แชร์

ตอนพิเศษ 1 อดีตของผู้ชิงชังภรรยา

ผู้เขียน: กุญแจฟา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-29 12:42:23

หลายปีก่อน

ว่ากันว่าในทศวรรษนี้ หากพูดถึงคนกุมอำนาจและชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลไท่ ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ชายผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องรูปลักษณ์ ชาติตระกูลและการศึกษาที่ทำให้สเปคผู้หญิงจีนเกินครึ่งสูงจนติดเพดาน ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นก็ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ

นั่นก็คือนิสัยอันเลื่องชื่อของเขาที่ทำให้ใครหลายคนต้องยกธงขอยอมแพ้ ความเย็นชาที่ไม่เปิดช่องให้ใครก้าวข้ามเข้ามาได้ง่าย ๆ

แต่แล้วในช่วงเวลาที่หลายตระกูลชิงดีชิงเด่น พยายามขายลูกสาวกันสุดฤทธิ์ จู่ ๆ ก็เกิดการประกาศแต่งงานของไท่เหวินเจิ้งแบบสายฟ้าแลบ!

‘ว่าที่เจ้าสาวของไท่เหวินเจิ้งคือคุณหนูจากตระกูลจ้าว…จ้าวเหม่ยอิง’

ทันทีที่มีหัวข้อนั้นเผยแพร่ออกไป เสียงส่วนมากก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน

อย่างจ้าวเหม่ยอิงน่ะหรือคือว่าที่ภรรยาของเหวินเจิ้ง?

นิสัยฝั่งสามีเลื่องชื่อยังไง อีกฝั่งทางภรรยาก็ไม่แพ้กัน คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงผู้เป็นนางร้ายแห่งยุค ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ดูจะเป็นข่าวได้เสียหมด…โดยเฉพาะข่าวไม่ดี

แม้ใบหน้าของเธอคนนั้นจะงดงามจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา หรือรูปร่างเย้ายวนสมบูรณ์แบบนั้นจะทำให้ผู้ชายหลายคนหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น แต่ถ้าถามว่านั่นเพียงพอหรือไม่สำหรับคำว่าเหมาะสมจะเป็นภรรยาของไท่เหวินเจิ้งล่ะก็…คงต้องบอกว่ายังห่างไกลนัก

ในวันที่ประกาศการแต่งงานแพร่ออกไป หลายคนถึงกับคิดกันว่าตระกูลไท่คงถูกกดดันด้วยเหตุผลบางอย่าง หรือไม่ก็มีผลประโยชน์ทางธุรกิจซ่อนอยู่ ไม่มีทางที่ชายผู้นั้นจะเลือกผู้หญิงอย่างจ้าวเหม่ยอิงด้วยตัวเอง

และเป็นเรื่องแน่นอนที่เจ้าตัวไม่ได้ออกมาปฏิเสธข้อครหาเลยสักนิด

เพราะแม้ในงานแต่งของทั้งคู่นั้น เหวินเจิ้งจะปรากฏตัวด้วยชุดสูทเนี้ยบแบบไร้ที่ติ ทว่าใบหน้าหล่อเหลากลับนิ่งเฉยไร้อารมณ์ ไม่มีแม้แต่แววตายินดี หรือสีหน้าของคนที่กำลังจะแต่งงานแบบควรจะเป็น เผลอ ๆ งานนี้หรือแม้กระทั่งชุดเจ้าบ่าวที่เขาสวม เขาอาจจะไม่ใช่คนที่เลือกเองด้วยซ้ำ

และทางเหม่ยอิงเองก็ใช่ว่าจะเป็นผู้หญิงประเภทที่จะออดอ้อนหรือวางตัวให้ใครมาชื่นชมได้ง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่ ในวันนั้นเธอเชิดหน้าอย่างสง่า ยิ้มในใจอย่างนึกขำ และมักตอบคำถามนักข่าวด้วยแววตาท้าทาย

“ฉันคิดว่ามีหลายคนอยากเห็นฉันและตระกูลจ้าวล้ม แต่เสียใจด้วยนะคะ ฉันดันขึ้นมาอยู่ข้างบนซะก่อนแล้ว”

ทุกคำพูดของเหม่ยอิงราวกับน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ ความรังเกียจจากสังคมรอบข้างแทบจะถาโถมเข้าใส่ ทว่าหญิงสาวกลับไม่สะทกสะท้าน แถมยังยอมรับทุกข้อครหาอย่างสง่างาม ในขณะที่ผู้เป็นสามีก็ยังคงรักษาความห่างเหินราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แม้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเดียวกัน แม้เหม่ยอิงจะย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลไท่ ทว่าเหวินเจิ้งกลับไม่เคยพูดกับเธอเกินสามประโยคในหนึ่งวัน

ไม่ใช่เพราะงานยุ่ง

ไม่ใช่เพราะไม่ว่าง

แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากเสวนากับภรรยาแม้แต่น้อย

“เธอไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่ภรรยา แค่ไม่ก่อเรื่อง ฉันก็จะไม่ยุ่งกับเธอ”

เขาเคยพูดไว้ในวันแรกที่เหม่ยอิงก้าวเข้ามา น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเด็ดขาดและเว้นระยะ ในขณะที่เหม่ยอิงเพียงยิ้มรับแล้วตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ดีค่ะ ฉันเองก็ไม่อยากได้สามี”

ชีวิตคู่ดำเนินอยู่แบบนั้น ในหนึ่งวันแทบจะไม่เห็นหน้ากัน หรือถ้าบังเอิญลงมาทานข้าวพร้อมกัน ทั้งสองก็จะทำเหมือนอีกคนไม่ได้นั่งอยู่

ยิ่งนานวันก็ยิ่งหนักขึ้น ยามไม่คุยก็ไม่คุยกันเลย แต่ถ้าได้ปะทะฝีปากเมื่อไหร่เป็นจำต้องบ้านแตกทุกที เหล่าลูกน้องได้แต่ลำบากใจที่เป็นเช่นนั้น ทว่าก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้

อย่างเช่นวันหนึ่งในคฤหาสน์ตระกูลไท่…

เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นแผ่วเบา ทว่าในคฤหาสน์ของตระกูลอันทรงอิทธิพลที่เงียบสงบนี้ เสียงนั้นกลับชัดเจนเสียจนน่าประหลาด ร่างระหงในชุดเข้ารูปสีอ่อนหยุดยืนอยู่ครึ่งทางบนบันได เมื่อสายตาสบเข้ากับใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านล่าง

ไท่เหวินเจิ้ง…

ร่างสูงยืนอยู่ตรงกลางโถงกว้าง มือหนึ่งกำลังถือแฟ้มงาน ในขณะที่อีกข้างถือโทรศัพท์แนบหู ใบหน้าคมคายยังคงดูสุขุมเช่นเคย ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเหม่ยอิง สีหน้าเรียบนิ่งนั้นก็ดูเยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย

ร่างบางหยุดเท้าไว้แค่นั้น ไม่ได้รีบร้อนเดินลงมาเหมือนทีแรก เธอเอนตัวเล็กน้อยพิงราวบันได ท่าทีเมินเฉยและเย็นชาไม่ต่างจากผู้เป็นสามี

“ไม่เห็นรู้ว่าคุณกลับมาแล้ว” เหม่ยอิงเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน มันไม่ใช่คำทักทาย แต่คล้ายจะเป็นคำเหน็บแนมที่เขาหายหน้าหายตาไปนานถึงสองสัปดาห์ต่างหาก

เหวินเจิ้งไม่ได้ตอบรับ เขารอจนกระทั่งคุยงานกับปลายสายเสร็จ จากนั้นจึงปิดโทรศัพท์และเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

“ไม่มีใครบอกหรือ ว่าช่วงนี้ฉันมีประชุมที่มาเก๊า”

“มีค่ะ แต่ฉันไม่ได้ถามรายละเอียดต่อ” เหม่ยอิงยักไหล่ทั้งยังส่งยิ้มที่ยิ้มเพียงปาก แต่แววตายังนิ่งสงบเช่นเดิม

“เพราะฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ภรรยาในนามควรสนใจนัก” แววตาเหวินเจิ้งแข็งกร้าวขึ้น ทั้งงานทั้งภรรยามีแต่เรื่องชวนให้ปวดหัว ทว่าเขายอมทำงานทั้งปีทั้งชาติ ดีกว่าต้องปะทะฝีปากกับภรรยาแค่วันเดียว เพราะเหมือนโดนสูบพลังงานและควบคุมอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง ไม่เคยเป็นไปดั่งใจนึก

เหวินเจิ้งไม่ตอบโต้อะไร แต่ดวงตาดุดันนั้นทอดมองหญิงสาวคล้ายจะสำรวจ ราวกับอยากจะหาเหตุผลว่าทำไมเหม่ยอิงถึงได้แต่งตัวจัดเต็มแบบนี้ตั้งแต่หัววัน

“จะออกไปข้างนอก?”

“งานเลี้ยงสมาคมภรรยาเจ้าของกิจการค่ะ” เสียงหวานตอบราบเรื่อย

“คุณคงไม่ว่างไปด้วยหรอกใช่ไหม” ถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่เต็มอก และไม่ได้คิดว่าคำตอบของเหวินเจิ้งมันจะสำคัญอะไรนัก

“แน่ล่ะ” ร่างสูงเอ่ยเรียบ ๆ พลางปิดแฟ้มเอกสารในมือ

“ถ้าคิดจะทำตัวให้ดูดีในสังคมก็ทำไปเถอะ แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเราเป็นสามีภรรยาที่มีความสัมพันธ์กันจริง ๆ ก็พอ” คำพูดคล้ายเอาอะไรหนัก ๆ มาทุบ เหม่ยอิงหัวเราะในลำคอ ถึงไม่บอกเธอก็รู้อยู่แล้ว

“ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องกังวลหรอก ฉันเองก็ไม่เคยคิดหลอกตัวเองเรื่องนั้น” เธอยืดตัวขึ้น เชิดหน้าน้อย ๆ แล้วก้าวเท้าเดินต่อ แต่แล้วเหวินเจิ้งกลับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ระวังพาดหัวข่าวพรุ่งนี้ด้วยแล้วกัน” คนงามหยุดเท้า แต่ไม่ได้หันไปมองผู้พูด แค่ส่งเสียงขำแผ่วเบา

“ตายจริง สามีคงลืมไปว่าภรรยาของคุณคนนี้น่ะ…ชอบมากเสียด้วยสิเวลาที่มีคนพูดถึง” ว่าจบขาเรียวก็ก้าวเดินจากไป ปล่อยให้โถงกว้างคืนสู่ความเงียบสงบดังเดิม…

ถึงจะว่าแบบนั้นแต่ใช่ว่าทั้งคู่จะเลี่ยงงานเลี้ยงได้เสมอไป ในฐานะตระกูลอันดับต้น ๆ ก็มักมีบัตรเชิญให้ทั้งคู่อยู่บ่อยครั้ง แม้ไม่ได้เต็มใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้

