บริษัท
เวลา 11 : 15 น. แสงแดดที่ส่องลงกระทบผิวหนังแทบไหม้แต่กลับไม่ได้ทำให้หญิงสาวร่างบางคนหนึ่งที่เดินลงมาจากรถแท็กซี่มีอาการหงุดหงิดแม้แต่น้อย เธอเดินตรงไปที่ตึกหนึ่งด้วรอยยิ้มสดใส ในมือของเธอถือปิ่นโตขนาดเล็กสีหวานและมีกล่องขนมที่เป็นของโปรดของสามี เธอคอยเอาใจใส่คนเป็นสามี ถึงแม้ว่าเขาจะเย็นชาและไม่เคยรักเธอเลยก็ตามแต่เธอก็ยังคอยทำให้เขาเสมอมาตลอดหนึ่งปีที่แต่งงานกัน เธอคือ ลิน มาลินี ส่วนสามีของเธอคือ ภีม ภีมวัตร เขาเป็นถึงประธานบริษัทตั้งแต่ยังเด็กจนตอนนี้เขาอายุ 30 ปี บริษัทของเขาเจริญเติบโตขึ้นทุกวันเพราะความเก่งของเขา "สวัสดีค่ะ ลินมาขอพบพี่เหนือค่ะ" มาลินีเดินเข้ามาภายในตึกเธอเดินตรงไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ก่อนจะบอกพนักงานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ถึงเธอจะเป็นภรรยาของท่านประธาน เธอก็ไม่อาจขึ้นไปหาเขาโดยพละการ "สวัสดีค่ะ คุณลินรอสักครู่นะคะ" พนักงานสาวก้มหัวให้หญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร "เชิญคุณลินขึ้นไปได้เลยค่ะ ดิฉันได้แจ้งกับเลขาส่วนตัวของท่านประธานเรียบร้อยแล้วค่ะ" "ขอบคุณค่ะ" มาลินีเอ่ยขอบคุณพนักงานสาวก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟต์ด้วยความตื่นเต้น ติ้ง~ เสียงประตูลิฟต์เปิดออกหญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินออกจากลิฟท์ ด้วยความประหม่า "สวัสดีค่ะ พี่นนท์" มาลินียกมือไหว้เลขาส่วนตัวของเขาอย่างสุภาพ "สวัสดีครับ คุณลิน" นนท์พยักหน้ารับไหว้ก่อนจะเอ่ยทักทายหญิงสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "เอ่อ...ลินขอเข้าไปหาเขาได้มั้ยคะ" มาลินีเอ่ยถามด้วยความเกรงใจและประหม่าอย่างบอกไม่ถูก "ได้ครับ ตอนนี้ท่านประธานไม่มีงานด่วนครับ" นนท์เอ่ยตอบหญิงสาวทันที เขาไม่ได้แจ้งท่านประธานเพราะคิดว่าไม่จำเป็นและอีกอย่างหญิงสาวตรงหน้าก็เป็นถึงภรรยาของเขา ก๊อก ก๊อก ก๊อก "เชิญครับ" มาลินีที่ได้ยินชายหนุ่มตอบกลับมาจึงเปิดประตูทันที "ปริมมาแล้วเหรอพี่กำลังหิวอยู่พอดีเลย" ชายหนุ่มพูดขึ้นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร หญิงสาวหยุดชะงักไปทันทีเมื่อได้ยินคนเป็นสามีเรียกผู้หญิงที่เขารัก เขาไม่เคยรอเธอเลยสินะ "มาทำไม" ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าเป็นภรายาที่เขาไม่เคยให้ความสำคัญก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าความเย็นชาทันที "เอ่อ...ลินทำอาหารกลางวันมาให้ค่ะ" มาลินีฝีนยิ้มเมื่อเห็นอาการไม่พอใจของสามีที่แสดงออกมา "ใครสั่ง" ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ "เอ่อ...