LOGIN“หืม”
ร่างใหญ่โตของเขาแนบชิดนางอย่างรวดเร็ว มือข้างหนึ่งคว้าข้อมือบอบบางของนางเอาไว้แน่น คำพูดที่หลุดออกจากปากเขา ฟังราวกับเป็นห่วงกังวลเหลือแสน
“ระวัง! เดี๋ยวเจ้าหกล้ม”
"ที่ต้องระวังที่สุดก็คือท่านต่างหาก!" นางถอยหนี ดึงแขนกลับแทบไม่ทัน "ท่านจงใจใช่หรือไม่?"
หลี่จือหลินกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้วจริง ๆ น้องหญิง... แต่เอาเถิด หากเจ้าจะคิดเช่นนั้น ข้าก็ยินดีรับ”
เซียงหรงวางพู่กัน ทั้งใบหน้าและผิวกายแดงก่ำ โทสะและความอับอายแล่นพล่านไปทั่วร่าง
“ท่าน...ท่านมัน!!!”
“หืม...ข้าเป็นอย่างไรหรือ” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเศษกลีบดอกเหมยที่ติดอยู่บนเส้นผมนาง “ดอกไม้สวย แต่ไม่เท่ากับเจ้าเลย”
เซียงหรงถอยหลังอีกก้าวทันที แต่หลี่จือหลินไม่ปล่อยให้นางถอยหนี เขาขยับตาม “หรงเอ๋อร์ อยู่นิ่งหน่อย ยังเหลือกลีบดอกไม้อีก”
“บอกว่าอย่าเรียกหรงเอ๋อร์”
“น้องหญิง...”
“ข้าไม่ใช่น้องหญิงของท่าน!”
หลี่จือหลินหัวเราะหึๆ ดวงตาพราวระยับด้วยความสมใจ “เช่นนั้นจะให้เรียกว่าอย่างไร ภรรยารักหรือ แต่พวกเรายังไม่ได้แต่งงานเข้าพิธี จะไม่เป็นการรีบร้อนมากเกินไปหรอกหรือ–-“
“ท่าน!” นางกัดฟันพลางหันไปบอกชิงเสีย “ไปเอาดาบมา ข้าจะฟันบุรุษหน้าหนาผู้นี้เสียให้ตายไปเลย!”
“ใจร้ายกับคู่หมั้นของตัวเองแบบนี้ได้อย่างไรกัน...เป็นเพียงคู่หมั้นยังโหดร้ายต่อข้าถึงเพียงนี้ อีกหน่อยเป็นสามีภรรยา เจ้าอย่ากลายเป็นแม่เสือขี้หึงไปเสียเล่า...ข้ายิ่งเป็นบุรุษเนื้อหอมที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดว่าที่เจ้าบ่าวอันดับหนึ่งของเทียนจินในยามนี้เสียด้วย”
“หลี่ – จือ – หลิน!”
ทุกวัน นางเป็นต้องถูกเขาก่อกวนอยู่ร่ำไป
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงชื่นชอบกลั่นแกล้งนางเช่นนี้
หรือเพราะตั้งแต่เล็กจนโตนางเติบโตในเรือนหลัง ไม่รู้จักโลกภายนอกมากนัก การกลั่นแกล้งสตรีในเรือนหลังที่นับว่าเป็นของแปลกในยุคนี้อย่างนางจึงเป็นเรื่องน่าสนุก?
คนกะล่อนโหดร้าย คนนิสัยไม่ดี ไร้ยางอาย ไร้สาระสิ้นดี!
เซียงหรงพยายามจะเดินเล่นในสวนเพื่อสงบจิตใจ ในมือถือตำราหมากเอาไว้อ่านแก้กลุ้ม แต่กลับพบว่าหลี่จือหลินนั่งอยู่ที่ศาลากลางสวนเหมือนตั้งใจรอ
นางได้แต่ถอนหายใจ
"ท่านมาที่นี่อีกแล้วหรือ?" นางถาม น้ำเสียงเอือมระอา ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะหิน กางตำราในมือ ตั้งใจจะเมินเฉยต่อเขาให้ถึงที่สุด
ทว่าเมื่อเห็นเขาเอาแต่จ้องมองนางตาใส เซียงหรงก็ถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า
"ท่านมีเหตุผลอะไรถึงมาที่นี่ทุกวันกันแน่?" นางถามโดยไม่เงยหน้าจากตำรา
"ก็เพื่อดูว่าว่าที่ภรรยาของข้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะสิ...ข้าห่วงใยเจ้า"
เซียงหรงไม่เชื่อถือสักนิด
"ข้ากำลังศึกษาความรู้ที่สำคัญ ท่านช่วยอย่ารบกวนได้ไหม?"
