รุ่งเช้า
แสงแดดอ่อนส่องผ่านผ้าม่านผืนบาง ทำให้ลินตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย เธอพลิกตัวไปมาบนเตียง แต่ใจกลับไม่อาจสงบลงได้และเช่นเคย…เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยความว่างเปล่าที่หัวใจ "ฮื่อ…สายแล้ว" เธอพึมพำ พลางลุกขึ้นจากเตียง ลมหายใจร้อนๆ ของเธอเหมือนสะท้อนความเหนื่อยล้าในหัวใจ เดินเข้าห้องน้ำโดยไม่พูดอะไร แม้ในใจจะอยากให้ทุกวันมีรอยยิ้มจากเขา…แต่ก็รู้ว่ามันคงไม่เกิดขึ้น ผ่านไปสักพักหญิงสาวก็ออกมาจากห้องนอนเธอเดินไปที่ห้องครัวทันที เธอจะเตรียมกาแฟและมื้อเย็นไว้รอสามีทุกวันแต่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่เคยจะสนใจอาหารที่เตรียมตั้งใจเตรียมไว้ให้เขาแต่เธอก็ยังคงทำหน้าที่ภรรยาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเตรียมอาหารเช้าเธอเดินไปที่ห้องนอนของเขา เธอเคาะก่อนจะเปิดเข้าไปเมืีอเข้ามาก็ไม่เห็นที่เตียงนอนแล้วแต่ได้ยินสายน้ำไหลออกมาจากห้องน้ำ เธอเห็นแบบนั้นก็รีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของชายหนุ่มเธอจะค่อยเตรียมชุดทำงานไว้ให้เขาทุกเช้าแต่ก็ยังดีที่เขาใส่ชุดที่เธอเตรียมไว้ให้ หญิงสาวหยิบสูทสีเทาเข้มออกมาจากตู้ มือเล็กลูบเบาไปบนเนื้อผ้าเรียบหรู ราวกับกำลังสัมผัสเจ้าของชุดโดยที่เขาไม่เคยยินยอมให้สัมผัส เธอเลือกเนคไทสีดำเข้มเข้าคู่กัน เพราะรู้ว่าเวลาเขาสวม มันยิ่งขับความสง่างามที่เธอแอบภาคภูมิใจอยู่เงียบๆ แม้จะรู้ดีว่าความตั้งใจเล็กน้อยนี้ไม่เคยมีความหมายสำหรับเขาเลย เมื่อสิ้นเสียงประตูปิดชายหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จออกมาจากห้องน้ำ เมื่อชายหนุ่มเดินออกมาก็เจอกับชุดที่ภรรยาในนามเตรียมไว้ให้ เขามองชุดด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะหยิบมันไปใส่ทันที ครืน ครืน ครืน ชายหนุ่มที่กำลังในนาฬิกาหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตนมีสายเข้า เขาหยิบขึ้นมาดูก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นคนรักของเขาที่โทรมา "ครับ" ชายหนุ่มรับสายพร้อมกับพูดกับคนในสายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 'พี่เหนือเที่ยงอยากทานอะไรคะ' "อะไรก็ได้ครับ ถ้าเป็นฝีมือของปริม…พี่ทานได้ทั้งนั้น" น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนของเขาถูกส่งผ่านปลายสาย อบอุ่นเสียจนแม้แต่ใบหน้าที่เคร่งขรึมก็ยังมีรอยยิ้มผ่อนคลายติดขึ้นมา 'โอเคค่ะ..พี่ไปทำงานรึยังคะ' "พี่กำลังแต่งตัวครับ" 'งั้นปริมไม่กวนแล้วค่ะเดี๋ยวไปทำงานสาย' "ครับ" ชายหนุ่มกดวางสายก่อนจะส่ายหัวไปมากับความน่ารักของคนรักเขาอยากใช้ชีวิตคู่กับมาโดยตลอดแต่ไม่เป็นดั่งหวังเมื่อเขาต้องมาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักเมื่อนึกถึงแบบนั้นก็ยิ่งโมโห "ค่ะ...คุณพ่อคือช่วงนี้พี่เหนือยุ่งๆ นะคะคงไม่ได้ไปทานข้าวที่บ้านหรอกค่ะ" ชายหนุ่มเปิดประตูออกเล็กน้อยมาเขาก็ได้ยินเสียงภรรยาในนามกำลังโทรศัพท์กับพ่อของเธออยู่ "ลินสบายดีค่ะ…พี่เหนือเขาดูแลลินดีมากเลยค่ะ" น้ำเสียงสดใสที่เอ่ยออกไปไม่สอดคล้องกับสายตาที่กำลังสั่นไหว หญิงสาวกำโทรศัพท์แน่น ราวกับจะใช้มันบังความจริงที่แหลกสลายภายในหัวใจ "ค่ะ...ช่วงบ่ายลินเข้าไปหานะคะ" ชายหนุ่มที่เห็นว่าหญิงสาววางสายจากผู้เป็นพ่อเขาก็เปิดประตูออกมา หญิงสาวที่เห็นชายหนุ่มออกมาจากห้องนอนแล้วเธอวางโทรศัพท์ลงก่อนจะหยิบแก้วกาแฟเดินไปดักหน้าชายหนุ่มที่กำลังเดินไปที่ประตู "พี่เหนือดื่มกาแฟก่อนมั้ยคะ...กำลังร้อนๆ เลย" หญิงสาวยื่นแก้วกาแฟให้เขาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานพร้อมกับรอยยิ้มสดใส "ไม่ล่ะ..ฉันรีบ" ชายหนุ่มตอบกลับเสียงห้วนสั้นทำลายความหวังนั้นในพริบตา เขาเดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองแก้วกาแฟในมือเธอ มือเล็กที่กำแก้วไว้สั่นระริก ความร้อนของกาแฟไม่อาจกลบความเย็นชาที่แผ่ซ่านอยู่ในหัวใจได้เลย เธอมองตามหลังชายหนุ่มจนประตูปิดลงด้วยสายเศร้าหมอง "เมื่อไหร่พี่จะเห็นความตั้งใจของลินบ้าง" หญิงสาวก้มแก้วกาแฟก่อนจะพึมพำออกมาแผ่วเบา หญิงสาวเดินกลับมาที่โต๊ะก่อนจะนั่งทานมื้อเช้าคนเงียบๆ อย่างทุกวัน แกร๊ก หลังจากเธอทานข้าวเช้าเสร็จเธอก็เดินเข้าไปทำความสะอาดภายในห้องนอนของเขาอย่างทุกครั้งและสิ่งที่ทำให้เธอต้องหยุดมองทุกครั้งคือรูปคู่ของเขาและรักที่ตั้งอยู่หัวเตียงนอนเธอได้แต่อิจฉาหญิงสาวรูปที่ได้ทั้งหัวใจและความอ่อนโยนจากเขา หญิงสาวสลัดความคิดที่ทำให้เธอเศร้าใจก่อนจะลงมือทำความสะอาดของห้องนอนให้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะไม่เห็นที่ทำให้เธอปวดใจ ปึก "เอ๊ะ.." หญิงสาวหยิบกางเกงกองอยู่ข้าตะกร้าใส่ตะกร้าใหม่ให้เรียบร้อยแต่พอเธอใส่ลงในตะกร้าก็เกิดเสียงดังขึ้น เธอจึงหยิบมันขึ้นมาดูว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋ารึเปล่า เธอล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงมือของเธอจับถูกกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กจึงหยิบออกมาดูว่ามันคืออะไร "สวยจัง" หญิงสาวเปิดกล่องสีเหลี่ยมที่มีขนาดเล็กออกก็พบกับกำไลเพชรหรูหรา งดงามเปล่งประกาย เธอมองกำไลข้อมือด้วยความอิจฉาเมื่อนึกถึงว่าเขาคงจะซื้อให้คนรักของเขาเพราะตลอดที่เธอแต่งงานกับเขามาเธอไม่เคยได้รับของแบบนี้จากเขาเลยสักชิ้น "เก็บดีกว่าคงไม่ใช่ของเราแน่เลย" หญิงสาวพูดออกมาแผ่วก่อนจะปิดฝากล่องวางไว้ที่โต๊ะหัวเตียง เธอหันหลังก้าวออกจากห้องแล้วแต่ก็ยังหันกลับไปมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยทั้งความอิจฉาและความเจ็บปวดที่ไม่เคยเอื้อมถึง คฤหาสน์ เวลา 11:45 น. หญิงสาวก้าวลงจากรถแท็กซี่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ราวกับอยากเก็บแรงใจกลับมาใช้ใหม่ ก่อนจะเดินเข้าไปยังบ้านของตนเอง ในมือเต็มไปด้วยผลไม้และของกินมากมายที่ตั้งใจซื้อมาฝากผู้เป็นพ่อ “สวัสดีค่ะ คุณพ่อ” ลินวางข้าวของลงก่อนจะยกมือไหว้ผู้เป็นพ่ออย่างนอบน้อม “ซื้ออะไรมาตั้งเยอะแยะลูก” คุณอภิสิทธิ์เอ่ยถามพลางหันไปมองถุงมากมายที่แม่บ้านช่วยกันถือเข้าไปข้างใน ก่อนจะเดินเข้ามาหาลูกสาว “ผลไม้ที่คุณพ่อชอบค่ะ…ลินคิดถึงคุณพ่อจังเลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มบาง ก้าวเข้าไปกอดคุณพ่อด้วยท่าทางออดอ้อนก่อนจะพากันเดินไปนั่งที่โซฟา “โตจนแต่งงานแล้วนะ ยังทำตัวอ้อนพ่อเหมือนเด็กอยู่เลย” คุณอภิสิทธิ์ลูบศีรษะลูกสาวแผ่วเบา ความเอ็นดูยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน หญิงสาวไม่ได้ตอบอะไร เพียงเอนกายลงหนุนตักผู้เป็นพอเหมือนตอนยังเป็นเด็กน้อย ดวงตาหลุบต่ำคล้ายเก็บซ่อนน้ำตา เพราะที่นี่เธอยังรู้สึกว่าได้รับความรักเสมอ ต่างจากบ้านที่เพิ่งจากมา ที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าและเย็นชา "ลินลูกเป็นอะไรรึเปล่าบอกพ่อได้มั้ย" คุณอภิสิทธิ์เอ่ยถามลูกสาวที่ช่วงนี้เขาสังเกตได้ว่าลูกสาวของตนไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน "...." หญิงสาวมองคุณพ่อก่อนจะส่ายหัวไปมาโดยพยายามหลบสายตาคุณพ่อเพื่อที่เขาจะได้ไม่จับสังเกตได้ว่าเธอกำลังมีเรื่องทุกข์ใจ "ตอนนี้ลูกไม่อย่าบอกพ่อก็ไม่เป็นไร...แต่ถ้าวันหนึ่งลูกพร้อมพ่อก็พร้อมจะรับฟังลูกได้เสมอ เรายังกันอยู่สองคนพ่อลูกแล้วนะ" หญิงสาวที่ได้ยินคุณพ่อพูดแบบนั้นก็รีบลุกขึ้นนั่งก่อนจะกอดคุณพ่อ เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ได้รับจากอ้อมโอบนี้ "เอาแล้วไม่คุยเรื่องนี้แล้ว...กินส้มดีกว่าเดี๋ยวลินแกะให้นะคะ" หญิงสาวยิ้มหวานให้คุณพ่อก่อนจะหยิบส้มขึ้นแกะ ที่แม่บ้านเพิ่งยกมาให้ คุณอภิสิทธิ์แอบมองลูกสาวเงียบๆ ในใจเต็มไปด้วยความห่วง เขารู้แน่ว่าลูกมีเรื่องบางอย่างเก็บซ่อนอยู่ เพียงแต่ยังไม่พร้อมจะเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง คฤหาสน์ เวลา 16:19 น. แสงสุดท้ายของยามเย็นคล้อยต่ำ สีส้มหม่นเจือปนความเงียบสงบทอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่ หญิงสาวนั่งอยู่เคียงข้างคุณพ่อบนโซฟา ความเงียบระหว่างสองพ่อลูกไม่ได้อึดอัด หากเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่เธอพยายามจะซึมซับให้มากที่สุด เธอยกผลไม้ใส่จานให้คุณพ่อ พลางคุยเรื่องเล็กน้อยทั่วๆ ไป รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าที่ซ่อนความเหนื่อยล้าไว้ลึกในหัวใจ และยิ่งค่ำลงเท่าไร หญิงสาวก็ยิ่งรู้ว่าช่วงเวลาที่เธออยากยืดออกไป…ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว “เย็นมากแล้วนะลูก กลับคอนโดเถอะ เดี๋ยวพี่เหนือเขาจะรอ” น้ำเสียงคุณอภิสิทธิ์อ่อนโยน แต่แฝงความกังวลอยู่ในที หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางที่ดูเหมือนจะสดใส หากแววตากลับหม่นเศร้า 'รอเหรอคงไม่มีวันนั้นหรอก' เธอคิดในใจ “ขออยู่กับคุณพ่ออีกนิดได้มั้ยคะ…ลินยังไม่อยากกลับเลย” คุณอภิสิทธิ์หัวเราะเบาๆ พลางยื่นมือมาลูบเส้นผมลูกสาวอย่างแผ่วเบา “พ่อก็อยากให้อยู่เหมือนกัน แต่ลูกก็ต้องไปทำหน้าที่ของตัวเองนะ” หัวใจเธอเจ็บหน่วงเหมือนถูกดึงรั้ง หญิงสาวซุกตัวกอดคุณพ่อแน่น ราวกับต้องการความอบอุ่นสุดท้ายเพื่อพกพากลับไปยังที่ซึ่งเธอเรียกว่า บ้าน แต่กลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า “ลินรักคุณพ่อนะคะ” เสียงเธอสั่นไหว น้ำตารื้นขึ้นมาจนต้องกะพริบกลืนมันกลับไป “พ่อก็รักลินที่สุด อย่าลืมสิ ถ้ามีเรื่องอะไร พ่ออยู่ตรงนี้เสมอ” คุณอภิสิทธิ์กอดตอบลูกสาวสุดที่รักแน่นขึ้น “งั้น…ลินกลับก่อนนะคะ คุณพ่อพักผ่อนเยอะๆ นะคะ” เธอพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ ผละออกมา ฝืนยิ้มแม้ดวงตาแดงก่ำหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปเวลาที่ล่วงเลยไปเหมือนไม่มีความหมายอะไรสำหรับมาลินี ทุกเช้าเธอยังคงตื่นขึ้นมาเจอเพียงความเชยชาของผู้เป็นสามี ทุกคืนยังคงจบลงด้วยน้ำตาที่ซึมเปื้อนผ้าห่ม ทุกวันเหมือนถูกบังคับให้ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหอที่ไร้ความอบอุ่น แม้จะมีสถานะว่าเป็น 'ภรรยา' แต่ในความจริงแล้วเธอไม่ต่างอะไรกับแขกที่ไร้ตัวตนเจ็ดวันที่ผ่านมา เขาแทบไม่พูดกับเธอเลยสักคำ วันหยุดเขาแทบจะไม่อยู่บ้านเลยเพราะเขาจะพาคนรักของเขาเที่ยวไปดินเนอร์ ทิ้งให้เธออยู่กับความเงียบที่กัดกินใจทีละน้อย เธอคิดว่าตัวเองคงชินแล้ว แต่ความเจ็บปวดบางอย่างต่อให้ซ้ำซากแค่ไหนก็ไม่เคยเบาบางลง มีแต่ทับถมจนหนาแน่นขึ้นทุกทีและวันนี้เธอไม่สามารถหลบหนีได้เหมือนทุกวันเพราะครอบครัวของเขานัดให้เธอและเขาไปรับประทานอาหารร่วมกันที่บ้านเสียงล้อรถบดไปบนถนนราวกับเคลื่อนช้าเป็นพิเศษในความรู้สึกของเธอ หญิงสาวนั่งเบียดชิดประตูอีกฝั่ง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้าครอบคลุมทั่วทั้งรถ ร่างสูงที่นั่งข้างเธอขับรถด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาจับจ้องถนนตรงหน้าโดยไม่เหลือบมามองแม้แต่น้อยหญิงสาวบีบมือตัวเองแน่น พยายามควบคุมแรงสั่นของปลายนิ้ว วันนี้เธอต้องทำเหมือนท