ไม่มีค่ะ" มาลินีส่ายหัวไปมาก่อนจะก้มหน้ามองปิ่นโตในมือด้วยความเสียใจ "กลับไปซะแล้วก็ไม่ต้องเสนอหน้ามาที่นี้อีก" หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง "พี่เหนือ~" เสียงหวานของปริมดังขึ้นหลังจากที่เธอเปิดประตูเข้ามาโดยไม่เคาะ ชายหนุ่มหันไปตามเสียงก่อนจะยิ้มออกด้วยความดีใจ หญิงสาวที่มองคนเป็นสามียิ้มหวานให้เธอคนนั้นด้วยความเจ็บปวด เธอไม่เคยได้รับรอยยิ้มและสายตาอ่อนโยนจากเขาเลยสักครั้ง "อุ้ย...ปริมขอโทษค่ะคิดว่าพี่เหนืออยู่คนเดียว" ปริมแอบสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าภรรยาของเขาก็อยู่ที่นี้ "ไม่เป็นไรครับ...เขาจะกลับแล้วไหนทำอะไรมาให้พี่บ้างเนี่ย" ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปหาปริมก่อนจะรั้งแขนเธอให้เดินไปนั่งที่โซฟาโดยไม่สนใจภรรยาที่ยืนอยู่ เขาทำเหมือนเธอเป็นธาตุอาการ "ว้าว น่ากินจังเลยครับ...อร่อยเหมือนเดิมรึเปล่าครับ" หญิงสาวมองภาพนั้นด้วยความอิจฉา น้ำเสียงและท่าทางที่เขามีต่อผู้หญิงคนนั้นชั่งต่างกับเธิโดยสิ้นเชิง หญิงสาวก้มมองปิ่นโตที่เธอตั้งใจทำมาให้เขาด้วยความเสียใจก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องทำงานเขาอย่างเงียบๆ เพราะต่อให้อยู่ต่อก็ไร้ตัวตนสำหรับเขาอยู่ดี "พี่เหนือทำไมพี่ถึงไม่ทานของภรรยาของพี่ละค่ะ" ปริมหันไปมองหญิงสาวที่เดินออกจากห้องด้วยความสงสารเธอรู้ว่าเขาทั้งสองแต่งงานเพราะความต้องการของผู้ใหญ่และเธอมองออกว่าหญิงสาวมีใจให้ชายหนุ่มแต่ความเย็นชาที่ทิศเหนือมีต่อหญิงสาวก็พอจะดูออกว่าชายหนุ่มไม่มีใจให้หญิงสาวเลย "ก็พี่ไม่อยากกินของเขาพี่อยากกินของปริมมากกว่า" ชายหนุ่มเอ่ยตอบกลับทันที "จริงๆ แล้วปริมไม่ควรมาหาพี่เลย...พี่แต่งงานแล้วปริมไม่อยากถูกมองว่าเป็นมือที่สามของใคร" ปริมพูดขึ้นแผ่วเบาก่อนจะก้มหน้ารู้สึกผิด “ไม่มีใครแทนปริมได้… พี่ไม่สนว่าคนอื่นจะมองยังไง พี่แค่อยากให้ปริมอยู่ข้างพี่ก็พอ” ปริมเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจไหววูบอย่างห้ามไม่อยู่ คำพูดของเขาทำให้ความรู้สึกผิดที่มีเมื่อครู่จางหายไป เหลือเพียงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่เต็มอก เธอรู้ดีว่าความสัมพันธ์นี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่แววตาที่เขามองเธอ...มันยากเกินกว่าจะหันหลังกลับ ด้านลิน หญิงสาวก็เดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เธอยังไม่อยากกลับคอนโดที่เป็นเรือนหอของเธอและเขา เพราะแม้จะกลับไป…ก็มีแต่ความเงียบเหงาที่กรีดแทงใจ หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวใต้ร่มไม้ ก่อนจะเปิดฝาปิ่นโตอย่างแผ่วเบา กลิ่นแกงจืดเต้าหู้หมูสับลอยออกมาอุ่น ๆ น้ำซุปใสที่เธอใช้เวลาต้มเกือบชั่วโมง พร้อมหมูสับที่ปั้นเป็นก้อนกลมพอดีคำ…ทุกอย่างเธอทำด้วยความตั้งใจ เธอจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยพูดติดปากว่า 'ชอบกินแกงจืดของแม่' เพียงแค่นึกถึง เธอก็เผลอยิ้มบางๆ แต่รอยยิ้มนั้นก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงความขมในใจอาหารตรงหน้าไม่ได้ถูกทำขึ้นเพื่อเธอเอง แต่เพื่อคนที่ไม่เคยแม้แต่จะมอง "หึ ตั้งใจทำมาให้เขาสุดท้ายก็ต้องมานั่งกินเอง" หญิงสาวพึมพำออกมาแผ่วเบาก่อนจะตักแกงจืดและข้าวเข้าปากอย่างเงียบๆ ผ่านไปสักพักหญิงสาวก็ทานข้าวจนหมด เธอนั่งมองแม่น้ำที่ไหลผ่านไปเรื่อยเปื่อย ครืน ครืน ครืน เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้นหญิงสาวหยิบออกมาจากกระเป๋าทันที -คุณแม่- "ฮัลโหลค่ะ คุณแม่" หญิงสาวรับสายคุณแม่ของสามีด้วยความตื่นเต้น "หนูลินทำอะไรอยู่จ๊ะ" คุณวนิดาเอ่ยถามลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "ลินเพิ่งทานข้าวเสร็จค่ะ...คุณแม่สบายดีมั้ยคะ" หญิงสาวเอ่ยตอบแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเธอพยายามทำตัวให้สดใสแม่ในใจจะแตกสลาย "แม่สบายดีจ๊ะลูก..วันนี้ช่วยพี่เขามากินข้าวที่บ้านได้มั้ยลูก" "เอ่อ...ลินตอบไม่ได้นะคะ...ช่วงนี้พี่เหนือยุ่งๆ ด้วยค่ะ" หญิงสาวนิ่งอึ้งไปก่อนจะหาอ้างไป เธอไม่กล้าบอกเขาหรอก วันนี้เขาจะกลับมากินข้าวกับเธอรึเปล่ายังไม่รู้เลย "หรอลูก...ไม่เป็นไรคอยมาตอนพี่เขาว่างก็แล้วกันนะ แม่วางแล้วน้า~" "ค่ะ...คุณแม่" หญิงสาวถอดหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไป คอนโด เวลา 19 : 25 น. ภายในห้องครัวที่มีกลิ่นอาหารลอยอบอวลไปทั่วห้อง หญิงสาวตั้งใจทำอย่างสุดความสามารถ ถึงแม้ว่าคนเป็นสามีไม่เคยได้ลิ้มรสมันเลยสักครั้งแต่เธอก็ยังหวังว่าเขาจะทานมันสักครั้ง เธอมองอาหารมากมายที่จัดเตรียมเสร็จสิ้นอยู่บนโต๊ะอาหารก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย “คืนนี้…ะี่จะกลับมากินสักคำไหมนะ” หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว ในใจเธอเจ็บหน่วงเมื่อคิดถึงบ่ายวันนี้ ภาพที่เขายิ้มให้ผู้หญิงอีกคนยังชัดเจนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังคงลุกขึ้นมาทำอาหารไว้รอเขาเหมือนทุกวัน เหมือนคนโง่ที่ยังฝากความหวังไว้กับสิ่งที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง เสียงนาฬิกาแขวนบนผนังดังติ๊กต่อก…แต่ละวินาทีเหมือนกรีดลึกลงกลางอก มาลินีนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่า เธอวางมือลงบนโต๊ะ จ้องมองถ้วยแกงจืดที่ยังมีควันกรุ่น น้ำตาเอ่อขึ้นคลอเบ้าโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบกะพริบตาถี่ ๆ ไม่ยอมให้มันไหลออกมา “ขอให้สักวัน…พี่จะลองชิมฝีมือลินสักครั้ง” เสียงพร่ากระซิบเบาราวกับอ้อนวอนความเงียบ ห้องครัวที่สว่างไสวดูอบอุ่น แต่กลับหนาวเย็นจับใจ เพราะเก้าอี้อีกฝั่งยังคงไร้เงาของเขา…เหมือนทุกคืนที่ผ่านมา แกร๊ก เวลา 22 : 35 น. เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงหญิงสาวก็ยังนั่งรอคนเป็นสามีอยู่ที่โต๊ะอาหารแต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงเปิดประตูหญิงสาวรีบลุกขึ้นเดินไปหาเขาทันที "พี่เหนือ..." หญิงสาวเอ่ยเรียกชื่อเขาแต่ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเพราะเขาเดินผ่านหน้าเธอไปเหมือนเธอเป็นอากาศ หญิงสาวมองตามหลังเขาที่เดินหายเข้าไปภายในห้องนอนของเชาก่อนจะก้มหน้าลงพร้อมกับยิ้มสมเพชในตัวเอง หญิงสาวเดินกลับมาที่โต๊ะอาหารเธอมองอาหารพวกนั้นด้วยสายตาเศร้าหมองก่อนจะนั่งลงทานกินคนเดียวเงียบๆ แต่สายตาของเธอยังค่อยมองไปที่ประตูห้องนอนของเขาเพื่อหวังว่าเขาจะออกมาทานกับเธอแต่ก็ไม่เห็นเจ้าของห้องออกมาเลย หญิงสาวนั่งทานไปสักพักก่อนจะลุกขึ้นหยิบจานไปล้างจานข้าวของเธอหมดไปแค่ครึ่งจานแต่เธอทานต่อไปไม่ไหวแล้วเพราะมันจุกมันปวดหนึบไปทั้งหัวใจ "ฝันดีนะคะ" หลังจากเธอเก็บข้าวภายในห้องครัวเสร็จเธอหันหน้าไปมองประตูห้องเขาก่อนจะพึมพำออกมาแผ่วเบา เมื่อหญิงสาวพูดจบเธอหันหลังเดินไปยังห้องนอนของตัวเองที่มีขนาดเล็กกว่าของห้องนอนของชายหนุ่ม เธอและเขาแยกห้องนอนกันมาตั้งแต่แต่งงานกันมาหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเวลาที่ล่วงเลยไปเหมือนไม่มีความหมายอะไรสำหรับมาลินี ทุกเช้าเธอยังคงตื่นขึ้นมาเจอเพียงความเชยชาของผู้เป็นสามี ทุกคืนยังคงจบลงด้วยน้ำตาที่ซึมเปื้อนผ้าห่ม ทุกวันเหมือนถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหอที่ไร้ความอบอุ่น แม้จะมีสถานะว่าเป็น 'ภรรยา' แต่ในความจริงแล้วเธอไม่ต่างอะไรกับแขกที่ไร้ตัวตนเจ็ดวันที่ผ่านมา เขาแทบไม่พูดกับเธอเลยสักคำ วันหยุดเขาแทบจะไม่อยู่บ้านเลยเพราะเขาจะพาคนรักของเขาเที่ยวไปดินเนอร์ ทิ้งให้เธออยู่กับความเงียบที่กัดกินใจทีละน้อย เธอคิดว่าตัวเองคงชินแล้ว แต่ความเจ็บปวดบางอย่างต่อให้ซ้ำซากแค่ไหนก็ไม่เคยเบาบางลง มีแต่ทับถมจนหนาแน่นขึ้นทุกทีและวันนี้เธอไม่สามารถหลบหนีได้เหมือนทุกวันเพราะครอบครัวของเขานัดให้เธอและเขาไปรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้านเสียงล้อรถบดไปบนถนนราวกับเคลื่อนช้าเป็นพิเศษในความรู้สึกของเธอ หญิงสาวนั่งเบียดชิดประตูอีกฝั่ง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้าครอบคลุมทั่วทั้งรถ ร่างสูงที่นั่งข้างเธอขับรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาจับจ้องถนนตรงหน้าโดยไม่เหลือบมามองแม้แต่น้อยหญิงสาวบีบมือตัวเองแน่น พยายามควบคุมแรงสั่นของปลายนิ้ว วันนี้เธอต้องทำเหมือนท
เรือนหอ รุ่งเช้าแสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามาในห้องนอน แสงอบอุ่นที่ควรปลุกให้วันใหม่สดใสกลับทำให้หญิงสาวบนเตียงนอนรู้สึกหนักอึ้งในอกมากกว่าเดิมเปลือกตาบางค่อย ๆ ลืมขึ้น ดวงตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้ทั้งคืนยังคงแดงเรื่อ เธอขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า ราวกับร่างกายปฏิเสธที่จะเริ่มต้นวันใหม่"อื้อ…ปวดหัวจัง" เสียงบ่นเบาหวิวเล็ดลอดจากริมฝีปาก เธอฝืนยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่แรงบีบที่ขมับทั้งสองข้างก็ทำให้ร่างเล็กต้องล้มตัวลงไปบนหมอนอีกครั้ง อาการไมเกรนกำเริบขึ้นทุกครั้งที่ความเครียดกดทับ และเมื่อคืน…เธอก็ร้องไห้จนไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนเวลาผ่านไปหลายนาที เธอค่อย ๆ พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้ง แม้ขาจะสั่นไหวเล็กน้อยก็ตาม มือเรียวเอื้อมไปเปิดลิ้นชักข้างเตียงด้วยความหวังว่าจะเจอยาที่ช่วยบรรเทา แต่เมื่อค้นหาไปทั่วก็พบเพียงความว่างเปล่า“หมดเหรอเนี่ย…” เธอพึมพำเสียงแผ่ว สายตาไหวระริก น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงข้างเตียง มือกำขอบลิ้นชักแน่นเล็กน้อยเพื่อสะกดความเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจที่รุมเร้าหญิงสาวพยายามฝืนกายลุกขึ้น แม้ศีรษะยั
บริษัท เวลา 18 : 00 น.ติ้ง~ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นบนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารสูงท่วมหัว ชายหนุ่มเหลือบตามองหน้าจอเพียงแวบเดียว ก่อนจัถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วกลับไปสนใจเอกสารตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็นข้อความนั้นมาก่อน หน้าจอโทรศัพท์ยังคงสว่างโชว์ข้อความจากภรรยาในนามลิน : 'เย็นนี้พี่เหนือกลับมาทานข้าวไหมคะ'นิ้วเรียวยาวของเขาเลื่อนปิดหน้าจอโดยไม่แม้แต่จะพิมพ์ตอบสั้นๆ ความเย็นชาของเขาถูกกลืนหายไปในเสียงพลิกกระดาษและเสียงเคาะแป้นพิมพ์ ด้านลินคอนโดเรือนหอเวลา 18:05 น.หญิงสาวถือโทรศัพท์ไว้ในมือ มองหน้าจอที่ยังไร้การตอบกลับ แสงไฟในห้องครัวส่องกระทบโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อย อาหารร้อนๆ หลายอย่างวางรอเจ้าของบ้านอีกคนที่อาจจะไม่กลับมา“คงประชุมอยู่ล่ะมั้ง…” หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม ทั้งที่ความเงียบกำลังกัดกินหัวใจ เธอปลอบตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกตะหลิวตักแกงใส่ถ้วยเพิ่มเหมือนจะให้โต๊ะอาหารดูเต็มขึ้น เผื่อว่าเขากลับมาแล้วจะเห็นความตั้งใจของเธอสักครั้งเวลาผ่านไปหลายนาที…โทรศัพท์ยังคงเงียบงัน ไม่มีข้อความตอบกลับ ไม่มีสายเรียกเข้า มีเพียงเสียงนาฬิกาที่ดังเป็นจัง