หลี่จือหลินไม่ใส่ใจท่าทีนั้น เขายิ้มคล้ายไม่ยิ้มพลางยื่นมือมาหยิบตำราจากมือนาง "ตำราทั่วทั้งเทียนจินล้วนผ่านตาข้ามาแล้วทั้งหมด เจ้าสงสัยเรื่องใดเล่า เผื่อว่าข้าจะช่วยอธิบายให้ฟังได้"
"หลี่จือหลิน!" เซียงหรงแย่งตำราคืน แต่เขายกตำราขึ้นสูงจนเกินเอื้อม
"เอาคืนมา!" นางแบมือออกไปข้างหน้า “เร็วเข้า”
“ข้าตั้งใจจะช่วยเจ้าแท้ๆ”
“แต่ข้าไม่ได้ขอให้ช่วย” เซียงหรงเริ่มหงุดหงิดอย่างจริงจัง “เอาตำราของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“อยากได้ก็มาเอาเองสิ”
“ท่านคิดว่าท่านทำอะไรอยู่ จวิ้นหวังจ๋างจื่อ ท่านเป็นเด็กห้าขวบหรือไงกัน!”
ตลอดการเดินทางไปยังหมู่บ้านว่อหลงที่มีซู่ซินรออยู่ หลี่จือหลินซื้อรถม้าคันหนึ่งให้นางนั่งอยู่ด้านใน ส่วนตัวเขาขับรถม้าด้านนอก เขาให้เหตุผลว่าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นนั่นก็จริงอยู่นับตั้งแต่มีรถม้า นางก็ไม่เคยต้องนอนบนพื้นหินพื้นหญ้าให้เจ็บหลังปวดเอว หรือคันเนื้อคันตัวเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เปิดเผยตัวตนแล้ว หลี่จือหลินปฏิบัติต่อนางอย่างดียิ่ง ไม่ว่านางอยากกินอยากดื่มอะไร เมื่อผ่านเข้าไปในหมู่บ้านหรือเมืองเล็กๆ ก็จะหาซื้อให้นางทุกอย่าง หากเป็นกลางป่ากลางเขา ไม่ว่าจะจับสัตว์ใดได้เขาก็จะแบ่งเนื้อส่วนที่ดีที่สุดให้นาง ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องเทศต่างๆ เท่าที่จะหาได้เพื่อให้นางเจริญอาหารยิ่งขึ้น ทั้งยังบ่นพึมพำทุกคืนว่านางผอมลงไม่น้อย ไม่เต็มไม้เต็มมือ...น่าเกลียดที่สุด ปากบอกว่านางผอมเกินไป แต่ใครกันที่คอยจับนางกินทุกคืน!คนเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นตั้งใจทำให้นางได้พักผ่อนเต็มที่ในเวลากลางวันเพื่อรับใช้เขาในเวลากลางคืนชัดๆ!แม้จะรู้เช่นนั้น แต่เซียงหรงก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงอ้อมกอดนั้นได้เลยเวลากลางคืนช่างหนาวเหน็บนัก แม้ว่าจะเหนื่อย
“ตอนที่เจ้ายังเป็นทารก ข้าจำได้ ในตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า ข้าจะคอยปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต...คำพูดประโยคนั้นเป็นทั้งคำสัญญาและคำสาบานแรกในชีวิตข้า” หลี่จือหลินพูดพร้อมกับยิ้มจางๆ “ในเทศกาลหยวนเซียวคืนนั้น ตอนที่ข้าซื้อถังหูลู่ให้เจ้า เจ้าคงไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มที่เจ้ามอบให้ข้ายามนั้นทั้งงดงามอ่อนโยนและหวานล้ำเพียงใด เพราะจดจำภาพนั้นได้ ข้าจึงไม่เคยยอมแพ้ในสงคราม ทุกครั้งที่เพลี้ยงพล้ำ ข้ามักคิดเสมอว่าจะต้องได้กลับมาเจอเจ้าเพื่อทำตามคำสัญญาสาบานและจะต้องปกป้องรอยยิ้มที่บริสุทธิ์งดงามเช่นนั้นเอาไว้ให้ได้ หรงเอ๋อร์ ข้าออกศึกมากมาย แม้กึ่งหนึ่งเพื่อบ้านเมือง แต่อีกกึ่งหนึ่งล้วนเป็นเพราะแผ่นดินเทียนจินคือบ้านของเจ้า เพราะที่แห่งนี้มีคนที่ข้าต้องการปกป้องเอาไว้อย่างเจ้าอยู่ข้างหลัง”เซียงหรงได้แต่จ้องเขาด้วยความงุนงง นางไม่เคยจำเรื่องราวเหล่านี้ได้เลย แต่เขากลับเล่าได้ละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้ง…เรื่องสาเหตุที่เขาออกรบและไม่เคยยอมแพ้จนมีชีวิตรอดกลับมาก็ช่าง…เขายังกล่าวต่อไป “หลายปีผ่านไป ข้าคิดว่าเจ้าอาจลืมข้าไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่เคยล
