ไท่เจินจู เด็กหญิงตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมหยักศกนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกับดวงตา ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย คิ้วเรียวโค้งได้รูปเสริมให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งละม้ายคล้ายผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ และที่สำคัญที่ไม่ว่าใครได้พบเป็นต้องชม คือผิวเนียนขาวราวไข่มุกตามความหมายชื่อของเจ้าตัว
ตอนนี้เธออายุได้หกขวบแล้ว เป็นช่วงที่อยู่ในวัยเจื้อยแจ้ว ช่างสังเกต และมีคำถามมากมายเต็มหัวสมกับวัยเจ้าหนูช่างจ้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปเสียหมด ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องที่ปะป๊ามักแอบจุ๊บหม่าม๊าในตอนที่คิดว่าไม่มีใครเห็น แม้จะซนเกินเด็กผู้หญิงไปบ้าง แต่เจินจูก็เป็นพลังงานที่ใสซื่อของเหวินเจิ้งและเหม่ยอิง รวมถึงคนอื่น ๆ เช่นหวังฝูและฉีถง หรือแม้กระทั่งสาวใช้ในบ้าน เพราะยามเสียงสดใสนั้นเอ่ยว่า ‘รักป๊าที่สุดในโลก’ ‘หม่าม๊าสวยเหมือนเจ้าหญิง’ ‘คุณยายขา อาจูอยากนอนด้วย’ ‘พี่การ์ด อาจูขอจ๊อกโกแลต’ อะไรแบบนั้นก็ทำให้ใครต่อใครพร้อมใจกันหลงรักหนูน้อยคนนี้หัวปักหัวปำ แม้กระทั่งชายฉกรรจ์แบบบอดี้การ์ดหน้าโหดของเหวินเจิ้งก็ไม่อาจสู้ได้ งานอดิเรกของคุณหนูเจินจูคือการวาดรูปเล่น ซึ่งกระดาษทุกแผ่นที่เธอวาดปะป๊าจะเป็นคนเอาไปติดตามผนังของห้องทำงานของเขา หากเปิดเข้าไปก็คงมีเข้าใจผิดกันได้บ้างว่าห้องทำงานเหวินเจิ้งคือห้องของเจินจู “อาเซ่อขา” เสียงใส ๆ ที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้จงเซ่อซึ่งกำลังคุยงานอยู่หยุดลงทันที เขาหันกลับมาแล้วย่อตัวลงราวปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ “ครับคุณหนูจู?” สรรพนามที่ดูเป็นทางการนี้เหม่ยอิงเคยบอกให้เขาเปลี่ยนอยู่หลายครั้ง แต่จงเซ่อก็ยังยืนยันว่าจะเรียกคุณหนูจูต่อไป “ฟังเรื่องที่อาจูจะพูดหน่อยนะ!” เสียงนั้นดูแข็งขึ้นเล็กน้อย แถมท่าทางก็จริงจังตามไปด้วย จงเซ่อที่เห็นแบบนั้นถึงกับชะงัก คราวนี้เขานั่งขัดสมาธิลงกับพื้นแล้วตั้งใจฟังทันที ดูเถอะดู…เป็นเอาหนักมากอยู่นะ “ใครแกล้งคุณหนูจูที่โรงเรียนหรือเปล่า? หรือว่าเมื่อคืนนอนฝันร้ายเหรอครับ?” หนูน้อยส่ายศีรษะเป็นคำตอบ ดวงตากลมโตเหลือบมองด้านข้างอยู่ครู่หนึ่งว่าจะมีคนอื่นได้ยินหรือไม่ “คือแบบนี้นะ…” เธอเว้นจังหวะ จงเซ่อลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย “…” “อาจูอยากไปเที่ยวกับปะป๊า แต่ปะป๊าไม่ว่างเลยสักวันน่ะสิ!” ครั้นได้ฟังคำตอบจากปากเล็ก ๆ นั้นมือขวาคนสนิทของเหวินเจิ้งถึงกับนิ่งไป “อาเซ่อให้ป๊าทำงานหนักอีกแล้วใช่ไหม” คนโดนกล่าวหาถึงกับรีบยกมือขึ้นปฏิเสธ ถ้าจะพูดให้ถูก คนที่โดนใช้งานหนักมันเขาต่างหาก “แล้วทำไมปะป๊าถึงเอาแต่ทำงานล่ะคะ หม่าม๊าก็ด้วย” “คือแบบนี้นะครับ…ช่วงนี้เป็นช่วงที่คุณเหวินกับคุณหนูเหม่ยต้องคุยงานใหญ่กัน แต่ผมคิดว่าพรุ่งนี้น่าจะว่างขึ้นแล้วครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะไปแอบถามคุณเหวินให้ก็ได้ว่า—” จงเซ่อที่กำลังอธิบายยาวยืด แต่ก็ยังพูดไม่จบประโยคดีกลับโดนแทรกเสียก่อน “สัญญาแล้วนะคะ!” เจินจูยกนิ้วก้อยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับราวกับจะสะกดให้จงเซ่อต้องตอบตกลงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น “…” มือขวาคนเก่งลอบถอนหายใจแผ่วเบา ทว่าก็ยอมยื่นนิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวแบบยอมจำนน “ครับ สัญญาครับ” สิ้นประโยคนั้น เจินจูก็วาดรอยยิ้มกว้างอย่างร่าเริงทันที “อาจูจะไปเตรียมกระเป๋า!” ว่าจบก็หมุนตัววิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงจงเซ่อที่นั่งอยู่กับพื้นที่เดิม พร้อมกับเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองถูกคุณหนูน้อยจัดการเข้าให้แล้ว ต้องเป็นจงเซ่อทุกที! หลังจากคุยกับคุณหนูเจินจูเสร็จแล้วจงเซ่อก็กลับไปห้องทำงานของนายท่านและนายหญิง ทันทีที่ก้าวเข้าไปก็พบกับนายหญิงกำลังนั่งดูเอกสารอยู่บนเก้าอี้ ส่วนนายท่านยืนอยู่ข้างกัน เขาโน้มตัวใกล้ภรรยา มือหนาข้างหนึ่งจับอยู่ที่พนักเก้าอี้ที่เหม่ยอิงนั่ง ทั้งคู่กำลังคุยงานกันอยู่ “…” จงเซ่อประหม่าเล็กน้อย ทั้งนายท่านและนายหญิงก็น่าเกรงใจ แต่ทางคุณหนูจูก็น่ากลัวเหมือนกัน “อ้าวจงเซ่อมาพอดีเลย…อาจูตื่นจากนอนกลางวันหรือยัง?” เหม่ยอิงเป็นคนเงยหน้าขึ้นมาก่อน เป็นผลให้เหวินเจิ้งลากสายตาตาม “ครับ คุณหนูจูตื่นแล้วครับ” “เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย งั้นอิงว่าเราคุยกันต่อคืนนี้ดีไหมคะ?” “อืม เอาแบบนั้นแล้วกัน แต่ถ้าเธอเหนื่อยเฮียจะเคลียร์ทุกอย่างเอง” “ไม่เป็นไรค่ะ อิงจะนอนคนเดียวได้ยังไงล่ะ” บทสนทนาลื่นไหลไปเรื่อย ในขณะที่จงเซ่อได้แต่กระแอมในลำคอ คล้ายอยากเตือนว่าเขายังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ เหม่ยอิงขำเบา ๆ เธอลุกจากเก้าอี้เพื่อจะออกไปหาลูกสาว แต่ในจังหวะนั้นประตูก็ถูกผลักเข้ามาซะก่อน เจินจูมาพร้อมกับเป้ขนาดพอดีตัวสีชมพูที่สะพายอยู่ที่หลัง “อาเซ่อคุยกับปะป๊าแล้วใช่ไหมคะ!” ทั้งสามคนถึงกับชะงักกับภาพนั้น เหวินเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่วนเหม่ยอิงก็ร้องถามอย่างสงสัย “มีอะไรกันคะ?” ว่าพลางก็ก้าวเท้าไปหาเจินจู ในขณะที่เหวินเจิ้งหันไปมองจงเซ่ออย่างต้องการคำตอบ “เอ่อ…คือว่า” เขาเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดี “แล้วอาจูสะพายกระเป๋ามาทำไมคะ ไม่เห็นใส่อะไรมาเลยนี่?” ถึงว่าว่าเหตุใดถึงได้เอากระเป๋ามาเร็วนัก จงเซ่อถึงกับตีหน้าผากตัวเองดังป๊าบ “อาจูหยิบชุดไม่ถึงค่ะ” หนูน้อยตอบหม่าม๊าด้วยความซื่อ “หมวยจะเอาชุดไปไหน?” คราวนี้เป็นเหวินเจิ้งที่เอ่ยถาม จังหวะนี้จงเซ่อได้แต่ยืนกุมมือก้มหน้านิ่ง “อ้าว อาเซ่อไม่ได้คุยกับป๊า…เหรอคะ” คำถามนั้นแผ่วลงเรื่อย เจินจูมองบิดาสลับกับจงเซ่อไปมา “มีอะไรที่ป๊าต้องรู้แต่ยังไม่รู้หรือเปล่า?” “…” “เดินมาหาป๊าตรงนี้” คำสั่งนั้นทำให้เจินจูจับสายกระเป๋าแน่นแล้วเดินไปหาเหวินเจิ้ง ในขณะที่เหม่ยอิงทำเพียงกอดอกมองภาพนั้นยิ้ม ๆ เหวินเจิ้งไม่มีทางเอาชนะหมวยเจินได้หรอก… “ค่อย ๆ เล่าให้ป๊าฟังได้หรือเปล่าว่าหมวยอยากได้อะไร?” คนโดนถามเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มตอบ ซึ่งในจังหวะนั้นก็ค่อย ๆ ขยับกายเข้าซบผู้เป็นบิดาที่กำลังย่อตัวคุยกับเธออยู่ด้วย “คือว่าอาจู…อาจูไม่ได้อยากกวนปะป๊านะคะ” น้ำเสียงใส ๆ ทั้งใบหน้าออดอ้อนแสดงขึ้นอีกครั้ง แม้ร่างสูงจะยังไว้มาดอย่างนิ่งขรึม ทว่าผู้เป็นภรรยารู้ดีว่าเหวินเจิ้งคงอยากฟัดเจ้าตัวน้อยมากแน่นอน “อาจูอยากไปเที่ยวกับป๊ากับม๊า…แค่นิดเดียวก็พอค่ะ นิดเดียวจริง ๆ นะคะ” เจินจูว่าพลางก็แหงนมองเขาสลับกับเหม่ยอิง “อาจูสัญญาว่าจะไม่ดื้อเลย! จะไม่แอบวาดรูปในเอกสารของปะป๊าอีกแล้ว หม่าม๊าขา อาจูสัญญาว่าจะไม่แอบกินช็อกโกแลตก่อนนอนค่ะ!” คำพูดยาวยืดทำให้คนฟังหลุดขำพรืด เหม่ยอิงถึงกับเดินมาฟัดแก้มลูกสาวอย่างทนไม่ไหว “อาจูผู้น่าสงสารของหม่าม๊า ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้ไปเที่ยวด้วยกันเลยใช่ไหมคะ” ที่จริงก็เป็นความผิดของเธอและเหวินเจิ้งเอง ปกติทั้งคู่จะพาเจินจูไปเที่ยวอยู่บ่อย ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ อาเซ่อบอกว่าป๊ากับม๊างานยุ่ง” คนที่โดนพาดพิงถึงกับถอนหายใจโล่งอก ดีนะที่เขาไม่โดนคุณหนูเจินจูโกรธ เหวินเจิ้งถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอื้อมมือไปลูบเส้นผมนุ่มของลูกสาว ดวงตานั้นก็ทอแสงอ่อนโยน “แค่นิดเดียวจะพอหรือ?” พอจบประโยคนั้น คนได้ฟังถึงกับยิ้มแป้น เจินจูได้ทีก็เข้าอ้อนบิดายิ่งกว่าเดิม “เยอะ ๆ ก็ได้ค่ะ อาจูอยากเที่ยวเยอะ ๆ เลย” ร่างสูงหัวเราะเบา ๆ เขาพยักหน้าแทนคำตอบ นั่นทำให้อาหมวยเจินร้องดีใจ ดวงตาหยีลงราวพระจันทร์เสี้ยวถอดแบบเหม่ยอิงมาเต็ม ๆ “แต่ว่าวันนี้คงไม่ได้ เอาแบบนี้ดีไหม หมวยเข้านอนให้เร็วแล้วป๊าจะปลุกพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้า” “ได้ค่ะ! หม่าม๊าช่วยกล่อมอาจูนอนได้ไหมคะ” “ใจเย็น ๆ ตัวแสบ เพิ่งตื่นไม่ใช่หรือ? ไว้เราทานมื้อเย็นให้เสร็จ แปรงฟัน แล้วค่อยเข้านอนดีไหม” คำพูดของหม่าม๊าคือประกาศิต เจินจูจึงพยักหน้ารับแบบไม่อิดออด “อาเซ่อขา งั้นเราไปเตรียมกระเป๋ากันเลยได้ไหมคะ อาจูจะเอาหมวกไปด้วย ไม่สิ…ต้องเอาตุ๊กตากระต่ายไปด้วยนะคะ!” น้ำเสียงสดใสทำให้ทั้งสามคนในห้องยิ้มตาม จงเซ่อรีบตอบรับก่อนเอื้อมมือไปจับแขนน้อย ๆ ของเจินจู “งั้นผมจะช่วยเตรียมของคุณหนูจูนะครับ” “ฝากด้วยนะจงเซ่อ” เขาค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนเดินออกจากห้อง ครั้นลับหลังลูกน้องคนสนิทและลูกสาวแล้ว เหม่ยอิงจึงหันกลับมาหาสามีอีกครั้ง “งั้นเราควรจะรีบเคลียร์งานใช่ไหมคะ” เธอถาม แต่ก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นเหวินเจิ้งปิดแฟ้มงานทั้งหมดราวกับจะไม่ทำต่อ “ไปเถอะ” เขาคว้ามือภรรยาพลางเอ่ย “เดี๋ยว คุณจะไปไหนคะ?” เหม่ยอิงร้องถาม “ซื้อของ” ยิ่งได้ฟังคำตอบก็ยิ่งสงสัย ก็ไท่เหวินเจิ้งมีครบทุกอย่างแล้ว กับอีแค่พาลูกไปเที่ยวจะต้องซื้ออะไรเพิ่มกันเล่า? “ซื้ออะไรคะ” “สายการบิน เพราะหมวยเจินชอบงอแงเวลาเดินทาง” พลันจบประโยคนั้นคนฟังถึงกับอ้าปากพะงาบ เดี๋ยวนะ เธอฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า? กับอีแค่โดนเจินจูเอ่ยปากขอร้องเป็นครั้งแรกเขาถึงกับทุ่มเงินมหาศาลขนาดนี้เลยงั้นหรือ! เหม่ยอิงกระพริบตาปริบ ๆ รู้ตัวอีกทีก็มีของเป็นชื่อไท่เจินจูเพิ่มอีกหนึ่งอย่างแล้ว เอาเข้าไป…คนที่เคยบอกว่าไม่อยากมีลูกในตอนนั้น กลายเป็นพ่อที่แทบจะยกดาวเทียมให้ลูกยังได้ในตอนนี้ ดูท่าเหม่ยอิงคงต้องปรามไม่ให้เจินจูมาอ้อนปะป๊าบ่อยนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้ทำอะไรที่มันเกินเรื่องยิ่งกว่านี้เป็นแน่ … วันต่อมาคุณหนูเจินจูก็ตื่นเช้าตามที่คุยกันไว้ หนูน้อยอาบน้ำอย่างร่าเริงและอารมณ์ดีจนสาวใช้พากันยิ้มเอ็นดู “หม่าม๊า!” เมื่ออาบน้ำเสร็จก็โดนอาหลันพันผ้าเช็ดตัวให้และพามายังห้องแต่งตัว ซึ่งเหม่ยอิงกำลังแต่งรออยู่เช่นกัน “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” คนงามทักทายลูกสาว เธอย่อตัวลงฟัดที่แก้มนุ่มจนเจินจูหัวเราะร่า “หม่าม๊าสวยจัง” ไม่วายปากหวานเอ่ยชมจนเหม่ยอิงยิ่งมันเขี้ยว ทว่าก็ไม่ได้ผิดไปนัก หลันพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย เพราะยามนี้คุณหนูเหม่ยอยู่ในชุดกี่เพ้าสีแดงเข้มลายดอกเหมย เนื้อผ้าซาตินบางเบาแนบไปกับเรือนร่างอย่างพอดี