รถยนต์สุดหรูแล่นไปตามถนนกลางเมืองปักกิ่ง ทว่าภายในกลับมีบรรยากาศอึมครึมจนกระทั่งจงเซ่อยังต้องเหลือบมองกระจกอยู่บ่อยครั้ง ไท่เหวินเจิ้งนั่งนิ่งพลางจ้องจอไอแพดในมือ ขณะที่ข้างกายคือเหม่ยอิงที่สวมชุดราตรียาวสีดำสนิท ใบหน้างามถูกแต่งแต้มน่ามอง ทว่าสายตากลับเอาแต่ทอดมองออกไปนอกกระจก และไม่มีบทสนทนาแม้แต่ครึ่งคำ

งานเลี้ยงคืนนี้เป็นหนึ่งในพันธมิตรธุรกิจเก่าแก่ที่ตระกูลไท่ไม่อาจปฏิเสธได้ และแม้จะไม่มีข้อบังคับให้คู่สมรสไปร่วมด้วย แต่บังเอิญชื่อของคุณนายไท่ดันถูกส่งเชิญให้ไปพร้อมกันเสียอย่างนั้น

และที่แย่กว่านั้นคือ…ไม่มีใครอยากถอนตัวก่อนกัน

ณ โรงแรมสุดหรูใจกลางเมือง เสียงดนตรีคลาสสิคแผ่วเบาคลอเคลียอยู่ทั้งห้องโถงแห่งนี้ เสียงแก้วกระทบกันเป็นระยะ ผสมกับเสียงหัวเราะจอมปลอมในหมู่แขกวีไอพี ร่างบางยืนหลังตรงดูสง่าเคียงข้างร่างสูงโปร่งของเหวินเจิ้ง ผู้เป็นเจ้าของใบหน้าเย็นชาที่ทำให้แขกเหรื่อทั่วไปหวาดหวั่น

ประมุขตระกูลไท่ในชุดสูทเข้ารูปสีเดียวกับชุดราตรีของภรรยา เขาดูสง่าอย่างไม่มีที่ติ ทว่าใครที่มองลึกลงไปกว่านั้น ก็จะพบว่าเจ้าตัวดูเหมือนไม่อยากอยู่ตรงนี้แม้แต่น้อย

และสิ่งเดียวที่ทำให้เหวินเจิ้งยังยืนนิ่งอยู่ได้…ก็คือมือเรียวของเหม่ยอิงที่คล้องต้นแขนเขาไว้แน่น เธอยิ้มจาง ๆ เป็นพิธี ก่อนจะกระซิบถามร่างสูงเสียงเบาขณะที่ก้มหน้าลงเล็กน้อย

“เราต้องยืนตรงนี้อีกนานไหม?”

“ถ้าเธอเดินออกไปก่อน ก็แค่ย้ำให้คนอื่นคิดว่าเรามีปัญหากัน” เหวินเจิ้งตอบกลับโดยไม่ได้เหลียวมองผู้ถามแม้แต่น้อย เสียงทุ้มดูราบเรื่อย ทว่าก็แฝงไปด้วยความขุ่นมัวอยู่ลึก ๆ

“อ้อ…ฉันนึกว่าทุกคนรู้หมดแล้วซะอีก” เหม่ยอิงเลิกคิ้วน้อย ๆ และส่งเสียงขำเย้ยหยันในลำคอ กระทั่งหางตาคมหันมามองเธอครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับเสียงต่ำ

“อย่าทำให้ฉันต้องออกแรงปั้นหน้ายิ้มมากกว่านี้”

“ทำไมล่ะคะ? ก็ดูคุณยิ้มทุกครั้งที่มีนักลงทุนผู้หญิงเข้ามาทักไม่ใช่หรือไง” ว่าพลางปรายตามองเหวินเจิ้ง เสียงหวานเย็นขึ้น ทว่ารอยยิ้มบนหน้ายังอยู่ครบ

“ฉันไม่ได้ยิ้มให้พวกเขา” เหวินเจิ้งตอบทันควัน

“อ้อ งั้นฉันคงตาฝาดไปเอง” เหม่ยอิงยักไหล่อย่างไม่สนใจนัก และยกแก้วไวน์ขึ้นจิบราวกับไม่ได้ใส่ใจในคำตอบ

ภายนอกดูดีอย่างไรทว่าภายในของทั้งคู่ต่างก็ตึงเครียดในบทบาทคู่สมรสที่ต้องแสดงต่อหน้าสังคมเสียเหลือเกิน

กระทั่งเวลาล่วงเลยไปไม่นานนัก ทั้งคู่แยกย้ายออกจากแขกในกลุ่มแรก เหวินเจิ้งได้รับเชิญไปหารือสั้น ๆ กับนักธุรกิจระดับสูง ในขณะที่เหม่ยอิงเดินแยกออกมาอีกทางเพื่อไปยังโซนจัดแสดงศิลปะที่อยู่ถัดไปเล็กน้อย

ร่างบางมาหยุดยืนตรงหน้าภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่ ในนั้นคือภาพภูเขาในช่วงฤดูหนาว มันถูกแต่งแต้มด้วยสีโทนหม่น พาลทำให้คนได้มองรู้สึกถึงความเดียวดายและความเหงาที่ซ่อนอยู่ในนั้น เหม่ยอิงยืนพินิจอยู่เงียบ ๆ กระทั่งไม่ได้รู้เลยว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาหากันทางด้านหลัง

“คุณคิดว่า…ภาพนี้สื่อถึงอะไรครับ” เสียงทุ้มสุภาพของชายคนหนึ่งดังขึ้น เขาคือเจ้าของภาพที่ได้ประมูลมา ในช่วงเวลานี้แขกต่างไปดื่มและทานอาหารอยู่อีกฝั่ง ดังนั้นตรงนี้จึงค่อนข้างเงียบสงบ

เหม่ยอิงหันไปมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาสนใจรูปนั้นดังเดิม

“ศิลปะไม่มีถูกไม่มีผิด ผมแค่อยากรู้มุมมองของคุณนายไท่ก็เท่านั้น” เขาเอ่ยอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเหม่ยอิงมีท่าทางอึกอักไม่น้อย

“อืม…สวยค่ะ แต่ออกจะเศร้าไปสักหน่อย” ไม่ค่อยบ่อยนักที่เหม่ยอิงจะถูกชวนคุยด้วยความรู้สึกที่เป็นมิตรแบบนี้ เธอจึงค่อนข้างทำตัวไม่ถูก แม้ลึก ๆ จะรู้สึกดีก็ตาม

“ศิลปินตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น เขาวาดช่วงที่ภรรยาเพิ่งจากไปน่ะครับ” พลันจบคำตอบทำให้ร่างบางชะงักไปครู่หนึ่ง เหม่ยอิงยืนนิ่งไปหลายนาที

“ฮ่า ๆ ผมคงเสียมารยาทมากที่มาชวนคุยตอนคุณกำลังดูรูปแบบนี้ คุณควรจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศสิครับ” ว่าจบชายคนนั้นก็ก้มหน้าเล็กน้อยแล้วเดินจากไป ไม่ทันให้เหม่ยอิงได้เอ่ยห้าม

เหวินเจิ้งยังยืนคุยงานอยู่ แต่หัวข้อที่คุยเริ่มเปลี่ยนไปในเรื่องไร้สาระ เขาจึงไม่ค่อยได้ใส่ใจ ดวงตาคมกริบกวาดมองแขกไปทั่วงานระหว่างยืนฟัง ทว่าก็ทำได้ไม่นานนัก…เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นร่างคุ้นเคยในโซนศิลปะที่ถัดไปเพียงนิด

เหม่ยอิงกำลังคุยกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ท่าทางไม่ได้สนิทสนมมากนัก แต่ดวงตาที่เธอตั้งใจฟังเขาคนนั้นพูดมันดูระยิบระยับอย่างแปลกประหลาด เป็นผลให้เหวินเจิ้งเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แถมยังจ้องไปทางนั้นอยู่นานหลายนาที

“คุณเหวิน?” กระทั่งโดนเอ่ยทัก ร่างสูงถึงได้หลุดออกจากห้วงความคิด

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“เปล่า”

“อ้อ…งั้น-”

“ขอตัวเดี๋ยว” ว่าจบร่างสูงก็เดินออกจากวงสนทนา รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ด้านหลังของผู้เป็นภรรยาเสียแล้ว

“จะมาตามฉันให้ไปยืนปั้นหน้าต่อหรือไงคะ” ทันทีที่ก้าวไปหยุดอยู่ตรงนั้น เสียงของเหม่ยอิงก็ดังขึ้น เหวินเจิ้งแค่นหัวเราะในลำคอ

“ไม่เบื่อหรือไง ที่ต้องทำตัวดูดีตลอดเวลาต่อหน้าคนพวกนั้น”

“คุณต่างหากที่ดูเบื่อจะแย่ แต่ยังจะทนยืนอยู่อีก” เหม่ยอิงพูดทั้งที่ไม่ได้หันกลับไป และเป็นครั้งแรกที่เหวินเจิ้งไม่ได้พยายามหาเรื่องเธอต่อ เขาทำเพียงก้าวไปด้านหน้าให้อยู่ในระดับเดียวกับภรรยาเท่านั้น

บรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบ ทั้งคู่เอาแต่มองภาพวาดนั้น เพราะไม่รู้จะต้องเอาสายตาไปวางตรงไหน

“ศิลปินวาดภาพนี้ตอนภรรยาเขาตาย” เป็นเหม่ยอิงที่เริ่มพูดก่อน ไม่รู้เพราะความเศร้าจากดนตรีหรือเพราะเริ่มกรึ่มจากฤทธิ์ไวน์ในมือ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องบอก แต่จู่ ๆ เธอก็รู้สึกอยากพูดขึ้นมา

“เศร้าแทนหรือไง” เสียงทุ้มถามเรียบเรื่อย ยังคงเผลอเหน็บแนมโดยไม่รู้ตัว

”เปล่าหรอก แค่คิดว่าบางคนก็รู้ตัวตอนสายไปแล้ว” ประโยคนั้นยิ่งทำให้มวลอารมณ์ระหว่างกันแปลกประหลาด คล้ายว่าจะหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิม

เหวินเจิ้งเหลือบสายตามองคนข้าง ๆ เล็กน้อย หากบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องกับภรรยาก็คงไม่ผิดนัก มันทั้งแปลกใหม่และไม่ชิน

“หึ เธอคงไม่ได้คิดจะเอามาเปรียบเทียบกับฉันหรอกใช่ไหม”

“แบบคุณต่อให้สายไปก็คงไม่รู้สึกเศร้าหรือเสียใจหรอกมั้งคะ” เหม่ยอิงว่าพลางยักไหล่ เธอหันมาสบตากับเขา และยกยิ้มคล้ายกำลังยั่วโมโห

เหวินเจิ้งไม่ได้พูดอะไร พยายามทบทวนคำพูดนั้น และก็เป็นดั่งที่ภรรยาว่า เขาคงไม่มีวันเสียใจหรือมานั่งเพ้อพกแค่เพราะการจากไปของใครบางคน

“นี่คุณเหวิน…ฉันถามคำถามคุณสักข้อได้หรือเปล่า”

“ไม่”

“คุณคิดว่าพวกเราน่าเบื่อไหม” เหวินเจิ้งถอนหายใจระอา หากจะดื้อดึงแบบนี้แล้วถามเขาทำไมกัน?

ทว่าไม่รู้เพราะดวงตาที่เป็นประกายของภรรยายามนี้หรือเปล่า จู่ ๆ เหวินเจิ้งก็ยอมตอบออกไป แม้ทั้งคำตอบและน้ำเสียงจะแฝงไปด้วยมวลอารมณ์ขุ่นมัวก็ตาม

“เราน่ารำคาญ” เหม่ยอิงหัวเราะในลำคอ เพราะคำพูดของเหวินเจิ้งมันสมกับเป็นเขาเสียเหลือเกิน

“แต่บางที…” ทว่าจู่ ๆ เสียงทุ้มกลับเอ่ยอีกครั้ง คราวนี้เสียงนั้นดูเบาลง

“มันอาจจะยังไม่มากพอให้เลิกสนใจกันเสียที” ช่วงเวลานี้มันเป็นช่วงแปลกประหลาดมากจริง ๆ เหม่ยอิงผงะไปชัดเจน ราวกับเสียงดนตรีและบรรยากาศรอบข้างนิ่งเงียบ เป็นอยู่อย่างนั้นไม่รู้นานเท่าไหร่ กระทั่งเหวินเจิ้งพูดขึ้น

“กลับกันได้แล้ว”

“คะ?…เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ฉันยังไม่ได้กินของหวานเลย”

“มันไม่ใช่เรื่องของฉัน” น้ำเสียงนั้นกลับมาแข็งกระด้าง เหมือนกลับมาเป็นเหวินเจิ้งคนเดิมในเสี้ยววินาที

เหม่ยอิงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะยอมละทิ้งความตั้งใจที่จะทานของหวาน เธอก้าวไปทางเหวินเจิ้ง กำลังจะเดินผ่านเขาไป ทว่าก็หยุดเท้ากะทันหันแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา

“บางที…คุณควรปล่อยให้ตัวเองซื่อตรงกับความรู้สึกซะบ้าง” คำพูดนั้นทำให้ร่างสูงชะงัก ดวงตาอ่อนลงหนึ่งระดับ แต่สุดท้ายเหวินเจิ้งก็ไม่ได้ตอบอะไร เขาทำเพียงหมุนตัวกลับอย่างเฉยชาและเดินออกจากงานโดยไม่เอ่ยคำใดอีก

ปัจจุบัน

ในห้องนอนใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลไท่ สองร่างของผู้เป็นประมุขและผู้เหนือกว่าประมุข เหม่ยอิงหลับพริ้มในอ้อมแขนสามี ความอบอุ่นห้อมล้อมจนล่วงเลยเวลาที่ต้องตื่นมานานมากแล้ว

เหวินเจิ้งทอดมองคนที่หนุนแขนตนอยู่ ใบหน้าหวานยังหลับสนิท ผมสีหม่นหล่นปรกหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากแดงเรื่อพ่นลมหายใจเบา ๆ เหมือนเด็ก แต่เป็นภาพที่เหวินเจิ้งกลับชอบมองที่สุด

จู่ ๆ ก็ไม่รู้ทำไมที่เขานึกถึงช่วงเวลาเมื่อก่อนขึ้นมา เขายอมรับว่าตนไม่เคยลืมงานเลี้ยงวันนั้น วันที่เหม่ยอิงส่งรอยยิ้มบางเบา แต่เหมือนจะไม่ได้ยิ้มให้ใครเลย แถมยังมีคำพูดที่เหมือนเข็มทิ่มอยู่ในอก

“บางทีคุณควรปล่อยให้ตัวเองซื่อตรงกับความรู้สึกซะบ้าง”

ซื่อตรงงั้นหรือ…เหวินเจิ้งเคยคิดว่ามันไร้สาระและไม่จำเป็น ยิ่งเป็นผู้นำก็ยิ่งต้องปิดความรู้สึกไว้ให้มิดไม่ใช่หรือไง?

ทว่าสุดท้ายปากหนักและใจแข็งดุจดั่งหิน ก็เป็นต้องมาตกม้าตายกับคนที่เคยบอกว่าชิงชังนักหนา

จากที่เคยพูดกับภรรยาไม่เกินสามประโยคต่อวัน แต่มาตอนนี้…เหวินเจิ้งจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อวานเขากอดเธอไปกี่ครั้ง หรือหอมหน้าผากภรรยาไปกี่หน

เขาเคยรู้สึกว่าเธอรบกวน แต่ตอนนี้เพียงแค่เหม่ยอิงแยกไปทำงาน เหวินเจิ้งก็รู้สึกว่าบ้านทั้งหลังดูว่างเปล่าไปเสียดื้อ ๆ

เขาเคยพูดไว้ว่า‘แค่ไม่ก่อเรื่อง ก็จะไม่ยุ่งกับเธอ’ แต่ตอนนี้ถ้าไม่มีเหม่ยอิงอยู่ข้างกายสักวัน เขาต่างหากที่จะเป็นฝ่ายก่อเรื่องเสียเอง

เขาเคยคิดว่าเธอน่ารำคาญ แต่ตอนนี้ให้นั่งฟังเหม่ยอิงพูดจ้อทั้งวันก็ยังไหว

เคยคิดว่าเธอช่างดื้อรั้น ทว่าตอนนี้กลับอยากให้เหม่ยอิงเอาแต่ใจเสียบ้าง จะได้มีข้ออ้างให้เขาเอาใจเธอมากกว่านี้

เหม่ยอิงในวันนี้ยังคงเป็นเหม่ยอิงคนเดิม แสนพยศ กดยาก มั่นใจในตัวเองและกล้าพูดกล้าทำ แต่สำหรับเหวินเจิ้ง เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่เหมาะสมจะเป็นภรรยาของเขาอีกต่อไปแล้ว

เพราะไท่เหม่ยอิงคือผู้หญิงที่เขาไม่สามารถไม่มีในชีวิตได้อีกต่อไป

จู่ ๆ ร่างในอ้อมแขนก็ขยับตัวเล็กน้อย เธอปรือตาขึ้นมองสามี ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความง่วง

“ตื่นแล้วเหรอคะ” เหม่ยอิงพึมพำถามเสียงแหบ ปลายนิ้วยกขึ้นแตะแก้มคนสูงกว่า

เหวินเจิ้งยกยิ้ม ก่อนจะยกมือขึ้นกุมมือขาวไว้แล้วโน้มลงจูบแผ่วเบา

“หลับสบายไหม”

“อื้อ สบายมากเลยค่ะ”

“ก็น่าจะเป็นแบบนั้น น้ำลายยืดเชียว” เหวินเจิ้งหยอกเย้า ทว่าเหม่ยอิงรีบยกมือป้องปากไว้ทันที ดวงตาโตขึ้นอย่างตกใจ

“อย่าล้อสิคะ! ก็ช่วงนี้อิงเหนื่อยก็เลยหลับลึก” เธอว่าเสียงสูง เมื่อเห็นเหวินเจิ้งหัวเราะไม่หยุด

“เฮียหยอกเธอเล่น ไม่มีหรอก”

“อ้าว…”

“แค่น้ำลายยืดเธอจะอายทำไม แลกน้ำลายกันตอนเพิ่งตื่นก็ทำออกจะบ่อยไม่ใช่หรือ?” จู่ ๆ ก็เอ่ยประโยคที่ทำให้คนฟังหน้าแดงแปร๊ด เหม่ยอิงยกมือขึ้นตีไปที่อกแกร่ง แก้มนวลขึ้นสีระเรื่อถูกอกถูกใจเหวินเจิ้งนัก

“พูดอะไรก็ไม่รู้!”

“หรือไม่จริง?”

“อิงไม่คุยกับคุณแล้ว ไปหาอาจูดีกว่า”

“เดี๋ยว” คนงามพยายามจะลุกหนี ทว่าบั้นเอวกลับโดนสามีดึงไปกอดไว้จนเกือบจะจมไปกับเตียง

“มะ…มีอะไรคะ” เหม่ยอิงถามตะกุกตะกัก เมื่อใบหน้าหล่อเหลาของเหวินเจิ้งโน้มมาใกล้ ริมฝีปากหยักยกยิ้มกับท่าทางเลิ่กลั่กของภรรยา ก่อนเสียงทุ้มจะกระซิบแผ่วชิดใบหูขาว

“ยังไม่ได้หอมเธอเลย” เหม่ยอิงรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า เธอเม้มปากแน่น ยิ่งตอนที่จมูกโด่งของสามีคลอเคลียข้างแก้มเบา ๆ ก่อนจะจรดจูบลงไปอย่างอ่อนโยน พลันทำให้คนที่เพิ่งตื่นมาหมาด ๆ หัวใจเต้นระส่ำ

“นุ่มกว่าหมั่นโถวอีก”

“ฮื่ออ ปล่อยอิงเลย” เหม่ยอิงโอดครวญ เธอเบือนหน้าหนีและพยายามจะซ่อนแก้มแดง ๆ ของตนไว้ ทว่าเหวินเจิ้งกลับทำเพียงหัวเราะ ก่อนมือหนาจะประคองคางภรรยาให้หันกลับมา และทาบจุมพิตไปที่หน้าผากแผ่วเบาอีกครั้ง

ดวงตาสีไม้สนทอดมองคนใต้ร่างที่กำลังเขินอย่างเห็นได้ชัด มุมปากเขาจึงยกขึ้น ความอบอุ่นห้อมล้อมทั้งคู่ไว้

และเหวินเจิ้งก็ตระหนักได้ชัดเจนแล้วว่า คนที่ทำให้บ้านที่เคยว่างเปล่ามีเสียง

คนที่เปลี่ยนเตียงกว้างให้กลายเป็นที่พักผ่อนจริง ๆ

คนที่สอนให้เขารู้ว่าอ้อมกอดหนึ่งอ้อมนั้นไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรี และสอนให้รู้ว่า…บางทีเราก็ต้องซื่อตรงกับตัวเองบ้าง

เขาในอดีตอาจเคยเป็นผู้ชิงชังภรรยา แต่ทว่าตอนนี้ไท่เหวินเจิ้งกลายเป็นสามีที่รักภรรยาอย่างไม่มีเงื่อนไข

…และจะไม่มีวันกลับไปเป็นคนเดิมอีกต่อไป

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 4 หนึ่งวันกับเจินจู

    ไท่เจินจู เด็กหญิงตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมหยักศกนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกับดวงตา ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย คิ้วเรียวโค้งได้รูปเสริมให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งละม้ายคล้ายผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ และที่สำคัญที่ไม่ว่าใครได้พบเป็นต้องชม คือผิวเนียนขาวราวไข่มุกตามความหมายชื่อของเจ้าตัว ตอนนี้เธออายุได้หกขวบแล้ว เป็นช่วงที่อยู่ในวัยเจื้อยแจ้ว ช่างสังเกต และมีคำถามมากมายเต็มหัวสมกับวัยเจ้าหนูช่างจ้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปเสียหมด ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องที่ปะป๊ามักแอบจุ๊บหม่าม๊าในตอนที่คิดว่าไม่มีใครเห็น แม้จะซนเกินเด็กผู้หญิงไปบ้าง แต่เจินจูก็เป็นพลังงานที่ใสซื่อของเหวินเจิ้งและเหม่ยอิง รวมถึงคนอื่น ๆ เช่นหวังฝูและฉีถง หรือแม้กระทั่งสาวใช้ในบ้าน เพราะยามเสียงสดใสนั้นเอ่ยว่า ‘รักป๊าที่สุดในโลก’ ‘หม่าม๊าสวยเหมือนเจ้าหญิง’ ‘คุณยายขา อาจูอยากนอนด้วย’ ‘พี่การ์ด อาจูขอจ๊อกโกแลต’ อะไรแบบนั้นก็ทำให้ใครต่อใครพร้อมใจกันหลงรักหนูน้อยคนนี้หัวปักหัวปำ แม้กระทั่งชายฉกรรจ์แบบบอดี้การ์ดหน้าโหดของเหวินเจิ้งก็ไม่อาจสู้ได้ งานอดิเรกของคุณหน

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 3 เหม่ยอิงกับผ้าปิดตา

    หลังจากที่รู้ว่าเหวินเจิ้งโกรธกัน เหม่ยอิงก็ต้องล้มเลิกการไปงานเลี้ยงในคืนนี้แล้วหาวิธีง้อสามีแทน “คุณเหวินล่ะ?” เธอเอ่ยถามหลันที่เพิ่งลงมาจากชั้นสอง “กำลังพาคุณหนูจูเข้านอนค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณหนูเหม่ยต้องไปงานเลี้ยงอีกคืนใช่ไหมคะ? งั้นให้ฉันช่วยเตรียมชุดดีไหมคะ” เหม่ยอิงส่ายศีรษะก่อนตอบ “ไม่ไปแล้วล่ะ เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ” ถึงจะงง ๆ แต่หลันก็ยอมค้อมศีรษะรับคำสั่ง เมื่อคล้อยหลังสาวใช้คนสนิทไปแล้ว เหม่ยอิงก็พรูลมหายใจและครุ่นคิดกับตัวเอง เธอควรจะเอาใจเหวินเจิ้งอย่างไรดี? คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หญิงสาวรู้ว่าหากสามีกำลังกล่อมลูกนอนก็คงจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนี้เธอก็เลยกลับเข้าห้องนอนใหญ่ ในโซนสำหรับไว้แต่งตัวนั้นยังพบชุดที่ลี่ถิงเตรียมไว้ให้สำหรับงานคืนนี้ “ดูท่าแกคงต้องกลับไปนอนในตู้อีกครั้งแล้วล่ะ” เสียงหวานว่าแกมหัวเราะเจื่อน ๆ ทว่าในตอนที่กำลังเก็บชุดนั้น เหม่ยอิงก็ต้องผงะไปเมื่อเจอของที่อยู่ด้วยกัน มันคือชุดชั้นในลูกไม้เข้าเซ็ท พร้อมกับถุงน่องสีดำ… ร่างขาวเม้มปากแน่น ปลายนิ้วเรียวยังแตะอยู่ที่ดีเทลของลูกไม้ในผ้าผืนบางนั้น ในใจก็เริ่มครุ่นคิดไปเรื่อย ก่อนดวงตาก

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 2 อย่าทำให้สามีหึง

    เทศกาลคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา หมู่นี้นายหญิงเหม่ยอิงจึงมีงานล้นมือเป็นพิเศษ เธอต้องคิดทั้งคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับเทศกาล และออกแบบแพ็กเกจแบบใหม่ด้วยตัวเอง “ยังไงฉันก็อยากให้ลวดลายของกล่องมีสัญลักษณ์กวางเรนเดียร์” เสียงหวานยามนี้เคร่งขรึม เหม่ยอิงกำลังหารือกับเหล่าลูกน้องที่ทำงานร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยเสนอไอเดียเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเธอ “ค่ะ งั้นดิฉันคิดว่า…” “ครับ ทางผมก็มีเรื่องเสนอ…” ร่างบางกวาดสายตามองตามสไลด์ที่พนักงานกำลังอธิบาย บางไอเดียก็ดูน่าสนใจ ทว่าก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องปรับปรุง การคุยงานผ่านไปอีกเป็นชั่วโมง กระทั่งได้ข้อสรุปที่ทำให้สีหน้าของนายหญิงดีขึ้น เธอจึงเอ่ยปิดวาระการประชุม ดวงตากลมโตดูเหนื่อยล้านิด ๆ จนลี่ถิงต้องเอ่ยถามอย่างห่วงใย “พักสักหน่อยดีไหมคะคุณหนูเหม่ย” คนงามส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวออกแบบเสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว” เมื่อห้ามไม่ได้ก็มีแต่จะต้องช่วยให้นายหญิงไม่กดดันตัวเองเกินไปก็เท่านั้น ลี่ถิงจึงจัดการเตรียมน้ำชาและขนมมาไว้ให้ เผื่อเหม่ยอิงอยากพักก็จะได้ทานได้ทันที “ฉันจะทำงานรอที่ด้านนอกนะคะ มีอะไรเรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ” “ขอบคุ

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนพิเศษ 1 อดีตของผู้ชิงชังภรรยา

    หลายปีก่อน ว่ากันว่าในทศวรรษนี้ หากพูดถึงคนกุมอำนาจและชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลไท่ ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ชายผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องรูปลักษณ์ ชาติตระกูลและการศึกษาที่ทำให้สเปคผู้หญิงจีนเกินครึ่งสูงจนติดเพดาน ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นก็ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ นั่นก็คือนิสัยอันเลื่องชื่อของเขาที่ทำให้ใครหลายคนต้องยกธงขอยอมแพ้ ความเย็นชาที่ไม่เปิดช่องให้ใครก้าวข้ามเข้ามาได้ง่าย ๆ แต่แล้วในช่วงเวลาที่หลายตระกูลชิงดีชิงเด่น พยายามขายลูกสาวกันสุดฤทธิ์ จู่ ๆ ก็เกิดการประกาศแต่งงานของไท่เหวินเจิ้งแบบสายฟ้าแลบ! ‘ว่าที่เจ้าสาวของไท่เหวินเจิ้งคือคุณหนูจากตระกูลจ้าว…จ้าวเหม่ยอิง’ ทันทีที่มีหัวข้อนั้นเผยแพร่ออกไป เสียงส่วนมากก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างจ้าวเหม่ยอิงน่ะหรือคือว่าที่ภรรยาของเหวินเจิ้ง? นิสัยฝั่งสามีเลื่องชื่อยังไง อีกฝั่งทางภรรยาก็ไม่แพ้กัน คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงผู้เป็นนางร้ายแห่งยุค ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ดูจะเป็นข่าวได้เสียหมด…โดยเฉพาะข่าวไม่ดี แม้ใบหน้าของเธอคนนั้นจะงดงามจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา หรือรูปร่าง

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   ตอนจบ กันและกันตลอดไป

    ข่าวเรื่องทายาทตระกูลไท่ถูกพูดถึงอย่างมากในหลายสัปดาห์นี้ มีตระกูลน้อยใหญ่ส่งของขวัญมาให้มากมายจนเหล่าสาวใช้แทบจะช่วยกันรับไม่หวาดไม่ไหว เหม่ยอิงอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังคลอด งานใด ๆ หรือธุรกิจใด ๆ ถูกเหวินเจิ้งสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเป็นอันขาด ส่วนเขาก็เป็นคนคอยดูแลแทนทั้งหมด “ของขวัญชิ้นสุดท้ายของรอบเช้าค่ะคุณหนูเหม่ย” “ขอบคุณจ้ะ” เหม่ยอิงหันไปตอบอาหลันที่วางกล่องของขวัญชิ้นสุดท้ายเสร็จ ในอ้อมแขนคนงามกำลังประคองเจินจูพลางกล่อมนอน คุณหนูน้อยหลับตาพริ้ม ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก “เสร็จแล้วใช่ไหม นั่งเล่นในนี้ก่อนก็ได้นะ” เหม่ยอิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ที่นี่คือห้องของเจินจูที่เหวินเจิ้งสั่งทำใหม่เป็นพิเศษ เขาทุบสองห้องเข้าด้วยกัน พื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยของใช้เด็กอ่อน ทั้งเตียงทั้งตู้ก็สั่งทำไว้เรียบร้อย เรียกได้ว่ามีใช้ยันอายุเจ็ดขวบเลยทีเดียว หลันนั่งลงข้างกัน เธอมองเจินจูที่ยังหลับอยู่แล้วยกยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสดใส “คุณหนูน้อยน่ารักน่าชังมากเลยค่ะ โตมาจะต้องงามเหมือนคุณหนูเหม่ยแน่เลย” เหม่ยอิงหัวเราะนิดหน่อย “หน้าตาไม่เท่าไหร่หรอก อย่าเอานิสัยหม่าม๊าไปแล้วกันนะอาจู” เธอเอ่

  • ภรรยาของเขาคือนางร้ายความจำเสื่อม   บทที่ 29 ครอบครัวของเรา

    ครรภ์ของคุณหนูเหม่ยตอนนี้ล่วงเลยมาถึงห้าเดือนแล้ว จากเดิมที่แค่มีน้ำมีนวล แต่ตอนนี้เหม่ยอิงกลายเป็นคุณแม่ตุ้ยนุ้ยน่าฟัด ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อยากกัดแก้มกลมนั้นสักทีให้หายมันเขี้ยว อาการแพ้ท้องของเธอก็ดีขึ้นมาก เหม่ยอิงเริ่มกลับมาได้กลิ่นกุ้ยฮวาได้อีกครั้ง เธอไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้บ่อยอีกต่อไป ยิ่งทำให้เจริญอาหารจนท้องกลมแก้มกลม นอกจากเรื่องครรภ์แล้ว หมู่นี้เหม่ยอิงก็เริ่มรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ กลับมาทีละนิด ภาพแฟลชแบ็คของเหตุการณ์ในอดีตค่อย ๆ ทำให้เธอคุ้นเคยทีละน้อย คุณหมอบอกว่ามันอาจใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็มีสิทธิ์ที่เหม่ยอิงจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา ในตอนที่หวังฝูและฉีถงรู้เรื่องนี้ก็ดีใจกันอย่างมาก พวกเขาเอ่ยว่าเด็กในท้องคือพรอันวิเศษและเป็นโชคของเหม่ยอิง “พร้อมหรือยัง?” เสียงของสามีดึงให้คนที่กำลังสวมต่างหูอยู่หันไปมอง เหม่ยอิงพยักหน้ารับ “อื้อ” เหวินเจิ้งมองภาพภรรยาที่สะท้อนในกระจก เหม่ยอิงที่อายุครรภ์เพิ่มขึ้นจนหน้าท้องนูนอาจดูแปลกตาไปบ้าง เพราะปกติแล้วคุณหนูเหม่ยของเขาจะมีทรวดทรงองค์เอวที่เป็นสัดส่วนชัดเจน ทว่าตอนนี้ร่างบางกลับดูเปลี่ยนไปด้วยความโค้งเว้าของร่

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status