เรือนหอ รุ่งเช้าแสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามาในห้องนอน แสงอบอุ่นที่ควรปลุกให้วันใหม่สดใสกลับทำให้หญิงสาวบนเตียงนอนรู้สึกหนักอึ้งในอกมากกว่าเดิมเปลือกตาบางค่อย ๆ ลืมขึ้น ดวงตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้ทั้งคืนยังคงแดงเรื่อ เธอขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งด้วยความอ่อนล้า ราวกับร่างกายปฏิเสธที่จะเริ่มต้นวันใหม่"อื้อ…ปวดหัวจัง" เสียงบ่นเบาหวิวเล็ดลอดจากริมฝีปาก เธอฝืนยันกายลุกขึ้นนั่ง แต่แรงบีบที่ขมับทั้งสองข้างก็ทำให้ร่างเล็กต้องล้มตัวลงไปบนหมอนอีกครั้ง อาการไมเกรนกำเริบขึ้นทุกครั้งที่ความเครียดกดทับ และเมื่อคืน…เธอก็ร้องไห้จนไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหนเวลาผ่านไปหลายนาที เธอค่อย ๆ พยายามฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นอีกครั้ง แม้ขาจะสั่นไหวเล็กน้อยก็ตาม มือเรียวเอื้อมไปเปิดลิ้นชักข้างเตียงด้วยความหวังว่าจะเจอยาที่ช่วยบรรเทา แต่เมื่อค้นหาไปทั่วก็พบเพียงความว่างเปล่า“หมดเหรอเนี่ย…” เธอพึมพำเสียงแผ่ว สายตาไหวระริก น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงข้างเตียง มือกำขอบลิ้นชักแน่นเล็กน้อยเพื่อสะกดความเจ็บปวดทั้งกายทั้งใจที่รุมเร้าหญิงสาวพยายามฝืนกายลุกขึ้น แม้ศีรษะยั
บริษัท เวลา 18 : 00 น.ติ้ง~ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นบนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารสูงท่วมหัว ชายหนุ่มเหลือบตามองหน้าจอเพียงแวบเดียว ก่อนจัถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วกลับไปสนใจเอกสารตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็นข้อความนั้นมาก่อน หน้าจอโทรศัพท์ยังคงสว่างโชว์ข้อความจากภรรยาในนามลิน : 'เย็นนี้พี่เหนือกลับมาทานข้าวไหมคะ'นิ้วเรียวยาวของเขาเลื่อนปิดหน้าจอโดยไม่แม้แต่จะพิมพ์ตอบสั้นๆ ความเย็นชาของเขาถูกกลืนหายไปในเสียงพลิกกระดาษและเสียงเคาะแป้นพิมพ์ ด้านลินคอนโดเรือนหอเวลา 18:05 น.หญิงสาวถือโทรศัพท์ไว้ในมือ มองหน้าจอที่ยังไร้การตอบกลับ แสงไฟในห้องครัวส่องกระทบโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อย อาหารร้อนๆ หลายอย่างวางรอเจ้าของบ้านอีกคนที่อาจจะไม่กลับมา“คงประชุมอยู่ล่ะมั้ง…” หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม ทั้งที่ความเงียบกำลังกัดกินหัวใจ เธอปลอบตัวเองเบาๆ ก่อนจะยกตะหลิวตักแกงใส่ถ้วยเพิ่มเหมือนจะให้โต๊ะอาหารดูเต็มขึ้น เผื่อว่าเขากลับมาแล้วจะเห็นความตั้งใจของเธอสักครั้งเวลาผ่านไปหลายนาที…โทรศัพท์ยังคงเงียบงัน ไม่มีข้อความตอบกลับ ไม่มีสายเรียกเข้า มีเพียงเสียงนาฬิกาที่ดังเป็นจัง