รุ่งเช้าแสงแดดอ่อนส่องผ่านผ้าม่านผืนบาง ทำให้ลินตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย เธอพลิกตัวไปมาบนเตียง แต่ใจกลับไม่อาจสงบลงได้และเช่นเคย…เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยความว่างเปล่าที่หัวใจ"ฮื่อ…สายแล้ว" เธอพึมพำ พลางลุกขึ้นจากเตียง ลมหายใจร้อนๆ ของเธอเหมือนสะท้อนความเหนื่อยล้าในหัวใจ เดินเข้าห้องน้ำโดยไม่พูดอะไร แม้ในใจจะอยากให้ทุกวันมีรอยยิ้มจากเขา…แต่ก็รู้ว่ามันคงไม่เกิดขึ้นผ่านไปสักพักหญิงสาวก็ออกมาจากห้องนอนเธอเดินไปที่ห้องครัวทันที เธอจะเตรียมกาแฟและมื้อเย็นไว้รอสามีทุกวันแต่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่เคยจะสนใจอาหารที่เตรียมตั้งใจเตรียมไว้ให้เขาแต่เธอก็ยังคงทำหน้าที่ภรรยาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเตรียมอาหารเช้าเธอเดินไปที่ห้องนอนของเขา เธอเคาะก่อนจะเปิดเข้าไปเมืีอเข้ามาก็ไม่เห็นที่เตียงนอนแล้วแต่ได้ยินสายน้ำไหลออกมาจากห้องน้ำ เธอเห็นแบบนั้นก็รีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของชายหนุ่มเธอจะค่อยเตรียมชุดทำงานไว้ให้เขาทุกเช้าแต่ก็ยังดีที่เขาใส่ชุดที่เธอเตรียมไว้ให้ หญิงสาวหยิบสูทสีเทาเข้มออกมาจากตู้ มือเล็กลูบเบาไปบนเนื้อผ้าเรียบหรู ราวกับกำลังสัมผัสเจ้าของชุดโดยที่เขาไม่เคยยินยอมให้สัมผัส เธอเลือกเนคไทสีดำเข้มเข
บริษัทเวลา 11 : 15 น.แสงแดดที่ส่องลงกระทบผิวหนังแทบไหม้แต่กลับไม่ได้ทำให้หญิงสาวร่างบางคนหนึ่งที่เดินลงมาจากรถแท็กซี่มีอาการหงุดหงิดแม้แต่น้อย เธอเดินตรงไปที่ตึกหนึ่งด้วรอยยิ้มสดใส ในมือของเธอถือปิ่นโตขนาดเล็กสีหวานและมีกล่องขนมที่เป็นของโปรดของสามี เธอคอยเอาใจใส่คนเป็นสามี ถึงแม้ว่าเขาจะเย็นชาและไม่เคยรักเธอเลยก็ตามแต่เธอก็ยังคอยทำให้เขาเสมอมาตลอดหนึ่งปีที่แต่งงานกัน เธอคือ ลิน มาลินี ส่วนสามีของเธอคือ ภีม ภีมวัตร เขาเป็นถึงประธานบริษัทตั้งแต่ยังเด็กจนตอนนี้เขาอายุ 30 ปี บริษัทของเขาเจริญเติบโตขึ้นทุกวันเพราะความเก่งของเขา "สวัสดีค่ะ ลินมาขอพบพี่เหนือค่ะ" มาลินีเดินเข้ามาภายในตึกเธอเดินตรงไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ก่อนจะบอกพนักงานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ถึงเธอจะเป็นภรรยาของท่านประธาน เธอก็ไม่อาจขึ้นไปหาเขาโดยพละการ "สวัสดีค่ะ คุณลินรอสักครู่นะคะ" พนักงานสาวก้มหัวให้หญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร"เชิญคุณลินขึ้นไปได้เลยค่ะ ดิฉันได้แจ้งกับเลขาส่วนตัวของท่านประธานเรียบร้อยแล้วค่ะ" "ขอบคุณค่ะ" มาลินีเอ่ยขอบคุณพนักงานสาวก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟต์ด้วยความตื่นเต้นติ้ง~เส