บทที่หนึ่ง ไร้เดียงสา (1/2)
“เฉินเกอ[1]เด็กดี”
คนถูกเรียกว่าเด็กดีขมวดคิ้ว ฝืนใจยอมยืนนิ่งให้สาวใช้อีกสองคนช่วยกันเปลี่ยนชุดฤดูหนาวให้ตนเป็นชุดที่หก ทุกชุดล้วนมีขนสัตว์นุ่มนิ่มเย็บติดอยู่ตรงคอเสื้อ เพราะอยู่ในวัยกำลังโตจึงต้องลองสวมเครื่องนุ่งห่มที่ตัดใหม่อยู่บ่อยครั้ง ตรงไหนหลวมหรือคับแน่นจะได้แก้ไข
“ดูสิเจ้าคะ ตั้งแต่ล้มป่วยคราวก่อนคุณชายรองซูบลงไม่น้อย”
ท่านอาของโม่ซือเฉินมีนามว่าโม่กุ้ยหลัน นางฟังคนสนิทกล่าวก่อนพยักหน้า “อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ เจ้าสั่งห้องครัวให้ทำน้ำแกงบำรุงทุกมื้อ ต้องเร่งบำรุงเฉินเกอให้ดี”
ท่านอาเคยหมั้นหมายตอนอายุน้อยสองครั้ง ครั้งแรกกับคนที่รักใคร่ชอบพอทว่าไร้วาสนา คู่หมั้นจากไปก่อนวัยอันควร ครั้งที่สองเป็นสกุลโม่ขอถอนหมั้นเนื่องจากอีกฝ่ายประพฤติตัวลุ่มหลงในกาม เข้าออกหอนางโลมเสเพลเจ้าสำราญตั้งแต่อายุน้อย มองดูไร้อนาคต จากนั้นมาท่านอาก็ไม่สนใจผู้ใดอีก นางมุ่งมั่นทุ่มเทช่วยเลี้ยงดูอบรมบุตรชายสองคนของพี่ชายซึ่งกำพร้ามารดา สกุลโม่ขาดสะใภ้ โม่กุ้ยหลันต้องรับหน้าที่จัดการเรื่องจิปาถะในเรือนแทนมารดาที่แก่ตัวลงและไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นเรื่องออกเรือนจึงถูกปัดตกในท้ายที่สุด
“เมื่อวานพี่ใหญ่ของเจ้าส่งคนมาแจ้งว่าจะกลับวันนี้” นางเอ่ยขณะจัดแขนเสื้อให้หลานชาย “คิดว่าคงกลับมาทันมื้อกลางวัน”
อาหญิงจับข้อมืออวบขาวกับแก้มยุ้ยๆ ของเด็กชายวัยแปดขวบ ถึงเนื้อหนังบนกายซูบลงแต่แก้มกลับไม่ลดตาม เจ้าตัวมีสีหน้าเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายเมื่อถูกให้ลองสวมผ้าคลุมขนสัตว์อีกผืน ตอนนั้นเองมีเสียงเอะอะว่าคุณชายใหญ่กลับมาแล้ว ดวงตาเรียวยาวของโม่ซือเฉินพลันเปล่งประกาย รีบหมุนกายวิ่งปรูดไปยังประตู
โม่หรงอี้พี่ชายแท้ ๆ อายุห่างกันห้าปีของโม่ซือเฉินยืนฉีกยิ้มอยู่ตรงนั้น ดวงตาของคนแก่กว่าค่อย ๆ เบิกกว้างเมื่อเห็นน้องชาย ภาพจำครั้งสุดท้ายของอีกฝ่ายหาได้ชวนตกใจเหมือนยามนี้
“ข้าไม่อยู่แค่สามเดือน ไฉนเจ้าถึงผ่ายผอมเยี่ยงนี้”