อวดสัดส่วนเว้าและโค้งทว่าก็ไม่ได้ดูโจ่งแจ้งจนน่าเกลียด คอจีนตั้งขึ้นเล็กน้อยประดับด้วยกระดุมแบบถัก ทุกอย่างลงตัวราวกับถูกตัดเพื่อเธอโดยเฉพาะ ผมสีหม่นถูกรวบขึ้นหลวม ๆ เผยให้เห็นลำคอระหงกับต่างหูหยกสีอ่อน เสริมให้นายหญิงตระกูลไท่นั้นดูทรงเสน่ห์และงดงามอย่างยิ่ง “งั้นอาจูอยากสวยเหมือนหม่าม๊าไหม” “อื้อ!” “มาค่ะ เดี๋ยวม๊าแต่งตัวให้ แล้วเราไปเซอร์ไพรส์ปะป๊ากันนะคะ” “ได้ค่ะ!” ทางเหวินเจิ้งที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขารออยู่ที่ชั้นล่างพร้อมกับสั่งงานจงเซ่อไปด้วย ร่างสูงกอดอกและพูดคุยด้วยท่าทางเคร่งขรึม กระทั่งเวลาผ่านไปพักหนึ่ง ตรงขั้นบันไดก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของลูกสาวเรียกกันดังลั่น “ปะป๊า!” เหวินเจิ้งหมุนตัวตามคำเรียก พลันก็ต้องชะงักเท้ากับภาพที่เห็น เมื่อสองแม่ลูกจับจูงมือกันเดินลงมาด้วยรอยยิ้ม เหม่ยอิงในชุดกี่เพ้าพอดีตัวอวดเรือนร่างสมส่วนน่าฟัด กลิ่นหอมประจำตัวลอยมาอ่อน ๆ ริมฝีปากแดงเรื่อตัดกับผิวขาวละเอียด ทั้งเส้นผมที่เกล้าไว้หลวม ๆ กับลำคอระหงที่ชวนให้คนมองกลืนน้ำลาย ทว่าเพียงแค่เหม่ยอิงคนเดียวก็สะกดสายตาไม่ให้เหวินเจิ้งละไปที่อื่นได้แล้ว แต่นี่ยังมีหมวยเจินที่เดินมาคู่กัน ตอนนี้เธอก็สวมกี่เพ้าแบบเดียวกับมารดา แต่เพิ่มลูกเล่นเป็นโบสีทองที่ผูกไว้ตรงเอว ยิ่งขับผิวราวไข่มุกนั้นให้ดูนุ่มนิ่มขึ้นไปอีก “ปะป๊าดูสิ อาจูแต่งตัวเหมือนหม่าม๊าด้วย” ว่าจบก็หมุนตัวโชว์อย่างภาคภูมิใจ การกระทำนั้นไม่เพียงทำให้เหวินเจิ้งที่ไปไม่เป็น แต่ทั้งสาวใช้และบอดี้การ์ดในบ้านก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน อิจฉาคุณท่านเหลือเกิน! เหม่ยอิงหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางของเจินจู เธอจูงมือลูกสาวแล้วเดินไปหาเหวินเจิ้งที่รออยู่ “อิงคิดว่าแต่งตัวเหมือนกันมันน่ารักดี คุณคิดว่าไงคะ” “น่ารักจนรักโงหัวไม่ขึ้นแล้ว” คำตอบนั้นทำคนฟังหน้าแดงก่ำ เหวินเจิ้งยกมือขึ้นลูบเอวบางภรรยาแผ่วเบา ดวงตาก็ทอดมองอย่างหวานเชื่อม ทว่าในจังหวะนั้น “ปะป๊าอุ้มหน่อย” เจินจูกลับขัดขึ้นมาจนเหม่ยอิงหลุดขำ “คอยดูเถอะ คืนนี้เฮียจะทำให้ดูว่าโงหัวไม่ขึ้นมันเป็นอย่างไร” เหวินเจิ้งพูดทิ้งท้ายก่อนจะย่อตัวอุ้มลูกสาวขึ้นมาในแขน เหม่ยอิงที่ได้ฟังก็จับใจความได้ทันที เหวินเจิ้งคนเจ้าเล่ห์ คงไม่พ้นเรื่องลามกอีกกระมัง! “อาจูติดกิ๊บตรงนี้ด้วยนะคะปะป๊า ดูสิ” “อืม น่ารัก เข้ากับหมวยมาก” “ตรงนี้ก็มีโบด้วยค่ะ!” “ป๊าเห็นแล้ว มันแน่นไปหรือเปล่า ให้ป๊าผูกให้ใหม่ไหม?” “ฮึ! ไม่แน่นค่ะ อาจูชอบ” “งั้นหรือ ถ้าชอบเดี๋ยวป๊าสั่งให้คนตัดชุดแบบนี้ให้เพิ่มแล้วกัน” เหม่ยอิงมองภาพนั้นยิ้ม ๆ ก่อนหันไปพยักหน้าให้จงเซ่อที่เตรียมรถรอไว้เรียบร้อย เจินจูยังคงอยู่ในอ้อมแขนบิดา ส่วนมืออีกข้างของเหวินเจิ้งก็เอื้อมมาจับมือภรรยาไว้แน่น หนึ่งวันของครอบครัวตระกูลไท่เริ่มขึ้นอย่างเรียบง่าย เจินจูเป็นคนเลือกสถานที่ด้วยตัวเอง ซึ่งสถานที่ส่วนใหญ่ก็เป็นอะไรที่สมวัย เช่น สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเด็กเนื่องจากเจินจูชอบวาดรูปมาก เสร็จแล้วก็ไปชมดอกไม้ สุดท้ายก็อยากไปชมพลุบนเรือกับป๊าม๊า ที่แรกคือสวนสัตว์ที่มีอควาเรียมย่อย ๆ อยู่ด้วย เหวินเจิ้งไม่ค่อยได้มาที่แบบนี้เท่าไรนัก แต่เมื่อเห็นลูกสาวตื่นเต้นก็ใจอ่อนยวบ เจินจูกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาด้านในด้วยดวงตาวาววับ ซึ่งทั้งซ้ายขวาก็มีบอดี้การ์ดของเหวินเจิ้งตามอยู่ไม่ห่าง โซนนี้เป็นสัตว์โซนที่อยู่ในร่ม นิ้วน้อย ๆ พยายามจะชี้และพูดให้พ่อแม่ฟัง “ม๊าขา นั่นแพนด้า!” “หือ น่ารักจังเลย” “หม่าม๊าถ่ายรูปได้ไหมคะ อาจูจะเอาไปอวดพี่ ๆ ที่บ้าน” เหม่ยอิงได้ยินดังนั้นก็ทำตาม สองแม่ลูกในชุดที่เหมือนกันราวกับคัดลอกวาง เหวินเจิ้งได้แต่มองภาพนั้นด้วยรอยยิ้ม ไม่เพียงแต่เขา ทว่าคนนอกก็จำต้องเหลียวมองกันหมด เพราะสองแม่ลูกในที่นี้เหมือนตุ๊กตาคู่ โดยเฉพาะเหม่ยอิงที่โดดเด่นอย่างมาก ทั้งชุดและรูปร่างงดงามจนสะดุดสายตา แต่ทางเด็กหญิงก็ไม่แพ้กัน ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก เสียงนั้นก็เจื้อยแจ้วน่าเอ็นดู “นั่นคุณแม่กับลูกเหรอ แต่งตัวเหมือนกันเลย” หญิงคนหนึ่งกระซิบถามเพื่อนข้าง ๆ “ต้องใช่แน่ ๆ ลูกสาวน่ารักมาก” “อ๊ะ แล้วนั่นสามีหรือเปล่า หล่อมากเลยนะ” ทั้งสองมองไปทางเหวินเจิ้ง พอพูดจบก็หัวเราะกลบความอิจฉาเล็กน้อย ร่างสูงยามนี้ยังมีท่าทางสุขุมเช่นเดิม ทว่าเมื่อมองภรรยาและลูกสาว ใบหน้าดุดันนั้นก็อ่อนลง “ปะป๊ามาตรงนี้สิคะ ดูนี่ ๆ!” เสียงสดใสของเจินจูเอ่ยขึ้น ก่อนที่เวลาต่อมาเหวินเจิ้งจะขยับกายเข้าไปใกล้ เขายกยิ้มแล้วพูดตอบลูกสาวเสียงทุ้มนุ่ม “โห ขนาดได้ยินตรงนี้ยังรู้เลยว่าเสียงหล่อ!” หญิงคนนั้นโอดครวญอีกครั้ง “จริงด้วย แต่เขาดูรักครอบครัวดีนะ ดูสิ…อุ้มลูกเองด้วยล่ะ เป็นผู้ชายที่ดีเสียจริง” พวกเธอมองภาพนั้นด้วยความชื่นชม เหวินเจิ้งอุ้มเจินจูไว้ในอ้อมแขน ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย เนื้อผ้าทิ้งตัวแนบไปตามร่างกายกำยำ ยิ่งเขาสวมแว่นกันแดดก็ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลาดูสุขุมเยือกเย็นขึ้น ทว่ารอยยิ้มจาง ๆ ที่ปรากฏอยู่เสมอเวลาฟังลูกสาวพูดกลับทำให้คนมองใจเหลวกันไปหมด “น่าอิจฉาทั้งแม่ทั้งลูกเลยนะเนี่ย” แม้บทสนทนาเหล่านั้นจะเบาและกลืนไปกับเสียงรอบข้าง แต่บอดี้การ์ดที่คอยคุ้มกันอยู่นั้นก็ได้ยินครบถ้วน พวกเขาได้แต่ยิ้มมุมปากพลางยืดอกภูมิใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนทั่วไปได้เห็นภาพครอบครัวไท่แล้วเผลอชื่นชมกันเปิดเผย มันเป็นคำเยินยอที่ไม่ได้ชมเพราะคำนำหน้าชื่ออย่างตระกูลไท่ ไม่ได้ชมเพราะฐานะ ไม่ได้ชมเพียงเพราะรูปลักษณ์ แต่เพราะเห็นความรักที่จับต้องได้จริงนั่นต่างหากล่ะ… … หลังจากออกจากสวนสัตว์แล้วเหวินเจิ้งก็พาภรรยาและลูกสาวแวะศาลเจ้าก่อน แม้ตลอดการวางแผนสำหรับไปเที่ยววันนี้ล้วนเป็นสถานที่สบาย ๆ แต่ศาลเจ้าแห่งนี้กลับดูเก่าแก่และเงียบสงบ รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ กลิ่นธูปควันเทียนลอยอยู่บางเบาในอากาศ “ปะป๊า ที่นี่คือที่ไหนคะ?” ดวงตากลมโตช้อนมองบิดาด้วยความสงสัย “เรียกว่าศาลเจ้า เป็นที่ที่ไว้ขอพรหากอยากให้เกิดเรื่องดี ๆ ในชีวิต” เขาตอบพลางลูบศีรษะหมวยเจินเบา ๆ เด็กหญิงได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าเข้าใจ “งั้นปะป๊ากับหม่าม๊าจะขออะไรคะ” “แน่นอนว่าต้องขอให้อาจูสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขทุกวันค่ะ” เหม่ยอิงเป็นคนตอบ เรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้อย่างดี “งั้นอาจูจะขอให้ปะป๊ากับหม่าม๊ารักกันตลอดไป!” ว่าจบก็วิ่งไปด้านในทันที เหวินเจิ้งหัวเราะในลำคอ ก่อนจะหันไปหาภรรยา “เฮียคงไม่มีอะไรให้ขออีกแล้วมั้ง” “หือ?” “ก็เฮียมีครบทุกอย่างแล้ว” มือหนาประคองเอวบางของภรรยาไว้หลวม ๆ เหม่ยอิงที่ฟังจบก็ยกยิ้มจนตาหยี “มาทั้งทีก็ไปขอพรสักหน่อยเถอะค่ะ” “มันจะไม่มากไปหรือ ได้นางฟ้ามาตั้งสองคน ป่านนี้พระเจ้าคงกำลังโกรธเฮียอยู่แล้วมั้ง” ร่างขาวถึงกับสำลักอากาศ เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ออกมาจากปากเหวินเจิ้ง เธอพยายามกลั้นยิ้มและมองสามีแบบนึกทึ่ง ในขณะที่เหวินเจิ้งเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อหลบหนีสายตาล้อเลียนของภรรยา เสียงหัวเราะของหม่าม๊าทำให้เจินจูหันไปมอง ยิ่งเห็นภาพของปะป๊าและหม่าม๊าที่เดินคู่กันแล้วนัยน์ตาก็เปล่งประกายระยิบระยับ มือน้อย ๆ ยกขึ้นประสานกันไว้พลางหลับตาปี๋ ‘คุณปู่เทพขา อาจูจะเป็นเด็กดีและไม่ดื้อ ขอให้อาจูไม่ฝันร้าย ขอให้หม่าม๊านอนกอดอาจูทุกคืน ขอให้ปะป๊าทำงานน้อยลง’ ‘แล้วก็ที่สำคัญ ขอให้ปะป๊ากับหม่าม๊ารักกันไปนาน ๆ เลยนะคะ’ ทันทีที่เจินจูลืมตาขึ้น แก้มทั้งสองก็ได้รับสัมผัสอุ่น ๆ จากเหวินเจิ้งและเหม่ยอิงพร้อมกัน คุณหนูน้อยได้รับความรักอย่างท่วมท้น เจินจูคิดกับตัวเองว่าหากโตขึ้นเธอจะเก่งให้เหมือนหม่าม๊า และจะเสียสละให้ได้เท่ากับปะป๊า “ขอพรอะไรอยู่หืม? ถึงได้ทำหน้าจริงจังนัก” เหวินเจิ้งถามเสียงอ่อน ทว่าหมวยเจินไม่ได้ตอบคำถามนั้น หนูน้อยวาดรอยยิ้มน่ารักในขณะที่เอ่ยประโยคต่อมา สายลมเบา ๆ พัดให้ใบแปะก๊วยในศาลเจ้าแห่งนี้หมุนวนเป็นภาพสวยงาม “อาจูดีใจที่มีปะป๊าเป็นปะป๊า และมีหม่าม๊าเป็นหม่าม๊านะคะ” เหวินเจิ้งกับเหม่ยอิงชะงักไปชั่วครู่ ภาพของลูกสาวที่ส่งรอยยิ้มหวานและใบหน้าใสซื่ออย่างไม่มีแสแสร้ง แล้วทั้งคู่ก็หลุดยิ้มออกมาพร้อมกัน “สรรหาคำได้เก่งนักนะ” “หม่าม๊าก็ขอบคุณที่อาจูเกิดมาเป็นลูกของป๊าและม๊านะคะ” เหวินเจิ้งอุ้มหมวยเจินมากอดเต็มอก เด็กหญิงก็เอนศีรษะซบผู้เป็นพ่อทันที ในขณะที่เหม่ยอิงลูบแผ่นหลังลูกสาวแผ่วเบา เจินจูชอบปะป๊าที่สุด มือปะป๊าใหญ่มาก ทั้งปลอดภัยและอบอุ่น เจินจูรักหม่าม๊าที่สุด เพราะหม่าม๊าไม่เคยดุ แถมกอดของหม่าม๊าก็นุ่มที่สุดด้วย และทริปหนึ่งวันกับคุณหนูไท่เจินจูก็ดำเนินต่อ หลังจากนั้นเธอได้วาดรูปหลายแผ่นเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นมีรูปครอบครัวที่เหวินเจิ้งเอ่ยปากบอกว่าจะเอาไปใส่กรอบด้วย เสร็จแล้วก็ไปชมดอกไม้ ต้นซากุระบานสะพรั่งจนหมวยเจินตาลุกวาว แถมหม่าม๊าก็สวยมากท่ามกลางดอกไม้เหล่านั้นจนมีคนมองไม่หยุด ทำเอาปะป๊าหน้านิ่งคิ้วขมวดอยู่ไม่น้อย และสุดท้ายของวันนี้ก็คือล่องเรือชมพลุ! เจินจูชอบพลุมาก ๆ แม้มันจะเสียงดังก็ตาม แต่ไม่เป็นไรเพราะปะป๊าเอามือปิดหูให้ เรียกได้ว่าวันนี้เจินจูใช้พลังงานจนหมดหลอด ในระหว่างเดินทางกลับก็หลับปุ๋ย ไม่ได้รับรู้เลยว่าโดนปะป๊าอุ้มกลับขึ้นห้องตอนไหน แต่ที่แน่ ๆ คือในตอนที่เธองัวเงียขึ้นมานั้น เจินจูรู้สึกถึงสัมผัสอุ่น ๆ ที่หน้าผากมาพร้อมเสียงทุ้มอันอ่อนโยน “ฝันดีนะลูก…ปะป๊ารักหมวยมากนะครับ” ว่าจบแล้วก็ได้อ้อมกอดพร้อมรอยจูบของป๊าและม๊าคนละทีเป็นของแถมด้วยล่ะ!ไท่เจินจู เด็กหญิงตัวน้อยผู้มีดวงตากลมโตสีน้ำตาลสวยเป็นเอกลักษณ์ เส้นผมหยักศกนิด ๆ เป็นสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกับดวงตา ใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย คิ้วเรียวโค้งได้รูปเสริมให้ใบหน้าน่ารักนั้นยิ่งละม้ายคล้ายผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ และที่สำคัญที่ไม่ว่าใครได้พบเป็นต้องชม คือผิวเนียนขาวราวไข่มุกตามความหมายชื่อของเจ้าตัว ตอนนี้เธออายุได้หกขวบแล้ว เป็นช่วงที่อยู่ในวัยเจื้อยแจ้ว ช่างสังเกต และมีคำถามมากมายเต็มหัวสมกับวัยเจ้าหนูช่างจ้อ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อยากรู้ไปเสียหมด ตั้งแต่เรื่องดินฟ้าอากาศ ไปจนถึงเรื่องที่ปะป๊ามักแอบจุ๊บหม่าม๊าในตอนที่คิดว่าไม่มีใครเห็น แม้จะซนเกินเด็กผู้หญิงไปบ้าง แต่เจินจูก็เป็นพลังงานที่ใสซื่อของเหวินเจิ้งและเหม่ยอิง รวมถึงคนอื่น ๆ เช่นหวังฝูและฉีถง หรือแม้กระทั่งสาวใช้ในบ้าน เพราะยามเสียงสดใสนั้นเอ่ยว่า ‘รักป๊าที่สุดในโลก’ ‘หม่าม๊าสวยเหมือนเจ้าหญิง’ ‘คุณยายขา อาจูอยากนอนด้วย’ ‘พี่การ์ด อาจูขอจ๊อกโกแลต’ อะไรแบบนั้นก็ทำให้ใครต่อใครพร้อมใจกันหลงรักหนูน้อยคนนี้หัวปักหัวปำ แม้กระทั่งชายฉกรรจ์แบบบอดี้การ์ดหน้าโหดของเหวินเจิ้งก็ไม่อาจสู้ได้ งานอดิเรกของคุณหน
หลังจากที่รู้ว่าเหวินเจิ้งโกรธกัน เหม่ยอิงก็ต้องล้มเลิกการไปงานเลี้ยงในคืนนี้แล้วหาวิธีง้อสามีแทน “คุณเหวินล่ะ?” เธอเอ่ยถามหลันที่เพิ่งลงมาจากชั้นสอง “กำลังพาคุณหนูจูเข้านอนค่ะ ฉันได้ยินว่าคุณหนูเหม่ยต้องไปงานเลี้ยงอีกคืนใช่ไหมคะ? งั้นให้ฉันช่วยเตรียมชุดดีไหมคะ” เหม่ยอิงส่ายศีรษะก่อนตอบ “ไม่ไปแล้วล่ะ เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ” ถึงจะงง ๆ แต่หลันก็ยอมค้อมศีรษะรับคำสั่ง เมื่อคล้อยหลังสาวใช้คนสนิทไปแล้ว เหม่ยอิงก็พรูลมหายใจและครุ่นคิดกับตัวเอง เธอควรจะเอาใจเหวินเจิ้งอย่างไรดี? คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หญิงสาวรู้ว่าหากสามีกำลังกล่อมลูกนอนก็คงจะใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในระหว่างนี้เธอก็เลยกลับเข้าห้องนอนใหญ่ ในโซนสำหรับไว้แต่งตัวนั้นยังพบชุดที่ลี่ถิงเตรียมไว้ให้สำหรับงานคืนนี้ “ดูท่าแกคงต้องกลับไปนอนในตู้อีกครั้งแล้วล่ะ” เสียงหวานว่าแกมหัวเราะเจื่อน ๆ ทว่าในตอนที่กำลังเก็บชุดนั้น เหม่ยอิงก็ต้องผงะไปเมื่อเจอของที่อยู่ด้วยกัน มันคือชุดชั้นในลูกไม้เข้าเซ็ท พร้อมกับถุงน่องสีดำ… ร่างขาวเม้มปากแน่น ปลายนิ้วเรียวยังแตะอยู่ที่ดีเทลของลูกไม้ในผ้าผืนบางนั้น ในใจก็เริ่มครุ่นคิดไปเรื่อย ก่อนดวงตาก
เทศกาลคริสต์มาสกำลังใกล้เข้ามา หมู่นี้นายหญิงเหม่ยอิงจึงมีงานล้นมือเป็นพิเศษ เธอต้องคิดทั้งคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับเทศกาล และออกแบบแพ็กเกจแบบใหม่ด้วยตัวเอง “ยังไงฉันก็อยากให้ลวดลายของกล่องมีสัญลักษณ์กวางเรนเดียร์” เสียงหวานยามนี้เคร่งขรึม เหม่ยอิงกำลังหารือกับเหล่าลูกน้องที่ทำงานร่วมกัน ทุกคนต่างช่วยเสนอไอเดียเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเธอ “ค่ะ งั้นดิฉันคิดว่า…” “ครับ ทางผมก็มีเรื่องเสนอ…” ร่างบางกวาดสายตามองตามสไลด์ที่พนักงานกำลังอธิบาย บางไอเดียก็ดูน่าสนใจ ทว่าก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องปรับปรุง การคุยงานผ่านไปอีกเป็นชั่วโมง กระทั่งได้ข้อสรุปที่ทำให้สีหน้าของนายหญิงดีขึ้น เธอจึงเอ่ยปิดวาระการประชุม ดวงตากลมโตดูเหนื่อยล้านิด ๆ จนลี่ถิงต้องเอ่ยถามอย่างห่วงใย “พักสักหน่อยดีไหมคะคุณหนูเหม่ย” คนงามส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ไว้เดี๋ยวออกแบบเสร็จแล้วค่อยพักทีเดียว” เมื่อห้ามไม่ได้ก็มีแต่จะต้องช่วยให้นายหญิงไม่กดดันตัวเองเกินไปก็เท่านั้น ลี่ถิงจึงจัดการเตรียมน้ำชาและขนมมาไว้ให้ เผื่อเหม่ยอิงอยากพักก็จะได้ทานได้ทันที “ฉันจะทำงานรอที่ด้านนอกนะคะ มีอะไรเรียกได้ตลอดเวลาเลยค่ะ” “ขอบคุ
หลายปีก่อน ว่ากันว่าในทศวรรษนี้ หากพูดถึงคนกุมอำนาจและชายผู้มีอิทธิพลที่สุดในปักกิ่ง เห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตระกูลไท่ ประมุขคนปัจจุบันนามว่าไท่เหวินเจิ้ง ชายผู้เพียบพร้อมทั้งเรื่องรูปลักษณ์ ชาติตระกูลและการศึกษาที่ทำให้สเปคผู้หญิงจีนเกินครึ่งสูงจนติดเพดาน ทว่าความสมบูรณ์แบบนั้นก็ย่อมแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่างเสมอ นั่นก็คือนิสัยอันเลื่องชื่อของเขาที่ทำให้ใครหลายคนต้องยกธงขอยอมแพ้ ความเย็นชาที่ไม่เปิดช่องให้ใครก้าวข้ามเข้ามาได้ง่าย ๆ แต่แล้วในช่วงเวลาที่หลายตระกูลชิงดีชิงเด่น พยายามขายลูกสาวกันสุดฤทธิ์ จู่ ๆ ก็เกิดการประกาศแต่งงานของไท่เหวินเจิ้งแบบสายฟ้าแลบ! ‘ว่าที่เจ้าสาวของไท่เหวินเจิ้งคือคุณหนูจากตระกูลจ้าว…จ้าวเหม่ยอิง’ ทันทีที่มีหัวข้อนั้นเผยแพร่ออกไป เสียงส่วนมากก็คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างจ้าวเหม่ยอิงน่ะหรือคือว่าที่ภรรยาของเหวินเจิ้ง? นิสัยฝั่งสามีเลื่องชื่อยังไง อีกฝั่งทางภรรยาก็ไม่แพ้กัน คุณหนูจ้าวเหม่ยอิงผู้เป็นนางร้ายแห่งยุค ไม่ว่าขยับตัวทำอะไรก็ดูจะเป็นข่าวได้เสียหมด…โดยเฉพาะข่าวไม่ดี แม้ใบหน้าของเธอคนนั้นจะงดงามจนผู้หญิงด้วยกันยังอิจฉา หรือรูปร่าง
ข่าวเรื่องทายาทตระกูลไท่ถูกพูดถึงอย่างมากในหลายสัปดาห์นี้ มีตระกูลน้อยใหญ่ส่งของขวัญมาให้มากมายจนเหล่าสาวใช้แทบจะช่วยกันรับไม่หวาดไม่ไหว เหม่ยอิงอยู่ในช่วงพักผ่อนหลังคลอด งานใด ๆ หรือธุรกิจใด ๆ ถูกเหวินเจิ้งสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งเป็นอันขาด ส่วนเขาก็เป็นคนคอยดูแลแทนทั้งหมด “ของขวัญชิ้นสุดท้ายของรอบเช้าค่ะคุณหนูเหม่ย” “ขอบคุณจ้ะ” เหม่ยอิงหันไปตอบอาหลันที่วางกล่องของขวัญชิ้นสุดท้ายเสร็จ ในอ้อมแขนคนงามกำลังประคองเจินจูพลางกล่อมนอน คุณหนูน้อยหลับตาพริ้ม ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก “เสร็จแล้วใช่ไหม นั่งเล่นในนี้ก่อนก็ได้นะ” เหม่ยอิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ที่นี่คือห้องของเจินจูที่เหวินเจิ้งสั่งทำใหม่เป็นพิเศษ เขาทุบสองห้องเข้าด้วยกัน พื้นที่กว้างขวางเต็มไปด้วยของใช้เด็กอ่อน ทั้งเตียงทั้งตู้ก็สั่งทำไว้เรียบร้อย เรียกได้ว่ามีใช้ยันอายุเจ็ดขวบเลยทีเดียว หลันนั่งลงข้างกัน เธอมองเจินจูที่ยังหลับอยู่แล้วยกยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงสดใส “คุณหนูน้อยน่ารักน่าชังมากเลยค่ะ โตมาจะต้องงามเหมือนคุณหนูเหม่ยแน่เลย” เหม่ยอิงหัวเราะนิดหน่อย “หน้าตาไม่เท่าไหร่หรอก อย่าเอานิสัยหม่าม๊าไปแล้วกันนะอาจู” เธอเอ่
ครรภ์ของคุณหนูเหม่ยตอนนี้ล่วงเลยมาถึงห้าเดือนแล้ว จากเดิมที่แค่มีน้ำมีนวล แต่ตอนนี้เหม่ยอิงกลายเป็นคุณแม่ตุ้ยนุ้ยน่าฟัด ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ก็อยากกัดแก้มกลมนั้นสักทีให้หายมันเขี้ยว อาการแพ้ท้องของเธอก็ดีขึ้นมาก เหม่ยอิงเริ่มกลับมาได้กลิ่นกุ้ยฮวาได้อีกครั้ง เธอไม่ได้รู้สึกคลื่นไส้บ่อยอีกต่อไป ยิ่งทำให้เจริญอาหารจนท้องกลมแก้มกลม นอกจากเรื่องครรภ์แล้ว หมู่นี้เหม่ยอิงก็เริ่มรู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองค่อย ๆ กลับมาทีละนิด ภาพแฟลชแบ็คของเหตุการณ์ในอดีตค่อย ๆ ทำให้เธอคุ้นเคยทีละน้อย คุณหมอบอกว่ามันอาจใช้เวลานานสักหน่อย แต่ก็มีสิทธิ์ที่เหม่ยอิงจะได้ความทรงจำทั้งหมดกลับมา ในตอนที่หวังฝูและฉีถงรู้เรื่องนี้ก็ดีใจกันอย่างมาก พวกเขาเอ่ยว่าเด็กในท้องคือพรอันวิเศษและเป็นโชคของเหม่ยอิง “พร้อมหรือยัง?” เสียงของสามีดึงให้คนที่กำลังสวมต่างหูอยู่หันไปมอง เหม่ยอิงพยักหน้ารับ “อื้อ” เหวินเจิ้งมองภาพภรรยาที่สะท้อนในกระจก เหม่ยอิงที่อายุครรภ์เพิ่มขึ้นจนหน้าท้องนูนอาจดูแปลกตาไปบ้าง เพราะปกติแล้วคุณหนูเหม่ยของเขาจะมีทรวดทรงองค์เอวที่เป็นสัดส่วนชัดเจน ทว่าตอนนี้ร่างบางกลับดูเปลี่ยนไปด้วยความโค้งเว้าของร่