หลี่จือหลินไม่อยากให้นางตั้งกำแพงในใจอีก ไม่ว่าอย่างไรเขากับนางก็ลงเอยกันไปแล้ว ไม่ว่านางจะยินดีแต่งให้เขาหรือไม่ นางก็หนีไปไหนไม่ได้อีกแล้วอยู่ดี…ทว่าเขาเองก็ยังอยากให้นางแต่งให้เขาด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความไม่เต็มใจเช่นนั้นเขาค่อยๆ ปัดปอยผมที่ล้อมกรอบหน้านางออก บีบนวดเนื้อตัวที่ปวดเมื่อยจากการร่วมรักเมื่อคืนพลางพูดเบาๆ เมื่อรำลึกถึงความทรงจำเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงยืนยันที่จะแต่งงานกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีข้าไปให้ไกลแค่ไหนก็ตาม” หลี่จือหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น ดวงตาคู่คมมองลึกเข้าไปในดวงตาของเซียงหรงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“จะยังมีอะไรได้ นอกจากความดื้อด้านอยากเอาชนะคะคานของท่าน” นางตอบเสียงแข็ง ลุกขึ้นนั่งหันหน้าหนีราวกับไม่อยากรับฟังคำใดจากเขาอีกแต่หลี่จือหลินไม่ได้โกรธ เขายิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเคียงข้างนาง แววตาอ่อนโยนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ไม่รู้เจ้ายังจำถังหูลู่ในเทศกาลหยวนเซียวได้หรือไม่”เซียงหรงขมวดคิ้วทั
“หรงเอ๋อร์…ชายหญิงร่วมเตียง จะเป็นอันใดกันได้ นอกจากสามีภรรยา” เขาพูดเสียงนุ่ม “อีกอย่าง เจ้าคิดว่าหากเฉินกั๋วกงได้ทราบ เขาจะไม่บังคับให้เจ้าแต่งงานจริงหรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่จวนเจ้าที่เจ้าคิดว่าจะเข้าข้างเจ้าแน่ๆ หากเป็นเรื่องนี้...เชื่อเถิดว่าเขาเองก็จะต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายอมแต่งให้ข้าเช่นกัน”คนฟังหน้าซีดเผือดลงทุกขณะ ยิ่งเมื่อเอ่ยถึงว่าเขาจะบอกบิดาและพี่ชายนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียงหรงก็ยิ่งรู้สึกราวกับถูกหลอกขึ้นมาทันทีไม่หรอก...ไม่ได้รู้สึก...นางถูกหลอกจริงๆ นั่นล่ะ!ใบหน้าหวานล้ำเผือดซีด ความเจ็บปวดตรงกึ่งกลางกายราวกับจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันความโง่เขลาของนางนางวิ่งวนอ้อมไปทั่ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาเช่นเดิมราวกับตัวตลก ราวกับสัตว์ที่ติดในกรง ต่อให้นางจะวิ่งไปข้างหน้าเช่นไร ก็มีเพียงกับดักที่รออยู่เท่านั้น“หากเจอท่านกั๋วกงแล้ว ข้าจะรีบปรึกษาว่าเราจะเร่งแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ยังต้องหาฤกษ์ยาม ต้องดูก่อนว่าท่านพ่อตาต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ อ้อ
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ







