็นผู้ช่วยนายหญิงคนงามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เหม่ยอิงค่อนข้างเงอะงะอยู่ไม่น้อย ซึ่งเป็นท่าทีที่ชวนให้สาวใช้แอบหัวเราะขำปนเอ็นดูภรรยาเจ้านายคนนี้มากเหลือเกิน ซึ่งแตกต่างไปจากทุกทีที่พวกเธอแทบจะคุยกันนับคำได้ด้วยซ้ำ การเปลี่ยนแปลงและความใจดีของเหม่ยอิงทำให้สาวใช้ที่เคยไม่ชอบเธอเริ่มผ่อนคลายลง “ไม่ใช่แบบนั้นแล้วลองเปลี่ยนเป็นจับแบบนี้สิคะ” “หือ...แบบนี้เหรอ?” “ใช่ค่ะ ถนัดมือกว่าไหมคะ” “อืม ขอบคุณนะ” เหม่ยอิงตอบรับพลางลองจับมีดในมือดูใหม่ และทุกการกระทำจะมีสาวใช้คอยระมัดระวังไว้ให้ กว่าผัดหมี่ซั่วจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างก็เล่นเอาเหม่ยอิงเหงื่อตกเลยทีเดียว ทั้งใบหน้าและศีรษะดูเลอะเทอะจนกระทั่งสาวใช้เอ่ยว่าจะจัดใส่จานและทำความสะอาดให้ “ไปอาบน้ำเถอะค่ะคุณหนูเหม่ย เดี๋ยวส่วนที่เหลือพวกฉันจะเก็บกวาดเองค่ะ” “อืม ๆ รู้แล้วล่ะ แต่ฉันคาใจน่ะ ช่วยชิมกันหน่อยไม่ได้เหรอ” คำถามมาพร้อมกับดวงตากลมโตที่เหล่าสาวใช้จะต้องกลืนน้ำลายกันอึกใหญ่ ท่าทีคล้ายแมวเปอร์เซียขนฟูที่เอียงคอมองกันตาแป๋วทำเอาพวกเธอปฏิเสธไม่ลง แต่ถึงแบบนั้นก็ตาม...การที่จะได้ชิมฝีมือคุณหนูเหม่ยอิงก็เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายค่อนข้างมากจริง ๆ “แต่พวกฉันคิดว่า...” “ฉันอนุญาตแล้วไง ช่วยกันชิมหน่อยสิ ฉันอยากรู้ความเห็นน่ะ” สุดท้ายพอโดนรบเร้าตาแป๋วจึงต้องรับฟังคำสั่งนั้น เหม่ยอิงยืนโยกตัวไปมาตั้งใจดูสีหน้าผู้ช่วยทุกคนของเธอ “อะ อร่อยค่ะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยพูดขึ้นมาก่อน ถึงสีหน้าและริมฝีปากจะยกยิ้มให้กันแต่ดวงตากลับไม่สบกันตรง ๆ “จริงเหรอ?” “ค่ะคุณหนู อร่อยค่ะ” หลันเป็นคนตอบบ้างคราวนี้เหม่ยอิงหรี่ตาลง มือเรียวหยิบส้อมแล้วตักมันขึ้นทานบ้าง “เอ่อ คือว่า...” สาวใช้เอ่ยตะกุกตะกักแล้วเม้มริมฝีปากแน่น กำลังจะเอ่ยห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว “อึก วะ...หวานชะมัดเลยนี่” เหม่ยอิงเบ้หน้าก่อนจะคว้าน้ำขึ้นมาดื่ม เธอไม่แน่ใจว่าเผลอใส่น้ำตาลหรือซอสปรุงรสมากไปหรือเปล่า แต่ทุกขั้นตอนก็ดูตามสูตรทุกอย่างเลยนี่นา... “แค่นิดหน่อยเองค่ะคุณหนูเหม่ย ถ้าทานกับซุปก็น่าจะลงตัวเลยนะคะ” เหล่าสาวใช้พยายามช่วยกันกล่อมเพื่อให้นายหญิงคนงามมีสีหน้าที่หายหดหู่ขึ้นมาบ้าง เหม่ยอิงยามนี้ราวกับมีเมฆครึ้มบนหัวจนพวกเธอเริ่มหวั่นใจ “ทิ้งมันไปเถอะ” เสียงหวานเอ่ยพูดจนคนฟังเบิกตากว้าง รีบยกมือห้ามนายหญิงกันยกใหญ่ “ก็มันไม่อร่อย” “อย่าทำแบบนั้นเลยนะคะคุณหนูเหม่ย แค่จานแรกได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วค่ะ” “จริงเหรอ” เหม่ยอิงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม ท่าทีตอนนี้ชวนให้คนมองเอ็นดูกันไปตาม ๆ กัน “แน่นอนค่ะ ตอนนี้ขึ้นไปอาบน้ำก่อนดีไหมคะ รอซุปอีกแค่ไม่นานก็น่าจะเสร็จแล้วค่ะ” สุดท้ายคนตัวบางก็ยอมพยักหน้ารับ เหม่ยอิงจัดการอาบน้ำและสระผมใหม่ กว่าจะแต่งตัวลงมาที่ครัวอีกครั้งได้ก็ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงเลยทีเดียว เธอคิดว่าจะกินหมี่ซั่วเป็นมื้อเที่ยงแต่กลับโดนสาวใช้ห้ามเอาไว้ “ไม่ได้ค่ะคุณหนู พวกฉันว่าเอาไว้ทานเป็นมื้อเย็นดีกว่านะคะ รอคุณท่านกลับมาก่อน” เหม่ยอิงรีบส่ายหน้า เธอจะไม่ยอมให้เหวินเจิ้งได้ทานอาหารฝีมือแย่ ๆ นี้แน่นอน ถ้าเกิดเขาพูดจาดูถูกกันอีกแล้วเธอจะเถียงได้อย่างไร? “ไม่เอาหรอก เหวินเจิ้งจะอยากกินไปทำไม” ถามพลางยกมือขึ้นกอดอก ท่าทีดื้อรั้นสมกับเป็นคุณหนูจ้าวเหม่ยอิงปรากฏขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครสามารถเกลี้ยกล่อมได้อีก มื้อเที่ยงของเหม่ยอิงวันนี้จึงค่อนข้างเลี่ยนมากจนทานไม่หมดเลยทีเดียว ... เหวินเจิ้งขมวดคิ้ว