รุ่งเช้าแสงแดดอ่อนส่องผ่านผ้าม่านผืนบาง ทำให้ลินตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย เธอพลิกตัวไปมาบนเตียง แต่ใจกลับไม่อาจสงบลงได้และเช่นเคย…เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยความว่างเปล่าที่หัวใจ"ฮื่อ…สายแล้ว" เธอพึมพำ พลางลุกขึ้นจากเตียง ลมหายใจร้อนๆ ของเธอเหมือนสะท้อนความเหนื่อยล้าในหัวใจ เดินเข้าห้องน้ำโดยไม่พูดอะไร แม้ในใจจะอยากให้ทุกวันมีรอยยิ้มจากเขา…แต่ก็รู้ว่ามันคงไม่เกิดขึ้นผ่านไปสักพักหญิงสาวก็ออกมาจากห้องนอนเธอเดินไปที่ห้องครัวทันที เธอจะเตรียมกาแฟและมื้อเย็นไว้รอสามีทุกวันแต่รู้อยู่แล้วว่าเขาไม่เคยจะสนใจอาหารที่เตรียมตั้งใจเตรียมไว้ให้เขาแต่เธอก็ยังคงทำหน้าที่ภรรยาอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเตรียมอาหารเช้าเธอเดินไปที่ห้องนอนของเขา เธอเคาะก่อนจะเปิดเข้าไปเมืีอเข้ามาก็ไม่เห็นที่เตียงนอนแล้วแต่ได้ยินสายน้ำไหลออกมาจากห้องน้ำ เธอเห็นแบบนั้นก็รีบเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของชายหนุ่มเธอจะค่อยเตรียมชุดทำงานไว้ให้เขาทุกเช้าแต่ก็ยังดีที่เขาใส่ชุดที่เธอเตรียมไว้ให้ หญิงสาวหยิบสูทสีเทาเข้มออกมาจากตู้ มือเล็กลูบเบาไปบนเนื้อผ้าเรียบหรู ราวกับกำลังสัมผัสเจ้าของชุดโดยที่เขาไม่เคยยินยอมให้สัมผัส เธอเลือกเนคไทสีดำเข้มเข
บริษัทเวลา 11 : 15 น.แสงแดดที่ส่องลงกระทบผิวหนังแทบไหม้แต่กลับไม่ได้ทำให้หญิงสาวร่างบางคนหนึ่งที่เดินลงมาจากรถแท็กซี่มีอาการหงุดหงิดแม้แต่น้อย เธอเดินตรงไปที่ตึกหนึ่งด้วรอยยิ้มสดใส ในมือของเธอถือปิ่นโตขนาดเล็กสีหวานและมีกล่องขนมที่เป็นของโปรดของสามี เธอคอยเอาใจใส่คนเป็นสามี ถึงแม้ว่าเขาจะเย็นชาและไม่เคยรักเธอเลยก็ตามแต่เธอก็ยังคอยทำให้เขาเสมอมาตลอดหนึ่งปีที่แต่งงานกัน เธอคือ ลิน มาลินี ส่วนสามีของเธอคือ ภีม ภีมวัตร เขาเป็นถึงประธานบริษัทตั้งแต่ยังเด็กจนตอนนี้เขาอายุ 30 ปี บริษัทของเขาเจริญเติบโตขึ้นทุกวันเพราะความเก่งของเขา "สวัสดีค่ะ ลินมาขอพบพี่เหนือค่ะ" มาลินีเดินเข้ามาภายในตึกเธอเดินตรงไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ก่อนจะบอกพนักงานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ถึงเธอจะเป็นภรรยาของท่านประธาน เธอก็ไม่อาจขึ้นไปหาเขาโดยพละการ "สวัสดีค่ะ คุณลินรอสักครู่นะคะ" พนักงานสาวก้มหัวให้หญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร"เชิญคุณลินขึ้นไปได้เลยค่ะ ดิฉันได้แจ้งกับเลขาส่วนตัวของท่านประธานเรียบร้อยแล้วค่ะ" "ขอบคุณค่ะ" มาลินีเอ่ยขอบคุณพนักงานสาวก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟต์ด้วยความตื่นเต้นติ้ง~เส