เขามองนางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น หากแต่ในแววตากลับมีประกายหยอกเย้าพราวระยับ
"ท่าน...เหตุใดจึงมาที่นี่เล่า" เซียงหรงเอ่ยถาม น้ำเสียงมีแววประหลาดใจปนระแวดระวัง
“ถามแปลก คู่หมั้นเช่นข้าจะมาเยี่ยมว่าที่ภรรยาไม่ได้หรือ" หลี่จือหลินเดินเข้ามาใกล้จนเซียงหรงต้องรีบวางตำราไว้ข้างตัว ดวงตาจ้องมองเขม็งเจือแววหวาดระแวงเล็กน้อย
"ผู้อื่นรู้ก็แล้วกันว่าท่านไม่ได้มาเยี่ยมธรรมดาแน่ๆ" นางพึมพำ
หลี่จือหลินยกมุมปาก รอยยิ้มกว้างขึ้น
"หรงเอ๋อร์ของข้าช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ถูกต้องอย่างที่เจ้าคิด ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า...แน่นอนว่าเป็นเรื่องสำคัญ"
“อ้อ...” ข้าก็มีเรื่องสำคัญจะพูดเหมือนกัน ข้าจะบวชชี!
เฉินเซียงหรงไม่แม้แต่จะปั้นหน้ายิ้มให้บุรุษนิสัยไม่ดีบางคนที่บังคับตีตราจอง ชิงประกาศเรื่องการหมั้นหมายไร้สาระระหว่างเขากับนางเอาตามใจเช่นนั้น
ทั้งอย่างนั้น นางก็ยังอดอยากรู้ไม่ได้
"เป็นเรื่องสำคัญเพียงใด?"
"สำคัญพอที่จะเปลี่ยนชีวิตเจ้าไปทั้งชีวิต"
เฉินเซียงหรงจ้องลึกลงในดวงตาพยัฆค์คู่คม สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ซ่านจากตัวเขา แม้ว่าท่าทางของบุรุษตรงหน้านางจะดูซื่อตรงเพียงใด แต่นัยน์ตาเจ้าเล่ห์แบบนั้น...ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องมีอุบายซุ่มซ่อนอยู่ในใจเป็นแน่
"เช่นนั้นก็พูดมาสิ แต่ขอบอกไว้ก่อน ไม่ว่าท่านคิดจะทำหรือให้ข้าทำอะไร หากเป็นเรื่องที่ข้าไม่เห็นด้วย ข้าจะไม่คล้อยตามท่านแน่"
หลี่จือหลินหัวเราะเบาๆ ให้ท่าทีนั้น
เสียงทุ้มลึกของเขายิ่งทำให้เซียงหรงรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้าหมาป่าที่กำลังหยอกเย้าเหยื่อของมันก่อนขย้ำกลืนกินทั้งตัว
ส่วนเหยื่อของเขาน่ะหรือ...ก็นางนี่ยังไงเล่า!
"เจ้าลองฟังดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ"
เขานั่งลงบนม้านั่งด้านข้าง ท่ามกลางกลีบเหมยที่ร่วงหล่น เซียงหรงไม่รู้ตัวเลยว่าเพียงแค่การปรากฏตัวของเขาในที่แห่งนี้ ก็เหมือนเป็นการเริ่มต้นสงครามแห่งจิตใจที่นางอาจไม่มีวันชนะ
นี่แค่เริ่มต้น ยังไม่ทันเข้าสู่บทสนทนา นางก็รู้ตัวแล้วว่าความสงบสุขของวันนี้อาจกลายเป็นอดีตไปแล้ว...
หลี่จือหลินนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สลักลายเรียบง่าย ภายใต้ศาลาน้อยกลางสวนในลานเรือนของเซียงหรงอันสงบเงียบ ทว่าในบรรยากาศที่ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว เจ้าของเรือนกลับรู้สึกเหมือนถูกต้อนให้จนมุมราวกับลูกกวางน้อยเผชิญหน้ากับราชสีห์ตัวเขื่อง
"หรงเอ๋อร์...เจ้าจะปฏิเสธข้าได้จริงหรือ?"
เมื่อครู่นี้ หลังจากกล่าวถ้อยคำง่ายๆ ว่า “เร่งหมั้นหมายอย่างเป็นทางการเถิด” หลี่จือหลินก็ต้องหัวเราะเบาๆ เมื่อสตรีตรงหน้าตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ไม่เอาด้วยหรอก” อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด
"เหตุใดข้าต้องยอมรับการหมั้นหมายไร้สาระเช่นนั้นด้วย?"
กับแค่ถังหูลู่ราคาห้าอีแปะ!
เฉินเซียงหรงเชิดหน้าขึ้น แม้ในใจจะสั่นคลอนเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงสงบเยือกเย็น "ข้าไม่คิดว่าการแต่งงานจะเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของข้า แม้ว่าท่านจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม หรือแม้ว่าเราสองคนจะถูกจับคู่เป็นคู่หมายกันมาตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ว่าเพียงแค่การเป็นคู่หมายก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคู่จริงเสียหน่อย"
“เด็กน้อย...” หลี่จือหลินลากเสียงยาว “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าวันนั้น ในสวนชิงหลิง เราสองคนก็ได้ประกาศความผูกพันอันลึกซึ้งของพวกเราต่อหน้าไท่โฮ่ว หวงโฮ่ว และผู้คนในเมืองหลวงทั้งหมดแล้ว...ชื่อเสียงชั่วชีวิตของเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับการแต่งงานครั้งนี้”
“ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร ตั้งแต่เจ็ดขวบปี ข้าก็ถูกผู้คนรุมประณามก่นว่า ถูกทำลายชื่อเสียงว่าแปดเปื้อนราคีคาว...แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร ข้าก็ยังอยู่มาได้จนถึงป่านนี้ ซ้ำยังใช้ชีวิตมาได้เป็นอย่างดี...ดีมากๆ ” นางยักไหล่เล็กน้อย “หากข้าเป็นคนคิดมากเสียหน่อย คงแขวนคอตัวเองหนีความอายตั้งแต่วันแรกที่ถูกประนามแล้วกระมัง”
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนแบบไหนกันแน่ เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความโกรธ “เจ้าจะพลีกายให้คนที่ไม่รู้จัก ไม่สนว่าจะเป็นใคร เพียงเพราะต้องการหนีการแต่งงานงั้นหรือ?!”เซียงหรงกัดริมฝีปาก นางหลบสายตาเขา รู้ดีว่าคำพูดของตนเองอาจจะดูไร้ยางอาย แต่ในสถานการณ์นี้ นางมองไม่เห็นทางเลือกอื่นใดอย่างน้อยคนผู้นี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เดินทางร่วมกันมานานหลายวัน เขาไม่เคยฉวยโอกาส ไม่ใช้กำลังบังคับข่มเหง ย่อมจะต้องเป็นผู้มีคุณธรรมและมีเกียรติมีศักดิ์ศรีผู้หนึ่ง ซ้ำยังเป็นสหายกับผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือพี่ซู่ซิน ของนางเอาไว้ ในตอนที่นางจากไป นางย่อมสามารถฝากฝังพี่ซู่ซินของนางให้พวกเขาดูแล อีกทั้ง…“ชีวิตนี้ของข้าเป็นท่านช่วยไว้ถึงสองครั้ง” หากนับเรื่องที่เขายังเป็นคนช่วยพานางที่เหนื่อยจนหมดสติไปพักและรักษาให้ในกระท่อมร้าง ก็ไม่ใช่เพียงสองครั้ง แต่เป็นสาม...ตอนนั้น หากไม่ได้เขามาช่วยไว้ นางอาจกลายเป็นซากร่างเย็นชืดไร้ลมหายใจที่ฝูงสัตว์รุมกัดแทะไปนานแล้วก็เป็นได้ไม่แน่ว่ายามนี้อาจไม่เหลือแม้กระทั่งเศษกระดูกแล้วด้วยซ้ำ
ไม่ทันที่นางจะได้ขยับตัว ตงหยางที่รัดท่อนแขนตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ก้มลงดูดที่แผลของตนเอง ดูดแล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ดูด แล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ทำวนซ้ำอยู่อย่างนี้จนเลือดที่ดูดออกมาจากปากแผลเป็นสีแดงสด ถึงยอมหยุดมือเขาปล่อยให้สายรัดเอวที่รัดท่อนแขนอยู่ค่อยๆ คลายออกเอง กระถดเข้าไปนั่งชิดผนัง ก่อนถอนหายใจออกมาตงหยางเหลียวมองซากงูตัวนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดสายตามองเฉินเซียงหรง เอ่ยอย่างหัวเสีย“ดีเหลือเกิน ข้าบอกให้อยู่นิ่งๆ เจ้าก็รีบขยับตัวทันที!”“ก็ข้านึกว่า...” นางละอายเกินกว่าจะกล้าพูดต่อเขาช่วยชีวิตนาง...อีกเป็นครั้งที่สอง นางกลับคิดว่าเขาจะฉวยโอกาสใช้กำลังข่มเหงรังแก ทำเรื่องที่นาง...ไม่ยินยอม...“คุณหนูเฉิน ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าไม่มีความจำเป็นต้องบังคับข่มเหงสตรีที่ไม่เต็มใจ” เขาแค่นหัวเราะ ก่อนกล่าวต่อไป “ทว่าเป็นเช่นนี้จะดีหรือ หากร่วมทางกันไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งข้าเกิดดื่มสุราเมามายจนขาดสติเล่า เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าจะยังกล้าติดตาม ‘รับใช้’ ข้าอีกหรือ ข้าว่าเจ้ายอมกลั
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเซียงหรงเองยังอดตกใจไม่ได้คืนหนึ่ง ขณะหลบฝนอยู่ในถ้ำเล็กๆ ตงหยางจุดไฟให้แสงสว่าง อากาศในถ้ำเย็นชื้น และเสื้อผ้าของพวกเขาเปียกชื้นจนต้องพาดไว้ใกล้กองไฟ เซียงหรงนั่งกอดเข่าห่างออกไปเล็กน้อย ดวงตาของนางมองเปลวไฟนิ่งราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์กระทั่งตงหยางมองนางด้วยสายตาขบขัน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเคยคิดบ้างไหม ว่าแม้จะหนีการแต่งงาน แต่ในที่สุดเจ้าก็ต้องหาสามีอยู่ดี” เขาเอ่ยเสียงเบาเช่นเดิม “คุณหนูเฉิน เจ้ากล่าวว่าต้องการแน่ใจว่าจะสามารถส่งจดหมายถึงมือบิดาและพี่ชายที่อยู่ต่างเมือง จะทำเพียงส่งจดหมายบอกล่าวเล่าความ ไม่พบพวกเขา เจ้ามีพ่อและพี่ชายกลับคิดหนีหน้า เจ้าบอกว่ามีคู่หมั้น แต่ก็ไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับคู่หมั้นผู้นั้น กลับมุ่งหมายออกบวชละกิเลสเสียมากกว่า ช่างไม่รู้เสียเลยว่าต่อให้เจ้าจะโกนผมโกนคิ้ว บุรุษที่ได้พบเห็นเจ้า พูดคุยกับเจ้า พวกเขาไหนเลยจะลืมเลือนเจ้าได้ลง เจ้าคิดว่าหากได้ออกบวช จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้จริงหรือ” เซียงหรงเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าของนางเย็นชา “ก็ยังดีกว่ามีสามี&rdquo
ยามบ่ายคล้อย แดดร่ม ลมตก เป็นช่วงเวลาที่เซียงหรงรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวที่สุดในช่วงวัน พื้นอารมณ์จึงค่อนข้างดีทว่าอารมณ์ดีๆ ของนาง กลับถูกทำลายลงด้วยเสียงเฉยชาที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ“เป็นเช่นไรล่ะ คุณหนูเฉิน ใช้ชีวิตแบบนี้สนุกดีหรือไม่ ไม่ต้องมีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมีที่นอนอุ่นๆ ไม่ต้องกินอาหารดีๆ ใช้สองขาเดินทาง ร่อนเร่พเนจร ค่ำไหนนอนนั่น” นั่นประไร! นางรู้ว่าเขาคงอดทนไม่ว่านางได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหรอก ยิ่งในตอนที่นางกำลังมี ‘ช่วงเวลาดีๆ’ รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่!เดินทางร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ นางแทบจะนับเวลาที่เขาจะเอ่ยปากเหน็บแนมนางได้แม่นยำแล้ว!นางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาขุ่นมัว “ไม่เห็นจะลำบากอะไร” นางตอบเสียงเรียบพลางรวบชายเสื้อที่ปลิวเพราะลมเย็นตงหยางหันมามองนาง หัวคิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย “อ้อ เช่นนี้ไม่ลำบาก” เขาหัวเราะในลำคอ “เจ้านี่ช่างเป็นสตรีที่ดื้อดึงยิ่งนัก เจ้าอยากมีชีวิตแบบนี้ไปจนตายเช่นนั้นหรือ”นางหยุดเดิน หันไปสบตาเข