ครั้นได้ฟังคำรายงานจากจงเซ่อว่าวันนี้ภรรยาเขาเข้าครัว นึกแปลกใจว่าเหตุใดเหม่ยอิงถึงคิดจะทำอาหารขึ้นมา หากแต่ก็ทำแค่พยักหน้าตอบลูกน้องตัวเองแล้วก้มหน้าลงดูเอกสารต่อ เวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมง วันนี้เขาก็ยังคงมีงานล้นมือจนกระทั่งฟ้ามืดแล้วแต่เหวินเจิ้งยังคงอยู่ที่บริษัท คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นเพราะสายตาเริ่มล้าจากการอ่านตัวหนังสือหลาย ๆ ชั่วโมง “คุณเหวินจะกลับเลยไหมครับ” จงเซ่อเดินเข้ามาถามเจ้านายตัวเอง แม้ร่างสูงจะยังมีท่าทางนิ่งสงบและมีบรรยากาศรอบกายน่าเกรงขามเช่นเคยหากแต่จงเซ่อรู้ดีว่าเขาคงจะเหนื่อยไม่ใช่น้อย “อืม” เสียงทุ้มขานรับในลำคอ พอจงเซ่อเดินออกไปเพื่อเตรียมรถ เขาก็ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ดึกป่านนี้คงไม่มีใครอยู่ที่บ้านแล้ว สาวใช้คงเลิกงานและเหม่ยอิงคงจะเข้านอนไปแล้ว ถนนปักกิ่งยามนี้ค่อนข้างโล่งจนใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงคฤหาสน์ตระกูลไท่ เหวินเจิ้งพยักพเยิดให้จงเซ่อไปพักผ่อนได้ ลูกน้องคนสนิทค้อมศีรษะลงส่วนร่างสูงก็ก้าวเดินตามทางหมายจะขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องตัวเองเช่นเดียวกัน แต่ครั้นเดินผ่านห้องครัวก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เหม่ยอิงฝึกทำอาหาร ขายาวก้าวเข้าไปดูทั้ง ๆ ที่หากเป็นปกติเขาคงไม่ใส่ใจ “...” ดูเหมือนเขาจะคิดไปเองว่าจะมีมื้อเย็นจัดเตรียมไว้ให้กันบ้าง เหวินเจิ้งส่ายศีรษะเบา ๆ ก็นั่นมันคุณหนูจ้าวเหม่ยอิง เธอจะทำเช่นนั้นไปทำไม? แต่แล้วคิ้วเข้มก็ต้องขมวดเข้าหากันอีกครั้งเมื่อหน้าตู้เย็นมีกระดาษใบเล็ก ๆ แปะอยู่ อ่านแล้วก็เข้าใจได้ว่าสาวใช้เก็บหมี่ซั่วฝีมือเหม่ยอิงไว้ในกล่องใส่อาหารและแช่ไว้ให้ เขาแค่นหัวเราะในลำคอ คิดว่าคนแบบเขาจะอยากทานฝีมือคนทำอาหารมือใหม่อย่างจ้าวเหม่ยอิงมากหรืออย่างไร? สักหน่อยก็ได้... ตบตีกับตัวเองแบบที่หากเหม่ยอิงมาเห็นคงได้ยืนหัวเราะเพราะความขำเป็นแน่ มือหนาจัดการอุ่นแล้วจัดใส่จาน แม้ดูเพียงภายนอกแต่เหวินเจิ้งก็รู้ได้ว่าเส้นนี้คงผัดนานไปหน่อย หากแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังหยิบส้อมม้วนมันแล้วทานแบบเงียบ ๆ ปกติแล้วกับเรื่องอาหารนั้นเหล่าลูกน้องจะรู้กันดีว่าท่านผู้นี้ค่อนข้างพิถีพิถัน หากไม่ถูกปากก็สามารถหาของที่ดีกว่าให้ตัวเองได้ไม่จำเป็นต้องฝืนใจทาน แต่ก็ไม่รู้สิ...รู้ตัวอีกทีหมี่ซั่วในจานก็พร่องลงจนกระทั่งหมดเกลี้ยง เหวินเจิ้งได้แต่แค่นหัวเราะให้กับตัวเอง ไม่สมกับเป็นเขาเอาซะเลยนะเนี่ย... ... เช้าวันต่อมา เหม่ยอิงตื่นเร็วกว่าปกติ หลายวันมานี้เธอรู้สึกเบื่อกับการที่ต้องอยู่คฤหาสน์เฉย ๆ เป็นอย่างมาก เมื่อวานได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ อย่างการทำอาหารก็พบว่าทำได้ค่อนข้างแย่ ดังนั้นวันนี้เธอจึงตัดสินใจตั้งแต่เช้าว่าจะขอไปกับเหวินเจิ้งด้วย! “มีอะไร” ไม่ต้องรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน เหวินเจิ้งที่เห็นท่าทีแปลกไปของภรรยาก็เอ่ยถามทันที ยิ่งตอนนี้ที่เหม่ยอิงมายืนรออยู่หน้าประตูก็ยิ่งชวนให้สงสัย “เอ่อคือว่า วันนี้ฉันขอไปกับคุณเหวินได้หรือเปล่า” ตอนแรกเธอก็ยังไม่กล้าพูด กระทั่งโดนสายตาดุดันของสามีมองไม่หยุดถึงได้เอ่ยขอออกไป เหวินเจิ้งเงียบไปครู่หนึ่ง “คิดเรื่องซนอะไรอยู่อีก” “ฉันไม่ได้ซนสักหน่อยนะคะ” เอ่ยเถียงทันควันจนจงเซ่อที่อยู่ในบริเวณนั้นถึงกับเผลอยกยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งขยับเท้าหนึ่งก้าว ก่อนจะเอ่ยสั่งด้วยเสียงเรียบนิ่ง “กระดุมคอเสื้อบนสุดมันติดยาก ช่วยใส่ให้เฮียแล้วจะพาไปด้วย” ทั้งคำสั่งที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวและคำเรียกที่ไม่คุ้นหูทำให้เหม่ยอิงเม้มริมฝีแน่น ใบหน้าหวานคล้ายคนคิดหนัก ก่อนหน้านี้เหวินเจิ้งเรียกแทนตัวเองเช่นนี้ก็ตอนนั้น ตอนที่พวกเราจูบกัน... “จะไม่ไปหรือ?” เสียงทุ้มเร่งเร้า ไม่ได้ให้คนตัวบางคิดเยอะไปกว่านี้ เหม่ยอิงที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าวันนี้จะไปข้างนอกให้ได้จึงไม่มีทางเลือก ขาเรียวขยับไปใกล้ กระทั่งได้กลิ่นหอมเย็นเป็นเอกลักษณ์ของสามี มือขาวสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อกำลังยกขึ้นแตะเบา ๆ ที่คอเสื้อของคนสูงกว่า เธอรับรู้ถึงสายตาคมของเหวินเจิ้งที่ทอดมองกันอยู่ในระยะใกล้ ประมุขตระกูลไท่ยืนนิ่ง เขาไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดแต่บรรยากาศรอบกายกลับสร้างความกดดันให้เหม่ยอิงมหาศาล ราวกับโดนฝ่ามือนั้นประคองเอวกันไว้ ราวกับริมฝีปากที่ยกยิ้มตอนนี้กำลังคลอเคลียและมอบจุมพิตให้กันอยู่ ความทรงจำในห้องนอนของเธอมันกลับมาฉายซ้ำจนเหม่ยอิงเกือบจะดึงมือกลับ “ทำให้เสร็จ” ทว่าก็โดนคนเป็นสามีเอ่ยห้ามไว้อย่างรู้ทัน ภาพของนายท่านและนายหญิงตอนนี้ปรากฏแด่ครรลองสายตาของผู้เป็นลูกน้องจนต้องลอบยิ้มกันไม่หยุด ส่วนสูงที่แตกต่างกันทำให้เหม่ยอิงดูตัวเล็กไปเลยเมื่ออยู่ตรงหน้าคนเป็นสามี “สะ เสร็จแล้ว ทีนี้ฉันไปด้วยได้รึยังคะ” มือขาวตบปุที่ปกคอเสื้อของเหวินเจิ้งอย่างคิดเอาคืนพลางถาม เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจชวนใจสั่นก็รีบถอยหลังหนีทันที “อืม” เขาขานตอบ ก่อนจะเดินนำขึ้นรถคันหรู ไม่รู้เหม่ยอิงคิดไปเองหรือเปล่าแต่จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าใบหน้านิ่งเฉยนั้นดูจะอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยนึง ทว่าก็อยากจะถามนักว่าแค่ขอไปที่ทำงานด้วยมันต้องทำขนาดนี้เลยหรือ? บริษัทตระกูลไท่อยู่ใจกลางเมือง ทั้งใหญ่โตหรูหราสมกับเป็นบริษัทของตระกูลทรงอิทธิพลในจีน และมีระบบความปลอดภัยเป็นเลิศ เหม่ยอิงที่เพิ่งได้มาครั้งแรกดูตื่นเต้นไม่น้อย หากแต่การที่เธอปรากฏตัวอยู่เคียงข้างสามีเช่นนี้กลับทำให้เป็นที่น่าตกใจอย่างยิ่ง ชั้นบนสุดเป็นของท่านประธานอย่างไม่ต้องสงสัย ทันทีที่ลิฟต์เปิดออก เหม่ยอิงที่คิดว่าชั้นนี้คงมีลูกน้องหรือบอดี้การ์ดเยอะแยะแต่เธอดันคิดผิด เพราะทั้งชั้นกลับมีแค่จงเซ่อที่ทำหน้าที่เป็นมือขวาพ่วงตำแหน่งเลขาท่านประธาน และมีลี่ถิงหญิงสาวที่เป็นผู้ช่วยเลขาเท่านั้น เหวินเจิ้งไม่อนุญาตให้ใครย่างกรายเข้ามาเพ่นพ่านชั้นนี้ได้มันจึงค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวอย่างมาก “คุณหนูเหม่ย? สวัสดีค่ะท่านประธาน สวัสดีค่ะคุณหนูเหม่ยอิง” ลี่ถิงที่เห็นเจ้านายตัวเองและภรรยาเอ่ยทักทายพร้อมค้อมศีรษะให้ ตอนแรกเธอก็ดูตกใจที่เห็นเหม่ยอิงอยู่ที่นี่ “ไม่ได้เจอกันนานนะลี่ถิง สบายดีไหม” “สบายดีค่ะ คุณหนูเหม่ยก็ร่างกายดีขึ้นแล้วหรือคะ?” “ดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบคุณที่ถามนะ” ลี่ถิงยิ้มให้เธอก่อนจะหันไปหาเหวินเจิ้งอีกครั้ง “คุณเหวินคะ วันนี้มีนัดกับท่านเจ้าสัวนะคะ” เหวินเจิ้งพยักหน้า “ฝากภรรยาฉันด้วย” คำสั่งนั้นทำให้ผู้ช่วยเลขาชะงัก เธอมองเหม่ยอิงที่หันไปหาเหวินเจิ้งพลางบ่นว่าตัวเองไม่ใช่เด็ก ส่วนเจ้านายของเธอนั้นก็ไม่ได้ดุอะไร เขาเพียงตอบว่าอย่าหาเรื่องซนไม่เข้าเรื่อง เอ๊ะ? แผ่นหลังของเหวินเจิ้งหายไปในห้องทำงานของเขาแล้ว เหม่ยอิงถึงได้หันกลับมาหาลี่ถิงอีกครั้ง ใบหน้างอแงเมื่อกี้ก็ดีขึ้น เสียงหวานเอ่ยว่าเธอจะไม่รบกวนการทำงานอะไรทั้งนั้น เพียงแค่จะขอดูด้วย ลี่ถิงนึกแปลกใจที่ภรรยาเจ้านายเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ “งั้นฉันนำทางคุณหนูเหม่ยไปห้องรับรองนะคะ” ลี่ถิงพูดอย่างสุภาพ เหม่ยอิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ หลังจากนั้นสิบนาทีภายในห้องรับรองสำหรับแขกก็มีทั้งน้ำชาทั้งของหวานถูกจัดเรียงให้นายหญิงเสียเต็มโต๊ะ เหม่ยอิงยิ้มเจื่อนอย่างเกรงใจ “วันนี้คุณเหวินมีแขกเหรอ” ก่อนเธอจะเริ่มชวนลี่ถิงคุย “ใช่ค่ะ อีกไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงเวลานัดแล้ว” “แล้วลี่ถิงต้องไปฟังด้วยหรือเปล่า” “อืม...” ลี่ถิงนึกครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “ฉันต้องไปจัดการเรื่องเอกสารของคุณเหวินข้างนอกน่ะค่ะ เวลานั้นคงไม่อยู่” เหม่ยอิงร้องอ้าวในคอ แบบนี้เธอก็ไม่มีใครให้คุยด้วยน่ะสิ? “ฉันไปด้วยได้ไหม” “คะ? แบบนั้นไม่ดีแน่ค่ะคุณหนูเหม่ย ฮ่า ๆ ฉันยังไม่อยากถูกไล่ออกตอนนี้นะคะ” เหม่ยอิงกลอกตาอย่างนึกหงุดหงิดกับสามีตัวเอง “ถ้าคุณหนูเหม่ยเบื่อ งั้นไปฟังงานกับคุณท่านดีไหมคะ?” “หา ไม่เอาด้วยหรอก” เหม่ยอิงรีบตอบทันควัน หลังจากนั้นเธอก็คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กับลี่ถิง เหม่ยอิงแอบเนียนถามหลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับเหวินเจิ้ง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าเขารับตำแหน่งผู้บริหารตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบปี ถึงว่าว่าใคร ๆ ถึงอยากจะร่วมลงทุนกับคนผู้นี้นัก คงเพราะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนี้ลี่ถิงยังบอกอีกว่าเหวินเจิ้งไม่ได้ทำเพียงแค่ธุรกิจอสังหาฯอย่างเดียวเท่านั้น ทว่าก็เป็นความลับที่น้อยคนจะรู้ เธอพูดเปรยเรื่องแค่ว่าเป็นสถานที่ที่หากเงินไม่หนาพอก็เข้าไม่ได้... บทสนทนาของสองสาวจำต้องหยุดแค่นั้นเพราะลี่ถิงมีงานต้องไปทำต่อ เธอค้อมศีรษะลานายหญิงพลางบอกว่าจะกลับมาคุยด้วยใหม่ ลับหลังผู้ช่วยเลขาไปแล้วเหม่ยอิงจึงลุกขึ้นบ้าง เธอออกจากห้องจะไปสำรวจบริษัทสามีจำต้องชะงักเพราะดันออกมาตรงช่วงที่แขกของเหวินเจิ้งมาพอดี “อ้าว นั่นคุณหนูเหม่ยไม่ใช่หรือคะ?” ภรรยาเจ้าสัวผู้ทาลิปสติกด้วยสีแดงสดเอ่ยทัก เธอควงแขนอยู่กับเจ้าสัวผู้เป็นสามีแล้วมองเหม่ยอิงด้วยสีหน้าแปลกใจ “อ่า...” เหม่ยอิงไม่รู้จะตอบอะไรจึงทำแค่ยิ้มทักทาย กำลังจะหันหลังกลับก็โดนรั้งไว้เสียก่อน “ไหน ๆ คุณหนูเหม่ยก็อยู่ที่นี่ ให้เธอเข้าไปคุยกับพวกเราด้วยสิคะคุณไท่เหวิน” เหวินเจิ้งไม่ได้ตอบอะไร ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉยคล้ายรอการตัดสินใจของผู้เป็นภรรยา “ว่าไงคะคุณหนูเหม่ย?” “ได้สิ ฉันจะเข้าไปด้วยค่ะ” สุดท้ายก็ตอบออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตากลมโตช้อนมองสามีก็พบว่าเหวินเจิ้งไม่ได้ว่าอะไร แล้วแผนการสำรวจบริษัทก็ต้องล่มไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะภรรยาไท่เหวินเจิ้งมันก็รู้สึกดีอยู่หรอกที่มักจะได้รับการปฏิบัติอย่างนอบน้อมอยู่เสมอ แต่แขกของเหวินเจิ้งคราวนี้เหม่ยอิงกลับรู้สึกแตกต่างออกไป เพราะนอกจากพวกเขาที่ยิ้มทักทายกันตอนแรกแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจเธออีกเลย แถมบางครั้งยังหันมามองกันด้วยสายตาแปลก ๆ อีกต่างหาก “แหม...อย่างคุณเหวินแค่คิดจะทำอะไรก็เห็นถึงเม็ดเงินแล้วนี่คะ” ภรรยาของเจ้าสัวที่เหม่ยอิงยังจำชื่อไม่ได้พูดขึ้นมา ทุกการพูดคุยของพวกเขาหญิงสาวยอมรับเลยว่าไม่เข้าใจสักอย่าง ทั้งเรื่องการลงทุน การเป็นหุ้นส่วนหรืออะไรก็ตามแต่ ทำได้แค่ฟังนิ่ง ๆ แม้จะทั้งสงสัยและเบื่อหน่ายไปในที ซึ่งหลังจากที่ภรรยาคนนั้นพูดจบก็ยังไม่วายหันมามองเธออีกหน คราวนี้เธอเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “แบบคุณหนูเหม่ยก็คงจะชำนิชำนาญทางด้านนี้อยู่บ้างสินะคะ ก็เป็นถึงภรรยาคุณไท่เหวินนี่นา แบบนี้มีความคิดเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า?” เธอคนนั้นคล้ายรอเวลาที่จะได้พูดหักหน้ากันมานาน เหม่ยอิงที่ได้ยินคำถามถึงกับชะงัก แน่นอนว่าต่อให้เธอจะสูญเสียความทรงจำเก่า ๆ ไปและไม่รู้ว่าตัวเองในอดีตเคยมีปัญหากับเธอคนนี้หรือเปล่า แต่คำพูดนั้นก็รับรู้ได้ทันทีว่าจงใจจะเหน็บแนมกันเห็น ๆ แถมยังเน้นย้ำคำว่าภรรยาของเหวินเจิ้งราวกับตั้งใจจะหักหน้ากันเสียด้วย ไร้คำตอบจากภรรยาคนสวยของเหวินเจิ้งกระทั่งฝั่งคนพวกนั้นได้แต่หัวเราะเบา ๆ ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นฉายแววดูถูกกันชัดเจน เหม่ยอิงเหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรง พยายามกักเก็บอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองเอาไว้ กระทั่งคิดว่าต่อให้นั่งต่อไปก็จะยิ่งหงุดหงิดเสียเปล่า ๆ จึงขอตัวออกจากห้อง “ฉันไปเข้าห้องน้ำนะคะ” เสียงหวานเอ่ยกระซิบข้างหูสามี เหวินเจิ้งทำเพียงพยักหน้าให้เบา ๆ ครั้นพอแผ่นหลังเล็กหายไปจากสายตาแล้วจู่ ๆ บรรยากาศในห้องก็คล้ายจะเย็นลงฉับพลัน ชวนให้คนที่นั่งอยู่แสดงสีหน้าไม่ดีนัก ทั้งคู่หันมามองหน้ากันก่อนผู้เป็นเจ้าสัวจะพูดต่อ “งั้นเรามาว่ากันต่อดีไหมครับคุณไท่เหวิ--” คำถามเงียบลงกลางคัน เมื่อสบสายตาเย็นเยียบของผู้เป็นประมุขตระกูลไท่ เขาเอนหลังพิงพนักในขณะที่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแสนสบาย “อืม แต่ว่าตอนนี้ผมอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” หากแต่ความหมายในประโยคกลับตรงข้ามกับน้ำเสียง เหวินเจิ้งยามนี้แตกต่างจากตอนที่มีคุณหนูเหม่ยอยู่ในห้องมากนัก “...” “เอาเป็นว่าถ้าจะนำเสนออะไรมาก็อย่าให้มันไม่เข้าหูผมก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นก็คงพิจารณาการลงทุนร่วมกันยากขึ้น” คนฟังกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาแต่ก็ทำได้แค่หัวเราะเจื่อน ๆ ไท่เหวินเจิ้งตอนอารมณ์หงุดหงิดคือบุคคลที่ควรหนีห่างให้ไกล ทว่าพวกเขาทำเช่นนั้นไม่ได้ เจ้าสัวและภรรยาเพิ่งเข้าใจคำว่ากระตุกหนวดเสือเป็นอย่างไรก็วันนี้ เหม่ยอิงหลังจากที่เข้าไปล้างไม้ล้างมือในห้องน้ำและยืนกระฟัดกระเฟียดกับตัวเองในกระจกให้พอหายหงุดหงิดขึ้นมาบ้างก็แวะเข้าไปชงชามาดื่ม เธอกำลังคิดว่าจะเข้าไปหาเหวินเจิ้งอีกครั้งหรือรอให้แขกพวกนั้นกลับก่อน แต่ยังถกเถียงกับตัวเองอยู่ได้ไม่นานก็เห็นภรรยาเจ้าสัวกำลังเดินผ่านแล้วมาหยุดหน้าห้องชงชา ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นกำลังคุยโทรศัพท์จึงไม่รู้ว่าเหม่ยอิงยืนอยู่ตรงนี้ “ก็นั่นสิ ถึงสามีฉันจะบอกให้ประจบประแจงภรรยาคุณไท่เหวินเข้าไว้ก็เถอะ แต่อย่างผู้หญิงคนนั้นมีอะไรให้ทำแบบนั้นกันจริงไหมล่ะ?” “...” เหม่ยอิงยืนฟังนิ่ง เธอยกชาขึ้นจิบในขณะที่รอว่าผู้หญิงคนนั้นจะพูดอะไรต่อ มีอีกหลายประโยคที่ฟังแล้วไม่เข้าหู ถึงกระนั้นเหม่ยอิงก็ยังไม่แสดงตัวให้เธอรู้ว่าได้ยิน “ใช่ไหมล่ะ ให้ไปพูดดีกับผู้หญิงคนนั้นฉันไม่ไหวหรอก ฮ่า ๆ ก็แบบว่าแค่เห็นหน้าแล้วมัน--” หากแต่เพียงครู่เดียวต่อมาลี่ถิงที่กลับมาจากข้างนอกซึ่งเห็นนายหญิงยืนอยู่จึงเอ่ยเรียกกันเสียก่อน “อ้าวคุณหนูเหม่ย” “...!!” ราวกับเสียงของลี่ถิงเป็นสัญญาณให้ภรรยาเจ้าสัวคนนั้นได้รับรู้ เธอรีบหันกลับมาแล้วเจอกับเหม่ยอิงที่ยืนมองอยู่ก่อนแล้ว จากใบหน้าที่ดูขบขันเมื่อครู่ค่อย ๆ ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เหม่ยอิงวางแก้วชาลง ใบหน้างามนิ่งสงบไม่แสดงอาการใด ๆ ขาเรียวก้าวออกจากโซนชงชาก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้กระทั่งถึงบริเวณที่เธอคนนั้นยืนอยู่แล้วจึงเอ่ยพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง “คะ คือว่า--” ระยะห่างทั้งสองอยู่ใกล้กันมากขึ้น ดวงตาสีสวยทอดมองคนที่มีส่วนสูงต่ำกว่า คล้ายจะกดให้เธอคนนั้นจมดินให้ได้ แต่เหม่ยอิงไม่คิดจะหยุดเพื่อเสวนา ร่างระหงที่กำลังจะเดินผ่านภรรยาเจ้าสัวไปแล้วกลับพูดขึ้น “ไม่ต้องเสียแรงปั้นหน้าให้เหนื่อยหรอก ดีเสียอีก อย่ามาประจบประแจงฉัน เพราะทำไปก็เสียแรงเปล่า ๆ” ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะพูดแก้ตัวแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะนอกจากเหม่ยอิงจะไม่หยุดฟังแล้วก็ยังแทบจะไม่ชายตามองกันด้วยซ้ำ ขาเรียวก้าวเดินผ่านไปราวกับไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเธอจริง ๆ ลี่ถิงได้แต่มองตามหลังภรรยาเจ้านายตัวเองไป ถึงจะไม่เข้าใจว่าก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้นแต่ท่าทีราวนางพญาและสายตาเย็นเยียบเมื่อครู่ชวนให้คิดถึงคุณหนูจ้าวเหม่ยอิงนิสัยก่อนหน้านี้ขึ้นมาจริง ๆ แค่คิดก็ต้องยกมือขึ้นมาลูบแขนตัวเองแล้ว หลังจากนั้นตลอดการพูดคุยกันก็ดูท่าผู้หญิงคนนั้นจะก้มหน้าก้มตาตลอดจนเจ้าสัวต้องเอ่ยปากถาม แต่เธอก็รีบปฏิเสธ ส่วนเหม่ยอิงทำเพียงแค่ยืดหลังตรงแล้วมองนิ่ง ๆ ซึ่งทุกสีหน้าตกอยู่ในสายตาของเหวินเจิ้งทั้งหมด กระทั่งแขกกลับไปแล้วจึงเหลือกันแค่สองคน “มีอะไรที่ฉันยังไม่รู้หรือเปล่า” เหวินเจิ้งเริ่มถามก่อน “หมายถึงอะไรคะ?” “ก็ไม่รู้สิ เธอออกไปไม่นานภรรยาเจ้าสัวก็ออกไปเหมือนกัน นึกว่าจะมีเรื่องอะไรเสียอีก” เหม่ยอิงได้แต่คิดในใจว่าผู้ชายคนนี้จะมองสถานการณ์ได้เก่งและแม่นยำเกินไปแล้ว “ก็อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่า” “...” “ถ้าเกิดฉันสร้างเรื่องกับภรรยาเจ้าสัวคนนั้นเข้าจริง ๆ แล้วจะดุฉันใช่ไหม?” เหวินเจิ้งเงียบ ไม่ได้ตอบอะไรออกมา เขามองและรอฟังภรรยาพูดต่อ “ถ้าเกิดฉันทำให้แขกคนสำคัญหงุดหงิดเข้าแล้วกระทบเรื่องงานไปด้วยคุณก็คงจะอยากต่อว่าฉันแล้วก็--” “ชนะไหม” แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องชะงักไปเสียก่อน เพราะนอกจากเหวินเจิ้งจะไม่รอให้พูดจบแล้วยังเอ่ยถามแทรกกันด้วยเสียงทุ้มนุ่ม เหม่ยอิงผงะแล้วขมวดคิ้วแน่น เธอรู้สึกแปลกใจจนเผลอแสดงสีหน้าออกมาอย่างเปิดเผย เมื่อครู่เหวินเจิ้งถามว่าอะไรนะ? “ก็ถามว่าชนะผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า ถ้ายังไม่สะใจฉันจะเรียกพวกเขากลับมาอีกครั้งก็ย่อมได้” “...” คราวนี้คนตัวบางได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ คำพูดที่ชวนให้ใจเต้นแรงเพราะรู้ว่าเหวินเจิ้งกำลังให้ท้ายกันอยู่ เหม่ยอิงไม่รู้จะตอบสามียังไง เธอทำได้เพียงเบือนหน้าหนีเท่านั้น “นอกจากฉันก็อย่าไปเถียงให้แพ้ใคร เข้าใจหรือเปล่า” แต่ประโยคต่อมากลับทำให้เหม่ยอิงกลับมาแสดงสีหน้าเอือมระอาอีกครั้ง ที่แท้ก็เพราะกลัวเสียหน้าหรอกหรือ? คราวนี้คนตัวสูงพอเห็นใบหน้าหวานกลับมาเป็นเช่นเดิม ไม่หางลู่หูตกเหมือนก่อนหน้านี้ก็หลุดหัวเราะ บรรยากาศระหว่างกันเริ่มกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง แม้พูดแบบนั้นแต่เหม่ยอิงก็รู้สึกขอบคุณเหวินเจิ้งอยู่ดี เพราะต่อให้เขาจะดูใจร้ายไปหน่อยแต่ก็ยังถือหางภรรยามากกว่าใคร ๆไท่เจินจู เด็กหญิงตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมหยักศกนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกับดวงตา ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย คิ้วเรียวโค้งได้รูปเสริมให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งละม้ายคล้ายผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ และที่สำคัญที่ไม่ว่าใครได้พบเป็นต้องชม คือผิวเนียนขาวราวไข่มุกตามความหมายชื่อของเจ้าตัว ตอนนี้เธออายุได้หกขวบแล้ว เป็นช่วงที่อยู่ในวัยเจื้อยแจ้ว ช่างสังเกต และมีคำถามมากมายเต็มหัวสมกับวัยเจ้าหนูช่างจ้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปเสียหมด ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องที่ปะป๊ามักแอบจุ๊บหม่าม๊าในตอนที่คิดว่าไม่มีใครเห็น แม้จะซนเกินเด็กผู้หญิงไปบ้าง แต่เจินจูก็เป็นพลังงานที่ใสซื่อของเหวินเจิ้งและเหม่ยอิง รวมถึงคนอื่น ๆ เช่นหวังฝูและฉีถง หรือแม้กระทั่งสาวใช้ในบ้าน เพราะยามเสียงสดใสนั้นเอ่ยว่า ‘รักป๊าที่สุดในโลก’ ‘หม่าม๊าสวยเหมือนเจ้าหญิง’ ‘คุณยายขา อาจูอยากนอนด้วย’ ‘พี่การ์ด อาจูขอจ๊อกโกแลต’ อะไรแบบนั้นก็ทำให้ใครต่อใครพร้อมใจกันหลงรักหนูน้อยคนนี้หัวปักหัวปำ แม้กระทั่งชายฉกรรจ์แบบบอดี้การ์ดหน้าโหดของเหวินเจิ้งก็ไม่อาจสู้ได้ งานอดิเรกของคุณหน
หลังจากที่รู้ว่าเหวินเจิ้งโกรธกัน เหม่ยอิงก็ต้องล้มเลิกการไปงานเลี้ยงในคืนนี้แล้วหาวิธีง้อสามีแทน “คุณเหวินล่ะ?” เธอเอ่ยถามหลันที่เพิ่งลงมาจากชั้นสอง “กำลังพาคุณหนูจูเข้านอนค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณหนูเหม่ยต้องไปงานเลี้ยงอีกคืนใช่ไหมคะ? งั้นให้ฉันช่วยเตรียมชุดดีไหมคะ” เหม่ยอิงส่ายศีรษะก่อนตอบ “ไม่ไปแล้วล่ะ เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ” ถึงจะงง ๆ แต่หลันก็ยอมค้อมศีรษะรับคำสั่ง เมื่อคล้อยหลังสาวใช้คนสนิทไปแล้ว เหม่ยอิงก็พรูลมหายใจและครุ่นคิดกับตัวเอง เธอควรจะเอาใจเหวินเจิ้งอย่างไรดี? คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หญิงสาวรู้ว่าหากสามีกำลังกล่อมลูกนอนก็คงจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนี้เธอก็เลยกลับเข้าห้องนอนใหญ่ ในโซนสำหรับไว้แต่งตัวนั้นยังพบชุดที่ลี่ถิงเตรียมไว้ให้สำหรับงานคืนนี้ “ดูท่าแกคงต้องกลับไปนอนในตู้อีกครั้งแล้วล่ะ” เสียงหวานว่าแกมหัวเราะเจื่อน ๆ ทว่าในตอนที่กำลังเก็บชุดนั้น เหม่ยอิงก็ต้องผงะไปเมื่อเจอของที่อยู่ด้วยกัน มันคือชุดชั้นในลูกไม้เข้าเซ็ท พร้อมกับถุงน่องสีดำ… ร่างขาวเม้มปากแน่น ปลายนิ้วเรียวยังแตะอยู่ที่ดีเทลของลูกไม้ในผ้าผืนบางนั้น ในใจก็เริ่มครุ่นคิดไปเรื่อย ก่อนดวงตาก
เทศกาลคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา หมู่นี้นายหญิงเหม่ยอิงจึงมีงานล้นมือเป็นพิเศษ เธอต้องคิดทั้งคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับเทศกาล และออกแบบแพ็กเกจแบบใหม่ด้วยตัวเอง “ยังไงฉันก็อยากให้ลวดลายของกล่องมีสัญลักษณ์กวางเรนเดียร์” เสียงหวานยามนี้เคร่งขรึม เหม่ยอิงกำลังหารือกับเหล่าลูกน้องที่ทำงานร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยเสนอไอเดียเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเธอ “ค่ะ งั้นดิฉันคิดว่า…” “ครับ ทางผมก็มีเรื่องเสนอ…” ร่างบางกวาดสายตามองตามสไลด์ที่พนักงานกำลังอธิบาย บางไอเดียก็ดูน่าสนใจ ทว่าก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องปรับปรุง การคุยงานผ่านไปอีกเป็นชั่วโมง กระทั่งได้ข้อสรุปที่ทำให้สีหน้าของนายหญิงดีขึ้น เธอจึงเอ่ยปิดวาระการประชุม ดวงตากลมโตดูเหนื่อยล้านิด ๆ จนลี่ถิงต้องเอ่ยถามอย่างห่วงใย “พักสักหน่อยดีไหมคะคุณหนูเหม่ย” คนงามส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวออกแบบเสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว” เมื่อห้ามไม่ได้ก็มีแต่จะต้องช่วยให้นายหญิงไม่กดดันตัวเองเกินไปก็เท่านั้น ลี่ถิงจึงจัดการเตรียมน้ำชาและขนมมาไว้ให้ เผื่อเหม่ยอิงอยากพักก็จะได้ทานได้ทันที “ฉันจะทำงานรอที่ด้านนอกนะคะ มีอะไรเรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ” “ขอบคุ
หลายปีก่อน ว่ากันว่าในทศวรรษนี้ หากพูดถึงคนกุมอำนาจและชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลไท่ ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ชายผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องรูปลักษณ์ ชาติตระกูลและการศึกษาที่ทำให้สเปคผู้หญิงจีนเกินครึ่งสูงจนติดเพดาน ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นก็ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ นั่นก็คือนิสัยอันเลื่องชื่อของเขาที่ทำให้ใครหลายคนต้องยกธงขอยอมแพ้ ความเย็นชาที่ไม่เปิดช่องให้ใครก้าวข้ามเข้ามาได้ง่าย ๆ แต่แล้วในช่วงเวลาที่หลายตระกูลชิงดีชิงเด่น พยายามขายลูกสาวกันสุดฤทธิ์ จู่ ๆ ก็เกิดการประกาศแต่งงานของไท่เหวินเจิ้งแบบสายฟ้าแลบ! ‘ว่าที่เจ้าสาวของไท่เหวินเจิ้งคือคุณหนูจากตระกูลจ้าว…จ้าวเหม่ยอิง’ ทันทีที่มีหัวข้อนั้นเผยแพร่ออกไป เสียงส่วนมากก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างจ้าวเหม่ยอิงน่ะหรือคือว่าที่ภรรยาของเหวินเจิ้ง? นิสัยฝั่งสามีเลื่องชื่อยังไง อีกฝั่งทางภรรยาก็ไม่แพ้กัน คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงผู้เป็นนางร้ายแห่งยุค ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ดูจะเป็นข่าวได้เสียหมด…โดยเฉพาะข่าวไม่ดี แม้ใบหน้าของเธอคนนั้นจะงดงามจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา หรือรูปร่าง
ข่าวเรื่องทายาทตระกูลไท่ถูกพูดถึงอย่างมากในหลายสัปดาห์นี้ มีตระกูลน้อยใหญ่ส่งของขวัญมาให้มากมายจนเหล่าสาวใช้แทบจะช่วยกันรับไม่หวาดไม่ไหว เหม่ยอิงอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังคลอด งานใด ๆ หรือธุรกิจใด ๆ ถูกเหวินเจิ้งสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเป็นอันขาด ส่วนเขาก็เป็นคนคอยดูแลแทนทั้งหมด “ของขวัญชิ้นสุดท้ายของรอบเช้าค่ะคุณหนูเหม่ย” “ขอบคุณจ้ะ” เหม่ยอิงหันไปตอบอาหลันที่วางกล่องของขวัญชิ้นสุดท้ายเสร็จ ในอ้อมแขนคนงามกำลังประคองเจินจูพลางกล่อมนอน คุณหนูน้อยหลับตาพริ้ม ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก “เสร็จแล้วใช่ไหม นั่งเล่นในนี้ก่อนก็ได้นะ” เหม่ยอิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ที่นี่คือห้องของเจินจูที่เหวินเจิ้งสั่งทำใหม่เป็นพิเศษ เขาทุบสองห้องเข้าด้วยกัน พื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยของใช้เด็กอ่อน ทั้งเตียงทั้งตู้ก็สั่งทำไว้เรียบร้อย เรียกได้ว่ามีใช้ยันอายุเจ็ดขวบเลยทีเดียว หลันนั่งลงข้างกัน เธอมองเจินจูที่ยังหลับอยู่แล้วยกยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสดใส “คุณหนูน้อยน่ารักน่าชังมากเลยค่ะ โตมาจะต้องงามเหมือนคุณหนูเหม่ยแน่เลย” เหม่ยอิงหัวเราะนิดหน่อย “หน้าตาไม่เท่าไหร่หรอก อย่าเอานิสัยหม่าม๊าไปแล้วกันนะอาจู” เธอเอ่
ครรภ์ของคุณหนูเหม่ยตอนนี้ล่วงเลยมาถึงห้าเดือนแล้ว จากเดิมที่แค่มีน้ำมีนวล แต่ตอนนี้เหม่ยอิงกลายเป็นคุณแม่ตุ้ยนุ้ยน่าฟัด ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อยากกัดแก้มกลมนั้นสักทีให้หายมันเขี้ยว อาการแพ้ท้องของเธอก็ดีขึ้นมาก เหม่ยอิงเริ่มกลับมาได้กลิ่นกุ้ยฮวาได้อีกครั้ง เธอไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้บ่อยอีกต่อไป ยิ่งทำให้เจริญอาหารจนท้องกลมแก้มกลม นอกจากเรื่องครรภ์แล้ว หมู่นี้เหม่ยอิงก็เริ่มรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ กลับมาทีละนิด ภาพแฟลชแบ็คของเหตุการณ์ในอดีตค่อย ๆ ทำให้เธอคุ้นเคยทีละน้อย คุณหมอบอกว่ามันอาจใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็มีสิทธิ์ที่เหม่ยอิงจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา ในตอนที่หวังฝูและฉีถงรู้เรื่องนี้ก็ดีใจกันอย่างมาก พวกเขาเอ่ยว่าเด็กในท้องคือพรอันวิเศษและเป็นโชคของเหม่ยอิง “พร้อมหรือยัง?” เสียงของสามีดึงให้คนที่กำลังสวมต่างหูอยู่หันไปมอง เหม่ยอิงพยักหน้ารับ “อื้อ” เหวินเจิ้งมองภาพภรรยาที่สะท้อนในกระจก เหม่ยอิงที่อายุครรภ์เพิ่มขึ้นจนหน้าท้องนูนอาจดูแปลกตาไปบ้าง เพราะปกติแล้วคุณหนูเหม่ยของเขาจะมีทรวดทรงองค์เอวที่เป็นสัดส่วนชัดเจน ทว่าตอนนี้ร่างบางกลับดูเปลี่ยนไปด้วยความโค้งเว้าของร่