LOGINกลางฤดูใบไม้ผลิ สวนดอกเหมยในจวนเฉินกั๋วกงงดงามจับใจ กลีบดอกที่โรยตัวล้อสายลมเหมือนม่านโปรยขาวบาง ประดับพื้นหญ้าจนดูคล้ายพรมบุปผาแสนงาม เซียงหรงนั่งอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ใต้ร่มเหมย หวังว่าจะได้ใช้ช่วงเวลาสงบอ่านตำราเพลงพิณเล่มโปรด
ซู่ซินซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล เห็นนายสาวของตนแววตาจดจ่อ ทว่าแก้มป่องเล็กน้อย ราวกับครุ่นคิดไม่เลิกเกี่ยวกับเหตุการณ์ในงานประชันโฉมงามยอดเมธี นางไม่กล้าเอ่ยขัดจังหวะ ได้แต่ยืนถือถาดน้ำชาในมือ รอจนกว่าเซียงหรงจะเรียก
เนิ่นนานจากนั้น นางจึงค่อยได้ยินเสียงฝีเท้าแว่วมา
ซู่ซินหันไปมอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้ใดกัน ต้องมารบกวนตอนที่คุณหนูกำลังจะได้อยู่อย่างสงบทุกทีสิน่า
นับตั้งแต่นายสาวของนางได้ชื่อว่าเป็นโฉมงามยอดเมธีของปีนี้ ชีวิตในเรือนก็เริ่มสุขสงบลงมากยิ่งขึ้น แม้จะเริ่มมีเทียบเชิญให้ไปร่วมชุมนุมงานกวี หรือเล่นดนตรีชมบุปผา ร่ำสุราแต่งกลอนกับเหล่าบัณฑิตสุภาพชนทั้งหลาย ทั้งชื่อเสียงที่เคยเสียหายก็กลับมาดีแล้วจากการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ต่อหน้าธารกำนัลในครานั้น
ยิ่งผู้พิสูจน์คือหมอหญิงและนางกำนัลในวัง มีไท่โฮ่วและหวงโฮ่วเป็นประธาน ใครเล่าจะกล้าแย้งว่าการพิสูจน์ไม่เป็นไปอย่างชอบธรรม
เช่นนี้ มลทินของคุณหนูของนางก็ถูกลบเลือนไปอย่างสิ้นเชิง ซ้ำยังได้รับปิ่นหงส์พระราชทานและคำเชิดชูคุณธรรมความกล้าหาญจากหวงโฮ่ว คุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกง ยิ่งนับวันก็ยิ่งเปล่งประกายราวกับหยกงามที่ถูกขัดล้างเอาฝุ่นละอองที่เกาะอยู่เนิ่นนานออกไปสิ้น ทั้งงดงามทั้งเจิดจรัสยิ่งกว่าดวงเดือนหรือพระอาทิตย์บนท้องฟ้า
ก่อนหน้าไปไหนยังถูกผู้คนซุบซิบนินทา แต่ตอนนี้ แม้แต่สาวใช้ที่มีหน้าที่ออกไปซื้อของในตลาดก็ยังสามารถยืนยืดอกเชิดหน้าได้อย่างภาคภูมิ
โฉมงามยอดเมธีคือสิ่งใดเล่า โฉมงามยอดเมธีก็คือสมญาที่มอบให้สตรีที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถ
คุณหนูของนางนับว่าเป็นโฉมสะคราญที่หาได้ยากผู้หนึ่ง ส่วนเรื่องความสามารถหรือ...หึ...ดูเอาจากสายตาที่ทั้งตื่นตะลึงทั้งชื่นชมหรือแม้แต่อิจฉาริษยาของเหล่าผู้เข้าร่วมการประชันขันแข่งในสวนชิงหลิงเอาเถิด...
ตอนนี้ทั้งเมืองหลวงกำลังตื่นเต้นกับหญิงงามที่เพียบพร้อมอย่างคุณหนูสามของนางผู้นี้ เทียบเชิญหลั่งไหลมาที่เรือนราวกับสายน้ำหลาก
เมื่อก่อนผู้คนต่างพูดถึงกันว่าอย่างไรนะ เด็กสาวเปื้อนราคีคาว หากเข้าใกล้ก็พลอยเหม็นโฉ่ไปด้วย เหอะ! ตอนนี้ไม่รู้ว่าคุณหนูสามของนางกลายร่างเป็นอำพันทะเลหรืออย่างไร ถึงมีแต่คนยื้อแย่งอยากอยู่ใกล้เพื่อให้ตัวได้กลิ่นหอมเช่นนี้!
ซู่ซินพึมพำกับตัวเอง เพียงครู่เดียวเท่านั้นนางก็เห็นเจ้าของฝีเท้า นางอ้าปากจะส่งเสียงเรียกคุณหนูของตน แต่กลับถูกผู้มาเยือนโบกมือห้าม
ซู่ซินลังเลเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง
ช่างเถิด หากเป็นท่านผู้นี้ก็คงไม่เป็นไรกระมัง อีกหน่อยก็ต้องเรียกว่าท่านเขยแล้วนี่นา…
โฉมงามที่ยังคงนั่งเหม่อลอยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าผู้ใดกำลังเดินเข้ามาใกล้ นางถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ แม้ดวงตาจะจดจ่ออยู่ที่ตำราพิณ ทว่าดวงใจกลับครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การที่ปล่อยให้หลี่จือหลินประกาศออกไปเช่นนี้ว่านางเคยผูกสมัครรักใคร่กับคนของตำหนักจวิ้นหวัง...อืมมม...หวังว่าคงจะทำให้นางได้รับความสงบเสียบ้าง...
"หรงเอ๋อร์"
...ซะที่ไหนกันเล่า! น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้น ทำเอาคนถูกเรียกสะดุ้งน้อย ๆ เซียงหรงหันไปมองคนเรียก เห็นหลี่จือหลินในอาภรณ์ลำลองสีครามเข้มกำลังยืนอยู่ที่ทางเดิน ดอกเหมยโปรยปรายลงมาบนไหล่กว้าง
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







