เข้าสู่ระบบอู๋ชิงชิงมีความคิดของนาง เฉินเซียงหรงเองก็มีความคิดของนางเช่นกัน
หลังเห็นว่าคุณหนูสี่สกุลอู๋เริ่มเอาจริงแล้ว เซียงหรงก็เริ่มวางค่ายกลทั้งเพื่อกางกั้นชิงพื้นที่และตัดแบ่งพื้นที่ที่คุณหนูสี่สกุลอู๋คิดครอบครอง พบช่องโหว่ตรงไหนก็วางหมากตรงนั้น วิธีการเล่นหมากแบบนี้ของเซียงหรงเคยถูกท่านอาจารย์ผู้เฒ่าของนางตำหนิอยู่บ่อยครั้งว่า “น่าหงุดหงิด” ทว่านางสนุกจะเล่นของนางเช่นนี้ อีกทั้งนางยังไม่เห็นว่าการเล่นหมากอย่างไร้กระบวนเช่นนี้จะเสียหายที่ตรงไหน นางมั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้วนางจะไม่พ่ายแพ้ให้คู่มือก็แล้วกัน สิ่งบ่งชี้ก็คือหมากสามตัวที่นางเพิ่งวางลงไปทั้งสามครั้งล่าสุดนี่ล่ะ!
“อ๊ะ...” หลังจากเพิ่งตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น อู๋ชิงชิงถึงกับตกใจจนเก็บกิริยาไม่อยู่ “ตั้งแต่...ตั้งแต่เมื่อไหร่...”
นางเอ่ยคล้ายรำพึงกับตนเองมากกว่า เซียงหรงจึงไม่ได้ตอบอะไร นึกไม่ถึงว่าคุณหนูสี่สกุลอู๋ที่เป็นคู่มือกลับไม่ยอมปล่อยผ่าน
อู๋ชิงชิงเงยหน้าขึ้นสบตาเซียงหรง ถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าจริงจัง “คุณหนูสาม แต่แรกนั่น...นับตั้งแต่แรก เป็นแผนการของเจ้าใช่หรือไม่ เจ้าแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาตบตาข้า จากนั้นก็แกล้งวางหมากตามตำราหมากระดับกลาง เมื่อถูกข้าดักทางก็ทำทีเป็นวางหมากส่งเดช ทว่าที่จริงแล้ว หมากทุกตัวของเจ้ากลับคิดคำนวณไว้ล่วงหน้าทั้งหมด...”
อู๋ชิงชิงพลันฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้
“ไม่...ไม่ถูก ที่แท้แล้ว ในการประชันหมากกระดานนี้คุณหนูสามกลับออมมือ ไม่ได้เอาจริงตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือ...เพราะเหตุใด? เพราะข้าให้ท่านเป็นผู้วางหมากก่อนงั้นหรือ? เพราะท่านไม่ยอมรับความได้เปรียบที่มอบให้ จึงเลือกออมมือให้ครึ่งส่วน หรือว่า...หรือว่าในสายตาคุณหนูสาม ข้า อู๋ชิงชิง ก็ยังฝีมือไม่เข้าขั้น ไม่คู่ควรให้บุตรสาวของเซียงเหลียนจวิ้นจูอย่างท่านต้องเอาจริง!”
อู๋ชิงชิงยิ่งกล่าววาจาก็ยิ่งเสียงดังยิ่งขึ้น ยามนี้ทั่วทั้งลานประชันขันแข่งเงียบสงัด ผู้คนในลานประลองฝีมือและเหล่าผู้ชมทั้งหมดจึงได้ยินคำพูดของนางชัดถนัดหูทุกถ้อยคำ
ทุกผู้ทุกคนต่างตกใจ ขมวดคิ้วมุ่น
คุณหนูสี่สกุลอู๋นับว่าฝีมือหมากไม่ด้อย กล่าวได้ว่านับเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในสถานศึกษาแห่งนี้ ถึงกับทำให้คุณหนูสี่สกุลอู๋เสียกิริยาได้เช่นนี้ หรือว่าบุตรสาวที่ไม่อาจออกหน้าออกตาของจวนเฉินกั๋วกง ที่แท้แล้วเก่งกาจปราดเปรื่อง เป็นยอดเมธีซ่อนคม?
เซียงหรงได้ยินคำพูดของอู๋ชิงชิงแล้วตกใจจนไม่รู้จะกล่าวอย่างไร สุดท้ายจึงได้แต่ยิ้มให้อย่างจนใจ กล่าวเสียงนุ่ม
“เซียงหรงเพียงอยากให้หมากกระดานนี้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นธรรมมากที่สุด ในตอนแรกจึงได้วางหมากเสียเปล่าเช่นนั้น ทว่าต่อมาเมื่อรู้แล้วว่าคุณหนูสี่เป็นสตรีที่ฉลาดปราดเปรื่อง เชี่ยวชาญด้านการเดินหมากเป็นอย่างยิ่ง เซียงหรงจึงเล่นหมากกระดานนี้อย่างเอาจริงเอาจัง ทว่าวิธีการเดินหมากของเซียงหรงนั้นก็เป็นดังที่คุณหนูสี่ได้เห็น...ช่างสะเปะสะปะไร้กระบวนเป็นอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าหมากที่ไร้กระบวน จะใช้ประชันขันแข่งมิได้ไม่ใช่หรือ”
อู๋ชิงชิงคิดตามแล้วก็พบว่าสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง
เป็นนางที่ประเมินผู้อื่นและสิ่งต่างๆ ฉาบฉวยเกินไป
แม้วรยุทธไร้กระบวนท่า แต่หากประสิทธิภาพสูงส่งก็นับว่าเป็นยอดฝีมือเช่นกัน ถูกแล้ว คุณหนูจากจวนเฉินกั๋วกงผู้นี้กล่าวโดยสัตย์ทุกคำ!
“คุณหนูสาม...จบหมากกระดานนี้ข้ายังอยากประมือกับคุณหนูสามอีกสักหลายๆ กระดาน ไม่ว่าหมากกระดานนี้จะจบลงอย่างไร ไม่ว่าฝ่ายใดจะพ่ายแพ้หรือชนะ หวังว่าคุณหนูสามจะยินดีรับไมตรีจากผู้หลงใหลในกลหมากเช่นข้า ยอมรับข้าเป็นสหายร่วมเดินหมากผู้หนึ่ง”
เฉินเซียงหรงยิ้มละไม ทั้งดีใจและโล่งใจในคราวเดียวกัน
ทีแรกนางนึกว่าจะพลาดพลั้งทำคุณหนูสี่สกุลอู๋โกรธเคืองเสียแล้ว
“ข้าที่ไหนจะไม่ยินดี” เซียงหรงผายมือไปยังกระดาน “ทว่าก่อนอื่นจะอย่างไรหมากกระดานนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป คุณหนูอู๋ เชิญ”
อู๋ชิงชิงค้อมศีรษะเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แย้มรอยยิ้มงดงามเจิดจ้า วางหมากลงบนจุดซึ่งแน่ใจได้ว่าจะช่วยให้สามารถช่วงชิงพื้นที่ในกระดานคืนจากสตรีตรงหน้าได้ไม่มากก็น้อย
เซียงหรงเห็นแล้วพลันรู้สึกตื่นเต้นในอก “สมกับที่เป็นคุณหนูอู๋ แผนการของข้าถูกท่านมองออกเสียแล้ว” เซียงหรงวางหมากลงบนกระดานด้วยรอยยิ้มสุขสันต์
อู๋ชิงชิงเห็นดังนั้นก็รีบวางหมากดักทางด้วยความตื่นเต้นสนุกสนานไม่แพ้กัน ไปๆ มาๆ คุณหนูทั้งสองก็ผลัดกันวางหมากรวดเร็วจนผู้คนมองตามไม่ทันสักนิด
ยามนี้ผู้ชมทั้งหมดรวมทั้งเหล่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิล้วนเทความสนใจทั้งหมดมายังการประลองหมากระหว่างพวกนางทั้งสอง ทว่าตัวเอกทั้งสองของลานประชันขันแข่งในยามนี้กลับสนุกสนานเพลิดเพลินเพราะกระดานหมากตรงหน้า ไม่ใส่ใจสภาพแวดล้อมรอบกายสักนิด
สนุก! หมากกระดานนี้ช่างสนุก สนุกมากจริงๆ!
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