คุณชายรองแห่งสกุลโม่เคยเป็นเด็กชายตัวอวบขาวจ้ำม่ำ ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ราวสองเดือนก่อนเขากลับล้มป่วยกะทันหัน ขณะมีไข้สูงอยู่สามคืนเต็มยังเอาแต่พึมพำถ้อยคำซึ่งไม่สามารถปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวได้ ล่วงเข้าสู่เช้าวันที่สี่ คุณชายรองทำคนแตกตื่นตกใจ ลุกจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ ตรงไปเคาะประตูเรือนผู้เป็นย่า คารวะหญิงชราเต็มพิธีจนทำเอาคนในเรือนแตกตื่นกันยกใหญ่ ต่อมายังคารวะอาหญิง กอดนางแนบแน่นหนหนึ่ง จากนั้นจึงกินโจ๊กธัญพืชและดื่มน้ำแกงบำรุงกำลังเป็นมื้อเช้าแล้วเก็บตัวอยู่ในหอบรรพชนเพื่อสวดมนต์ อ้างว่าเป็นเพราะวิญญาณเหล่าบรรพชนสกุลโม่คุ้มครองจึงหายป่วย
โม่เทียนฉินผู้เป็นบิดาต้องไปเคาะประตูเรียกด้วยตนเองตอนยามไฮ่[2]ถึงยอมกลับไปพักผ่อนที่เรือน
เวลานั้นไม่มีใครเข้าใจสายตาอาวรณ์ลึกล้ำที่เด็กชายใช้มองผู้เป็นย่า
และอา บ่าวไพร่เห็นคุณชายรองขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าซีดเซียว ล้วนเข้าใจว่า
ร่างเล็กเพิ่งฟื้นไข้หลังนอนซมจึงมีสภาพเช่นนั้น
“พี่ใหญ่” โม่ซือเฉินควบคุมเสียงตนเองให้เป็นปกติ “ท่านกลับมาแล้ว”
คนฟังพยักหน้าพลางลูบศีรษะน้องชาย เขาคลี่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันเรียงตัวสวย ขับให้รูปโฉมของหนุ่มน้อยสดใส ชวนมองเป็นพิเศษ
“พี่ใหญ่มีของเล่นมาฝากเจ้าด้วย”
กระบอกตาโม่ซือเฉินร้อนผ่าว จำต้องสะกดคลื่นอารมณ์อ่อนไหว เขาทราบว่าของเล่นที่อีกฝ่ายนำมาฝากนั้นเป็นอะไร เด็กน้อยยื่นมือสองข้างออกไปรอรับดาบไม้
“เป็นอย่างไร ชอบหรือไม่?” โม่หรงอี้หาได้เอะใจกับท่าทางเตรียมพร้อมของน้องชายสักนิด เร่งอธิบายคุณสมบัติเพราะเกรงคนรับจะปฏิเสธ “เจ้าอย่าได้คิดดูแคลนว่าเป็นเพียงของเล่นเชียว ดาบไม้เล่มนี้มีน้ำหนักค่อนข้างมาก ใช้ฝึกกำลังแขนก่อนใช้ของจริงได้ดี”
“ขอบคุณพี่ใหญ่” ปลายนิ้วโม่ซือเฉินลูบไล้ด้ามดาบไปมา สีหน้าแววตามีความจริงใจเต็มเปี่ยม “ข้าชอบมันมาก”
โม่กุ้ยหลันกับสาวใช้ที่เดินออกมารับหลานชายคนโตชะงัก แน่นอนว่าผู้ให้อย่างโม่หรงอี้เองนิ่งงันเช่นกัน
ใครในสกุลโม่ไม่รู้บ้างว่าคุณชายรองเอาแต่ใจและเรื่องมากเป็นที่หนึ่ง มักทำตัวไม่สมอายุ จุกจิก เอาใจยาก เผด็จการราวขุนนางเฒ่า หากของเล่นของฝากที่ได้รับไม่ถูกใจมักทิ้งขว้างหรือยกให้ผู้อื่นอย่างไม่รักษาน้ำใจผู้ให้
“เจ้าชอบมันจริง ๆ หรือ…” นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายใหญ่มอบของขวัญถูกใจน้องชาย เด็กชายหาได้ใส่ใจคำถาม กระตุกชายแขนเสื้อคนตรงหน้า
“พี่ใหญ่พาข้าไปลองดาบนี่เร็วเข้า” โม่หรงอี้ไม่ได้รับปากทันที เขาคารวะผู้เป็นอาทั้งยังไปคารวะท่านย่าตามธรรมเนียม อยู่ร่วมโต๊ะกินมื้อกลางวันเสียก่อนถึงพาโม่ซือเฉินไปเล่นสนุกตามคำขอ
ช่วงบ่ายวันนั้นหากผู้เป็นอาไม่มาตามหลานชายทั้งสองในสวนด้วยตนเอง เกรงว่าจะพากันเล่นเพลินจนมืดค่ำ คนเป็นพี่ชายตามอกตามใจไม่ห้ามปรามตามประสาคนใจดี
อายุที่ห่างกันห้าปีทำให้ประสบการณ์ของคุณชายใหญ่มีมากกว่า อีกทั้งปัจจุบันไปพักอยู่จวนแม่ทัพของท่านลุงเพื่อฝึกซ้อมร่วมกับเครือญาติฝั่งมารดา เรื่องราวความสนุกสนานประสาเด็กผู้ชายถึงถูกถ่ายทอดไม่รู้จบ
“ช่วงข้าไม่อยู่เจ้าต้องฝึกออกกำลังแขนให้มาก หาไม่ตอนไปฝึกที่จวนท่านลุงจะยกคันธนูไม่ขึ้น”
โม่ซือเฉินเคยบุกตะลุยสนามรบ เข่นฆ่าศัตรูด้วยอาวุธหลายชนิด ข้อนี้เขาย่อมทราบดี กระนั้นยังตอบรับคำสอนอย่างว่าง่าย
“ขอรับ ข้าจะฝึกซ้อมให้มาก”
“เมื่อเย็นข้าเห็นน้องสามป้วนเปี้ยนอยู่แถวศาลาริมสระบัว คงอยากมาเล่นกับเจ้าแต่ไม่กล้าเข้ามาเพราะข้าอยู่”
รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏบนริมฝีปากบางเพียงครู่เดียวก่อนเลือนหาย โม่หรงอี้ไม่ทันสังเกตสีหน้าน้องชาย ยังคงพูดถึงโม่เหวินหรือน้องสาม บุตรชายที่เกิดจากอนุของบิดาพวกเขาอีกสองสามคำ
“ช่างน้องสามเถิด พรุ่งนี้พี่ใหญ่พาข้าไปขี่ม้าได้หรือไม่”
“เอาสิ”
สองพี่น้องนอนกลิ้งไปบนฟูก สนทนาจนดึกดื่นกระทั่งโม่หรงอี้หลับไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้า
เด็กน้อยค่อย ๆ ลืมตา คลานลงจากเตียงทางฝั่งปลายเท้า ช่วยขยับและเหน็บผ้าห่มไม่ให้ความเย็นกล้ำกรายคนกำลังฝันดี นัยน์ตาดำขลับทอดสายตา จ้องมองร่างของโม่หรงอี้อยู่เนิ่นนานหลายอึดใจ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าพี่ชายซึ่งเกิดจากมารดาเดียวกันต้องประสบพบเจอเรื่องร้ายจนไม่อาจเดินเหินด้วยขาสองข้าง จากเด็กหนุ่มรูปงาม อนาคตยาวไกล ถูกวางตัวสืบทอดตำแหน่งโหวซื่อจื่อ[3]กลายเป็นผู้พิการ ท้ายสุดโม่หรงอี้จะจากไปด้วยอาการตรอมใจ
“ข้าจะปกป้องท่านให้ดี”
เทียนไขบนเชิงเทียนถูกดับ เด็กชายเปิดและปิดบานประตูห้องด้วยความระมัดระวัง
ตั้งแต่ฟื้นจากอาการป่วยโม่ซือเฉินกลายเป็นคนชอบนอนลำพัง จากเคยมีสาวใช้นอนเฝ้าหน้าเตียงเขาได้ขออาหญิงนอนคนเดียว คืนนี้เองไม่มีข้อยกเว้น เขาเลือกไม่นอนค้างเรือนพี่ชายเพราะเกรงว่าตนอาจเผลอละเมอกล่าวบางสิ่งซึ่งไม่สมควรออกมายามอยู่ในห้วงนิทรา
“หวังหย่ง กลับเรือน”
คนสนิทผงกศีรษะ เตรียมยกโคมเดินนำ ทว่ามีบางอย่างยื่นมาตรงหน้าเสียก่อน
“พี่ใหญ่ซื้อมาฝาก นี่แบ่งให้เจ้า”
น้ำตาลกวนหลายชิ้นในห่อกระดาษไขดูสวยงาม ต่อให้อายุมากกว่าหนึ่งปีทั้งยังถูกอบรมให้สำรวมต่อหน้าเจ้านายก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เมื่อได้ขนมย่อมดีใจเป็นธรรมดา
โม่ซือเฉินแหงนมองท้องฟ้ายามขณะหวังหย่งเก็บน้ำตาลกวนใส่สาบเสื้อพลางเอ่ยขอบคุณซ้ำหลายหน
ดวงดาวพร่างพราวตระการตา ไร้หมู่เมฆบดบัง
ใบหน้า น้ำเสียง เหตุการณ์นับไม่ถ้วนไหลทวนสู่ความทรงจำ เด่นชัดราวกับไม่ใช่เพียงภาพมายาสะเปะสะปะอันเกิดจากพิษไข้ เวลาสองเดือนก่อนโม่หรงอี้กลับมาเขาได้พิสูจน์แล้วว่าทั้งหมดหาใช่ความฝัน หลายสิ่งเป็นไปตามนั้นไม่ผิดเพี้ยน เพียงแค่เขาไม่สามารถระบุได้ว่าตนฝันเห็นอนาคตข้างหน้าหรือเป็นวิญญาณซึ่งย้อนเวลากลับมากันแน่
หวังหย่งกระชับโคมในมือ เห็นผู้เป็นนายเอามือไพล่หลังเหม่อมองฟ้า กิริยาละม้ายคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่งจึงไม่กล้าขัด รอกระทั่งเด็กชายละสายตาแล้วถอนใจถึงเรียกเบาๆ “คุณชาย…”
“อืม ไปกันเถอะ”
สองร่างพากันเดินกลับเรือน เงาบนทางเดินค่อยๆ ห่างออกไป
ผู้ที่ดีกับตน…
ผู้ที่คิดหักหลัง…
ไม่ว่าดีหรือเลวโม่ซือเฉินจะตอบแทนและเอาคืนอย่างสาสม
- - - - - - - - - - -
เชิงอรรถ
[1] เกอ คำลงท้าย ใช้สำหรับเรียกเด็กผู้ชาย
[2] ยามไฮ่ ช่วงเวลาประมาณ 21.00-22.59 น.
[3] โหว หนึ่งในบรรดาศักดิ์ของขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์จีนสมัยโบราณ จากบรรดาศักดิ์ทั้งหมด 5 ขั้น ได้แก่ กง โหว ป๋อ จือ หนาน ทั้งหมดมีศักดิ์ต่ำกว่าบรรดาศักดิ์ หวัง หรือ อ๋อง ซึ่งมอบให้เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ส่วนซื่อจื่อคือคำเรียกผู้สืบทอดตำแหน่ง
รายชื่อลูกหลานสกุลโม่
โม่หรงอี้/ คุณชายใหญ่ เกิดจากภรรยาเอก
โม่ซือเฉิน/ คุณชายรอง เกิดจากภรรยาเอก (พระเอก)
โม่เหวิน/ คุณชายสาม เกิดจากอนุ
โม่หลิงจู/ คุณหนูโม่ เกิดจากอนุ