ลึกๆ แล้วนางรู้ดีว่าหากลงมือจริง เขาใช้เพียงนิ้วมือเดียวย่อมสามารถเอาชนะนางได้อย่างง่ายดาย ทว่าอะไรบางอย่างบอกนางอยู่เสมอ บางอย่างที่นางเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าคือสิ่งใด...
ต่อให้หลี่จือหลินจะเอาชนะนางได้ง่ายดายเพียงใด เขาจะยอมลงให้นางเสมอ ไม่มีทางทำร้ายนางอย่างแน่นอน
หลี่จือหลินแวะเวียนมาที่จวนกั๋วกงไม่เว้นวันราวกับจงใจกลั่นแกล้ง ไม่ว่านางจะวางท่าเมินเฉยอย่างไร สุดท้ายเขาก็ยังคงมีวิธีมากระตุ้นให้นางต้องเผลอต่อปากต่อคำ บางครั้งก็ถึงกับเผลอเงื้อง่ากำปั้น ทำให้นางอยากหยิกเอวอยากตีเขาสักครั้งสองครั้งอยู่เสมอ
และเช่นเคย วันนี้ก็เป็นอีกวันที่หลี่จือหลินบุกเข้ามารบกวนความสงบของนางถึงในจวน
“น้องหญิงงง...” เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาดังมาก่อนที่นางจะได้ทันเห็นหน้าผู้พูดด้วยซ้ำ
ซู่ซินเห็นสีหน้าเบื่อหน่ายของคุณหนูของตนแล้วหัวเราะดังพรืด
“ขออภัยเจ้าค่ะ แต่...ฮ่าๆ”
เซียงหรงตวัดมองสาวใช้ของตนเองอย่างหงุดหงิด ดวงตาฉายแววคาดโทษ แต่ซู่ซินกลับไม่เกรงกลัว ทั้งยังหัวเราะดังขึ้นอีกด้วยซ้ำ
ก็ใครใช้ให้คุณหนูของนางชอบเขียนเสือให้วัวกลัว[1]นักเล่า
คุณหนูของนางจิตใจงดงามใสสะอาด กระทั่งจะดุด่าว่ากล่าวผู้คนแรงๆ สักคำก็ยังทำไม่เป็น เรื่องโกรธเคืองหรือกระทำตัวโหดร้ายต่อผู้อื่นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง แล้ววัวอย่างนางและจวิ้นหวังจ๋างจื่อที่รู้ซึ่งถึงความจริงข้อนี้เป็นอย่างดีที่ไหนเลยจะกลัว กลับเป็นคนเขียนเสืออย่างคุณหนูเองนั่นแหละ ที่ต้องหงุดหงิดอยู่ร่ำไป
ไม่ทันที่นายบ่าวจะได้พูดคุยอย่างไรกันอีก ชายหนุ่มที่ยามนี้เป็นดังแขกประจำเรือนด้วยอ้างว่าเป็น ‘คู่หมั้นผู้ต้องการสร้างความสนิทสนมก่อนแต่งงาน’ ก็ก้าวเข้ามาในประตูวงเดือนขอบเขตของเรือนนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ในมือมีตะกร้าผลไม้สดๆ ตามฤดูกาลอัดแน่นเต็มไปหมด
“วันนี้ข้าผ่านตลาด เห็นผลไม้เหล่านี้ โดยเฉพาะผิงกั๋วพวกนี้ที่ทั้งหอมทั้งกรอบทั้งหวาน ผิดจากผิงกั่วที่ขายกันทั่วไป ข้าอยากให้เจ้าได้ลิ้มรสของดี เลยซื้อพวกมันมาให้เจ้า”
ซู่ซินเม้มปากยิ้ม ทั้งที่ในใจอยากหัวร่อแทบตาย
ผิงกั่ว? จวิ้นหวังจ๋างจื่อเจ้าคะ ท่านพูดเหมือนจวนเฉินกั๋วกงของพวกเราไม่มีเงินพอจะซื้อของพวกนี้ได้อย่างนั้นแหละ
เซียงหรงคร้านจะตอบโต้ แค่ปรายตามองซู่ซินแล้วกล่าว
“รับไว้ แล้วเอาไปเก็บในห้องครัว”
“เจ้าค่ะ” ซู่ซินเดินเข้าไปหาบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ วันนี้จวิ้นหวังจ๋างจื่อก็ยังคงสวมอาภรณ์สีครามเข้มเช่นเคย ทั้งยังส่งยิ้มให้นางอย่างใจดี ทั้งที่นางเคยได้ยินมาว่าจวิ้นหวังจ๋างจื่อแห่งตำหนักจวิ้นหวังทิศบูรพานั้น เป็นเทพสงครามผู้แสนเย็นชา ไร้เลือดไร้น้ำตาอย่างแท้จริง
เดาว่ารอยยิ้มนี้คงเป็นอานิสงส์จากการที่นางเป็นผู้ติดตามรับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูสามกระมัง จึงได้รับเผื่อแผ่ความใจดีนี้มาด้วย
ซู่ซินยื่นมือออกไปรับตะกร้าจากมืออีกฝ่าย แต่ก่อนที่จะทันได้คว้าเอาไว้ เทพสงครามผู้ไร้เลือดไร้น้ำตาก็สะดุดเท้านางทันที
เอ๋...
เอ๊!!!
ซู่ซินอ้าปากค้าง มองร่างสูงใหญ่ของเทพสงครามแห่งเทียนจินล้มผ่านตัวนางไป...ไปทางร่างบอบบางของคุณหนูสาม
“คุณหนู—”
เซียงหรงที่ได้ยินเสียงร้องของสาวใช้รีบหันกลับมามอง ดวงตากลมโตของนางเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง พู่กันในมือถูกกำแน่นขณะเห็นร่างใหญ่โตของหลี่จือหลินโผเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว
“ท่าน–-ว้าย!”
ร่างของเทพสงครามแห่งเทียนจินถลาราวนกต้องลม ซวนซบลงกับไหล่ของนางอย่างเหมาะเจาะ น้ำหนักที่คิดว่าจะมากมาย กลับไม่ได้หนักอย่างที่คิด
อันที่จริง...เขาซบลงกับไหล่นาง...พอดิบพอดี...
หลี่จือหลินเงยหน้าขึ้นจากไหล่นางพลางยิ้มตาใส
"โอ๊ะ!" เขาทำหน้าตกใจ “ข้าสะดุด!”
ทั้งนายและบ่าวสกุลเฉินตัวสั่นขึ้นมาคราหนึ่ง
สะดุด...
สะดุดล้มเนี่ยนะ!
ใครเชื่อก็บ้าแล้ว!
เซียงหรงตัวสั่นระริก กรีดร้องออกมาอย่างอดไม่ไหว
“หลี่จือหลิน!”
[1] หมายถึงทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียขวัญหรือเกรงขาม
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนแบบไหนกันแน่ เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความโกรธ “เจ้าจะพลีกายให้คนที่ไม่รู้จัก ไม่สนว่าจะเป็นใคร เพียงเพราะต้องการหนีการแต่งงานงั้นหรือ?!”เซียงหรงกัดริมฝีปาก นางหลบสายตาเขา รู้ดีว่าคำพูดของตนเองอาจจะดูไร้ยางอาย แต่ในสถานการณ์นี้ นางมองไม่เห็นทางเลือกอื่นใดอย่างน้อยคนผู้นี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เดินทางร่วมกันมานานหลายวัน เขาไม่เคยฉวยโอกาส ไม่ใช้กำลังบังคับข่มเหง ย่อมจะต้องเป็นผู้มีคุณธรรมและมีเกียรติมีศักดิ์ศรีผู้หนึ่ง ซ้ำยังเป็นสหายกับผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือพี่ซู่ซิน ของนางเอาไว้ ในตอนที่นางจากไป นางย่อมสามารถฝากฝังพี่ซู่ซินของนางให้พวกเขาดูแล อีกทั้ง…“ชีวิตนี้ของข้าเป็นท่านช่วยไว้ถึงสองครั้ง” หากนับเรื่องที่เขายังเป็นคนช่วยพานางที่เหนื่อยจนหมดสติไปพักและรักษาให้ในกระท่อมร้าง ก็ไม่ใช่เพียงสองครั้ง แต่เป็นสาม...ตอนนั้น หากไม่ได้เขามาช่วยไว้ นางอาจกลายเป็นซากร่างเย็นชืดไร้ลมหายใจที่ฝูงสัตว์รุมกัดแทะไปนานแล้วก็เป็นได้ไม่แน่ว่ายามนี้อาจไม่เหลือแม้กระทั่งเศษกระดูกแล้วด้วยซ้ำ
ไม่ทันที่นางจะได้ขยับตัว ตงหยางที่รัดท่อนแขนตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ก้มลงดูดที่แผลของตนเอง ดูดแล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ดูด แล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ทำวนซ้ำอยู่อย่างนี้จนเลือดที่ดูดออกมาจากปากแผลเป็นสีแดงสด ถึงยอมหยุดมือเขาปล่อยให้สายรัดเอวที่รัดท่อนแขนอยู่ค่อยๆ คลายออกเอง กระถดเข้าไปนั่งชิดผนัง ก่อนถอนหายใจออกมาตงหยางเหลียวมองซากงูตัวนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดสายตามองเฉินเซียงหรง เอ่ยอย่างหัวเสีย“ดีเหลือเกิน ข้าบอกให้อยู่นิ่งๆ เจ้าก็รีบขยับตัวทันที!”“ก็ข้านึกว่า...” นางละอายเกินกว่าจะกล้าพูดต่อเขาช่วยชีวิตนาง...อีกเป็นครั้งที่สอง นางกลับคิดว่าเขาจะฉวยโอกาสใช้กำลังข่มเหงรังแก ทำเรื่องที่นาง...ไม่ยินยอม...“คุณหนูเฉิน ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าไม่มีความจำเป็นต้องบังคับข่มเหงสตรีที่ไม่เต็มใจ” เขาแค่นหัวเราะ ก่อนกล่าวต่อไป “ทว่าเป็นเช่นนี้จะดีหรือ หากร่วมทางกันไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งข้าเกิดดื่มสุราเมามายจนขาดสติเล่า เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าจะยังกล้าติดตาม ‘รับใช้’ ข้าอีกหรือ ข้าว่าเจ้ายอมกลั
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเซียงหรงเองยังอดตกใจไม่ได้คืนหนึ่ง ขณะหลบฝนอยู่ในถ้ำเล็กๆ ตงหยางจุดไฟให้แสงสว่าง อากาศในถ้ำเย็นชื้น และเสื้อผ้าของพวกเขาเปียกชื้นจนต้องพาดไว้ใกล้กองไฟ เซียงหรงนั่งกอดเข่าห่างออกไปเล็กน้อย ดวงตาของนางมองเปลวไฟนิ่งราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์กระทั่งตงหยางมองนางด้วยสายตาขบขัน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเคยคิดบ้างไหม ว่าแม้จะหนีการแต่งงาน แต่ในที่สุดเจ้าก็ต้องหาสามีอยู่ดี” เขาเอ่ยเสียงเบาเช่นเดิม “คุณหนูเฉิน เจ้ากล่าวว่าต้องการแน่ใจว่าจะสามารถส่งจดหมายถึงมือบิดาและพี่ชายที่อยู่ต่างเมือง จะทำเพียงส่งจดหมายบอกล่าวเล่าความ ไม่พบพวกเขา เจ้ามีพ่อและพี่ชายกลับคิดหนีหน้า เจ้าบอกว่ามีคู่หมั้น แต่ก็ไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับคู่หมั้นผู้นั้น กลับมุ่งหมายออกบวชละกิเลสเสียมากกว่า ช่างไม่รู้เสียเลยว่าต่อให้เจ้าจะโกนผมโกนคิ้ว บุรุษที่ได้พบเห็นเจ้า พูดคุยกับเจ้า พวกเขาไหนเลยจะลืมเลือนเจ้าได้ลง เจ้าคิดว่าหากได้ออกบวช จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้จริงหรือ” เซียงหรงเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าของนางเย็นชา “ก็ยังดีกว่ามีสามี&rdquo
ยามบ่ายคล้อย แดดร่ม ลมตก เป็นช่วงเวลาที่เซียงหรงรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวที่สุดในช่วงวัน พื้นอารมณ์จึงค่อนข้างดีทว่าอารมณ์ดีๆ ของนาง กลับถูกทำลายลงด้วยเสียงเฉยชาที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ“เป็นเช่นไรล่ะ คุณหนูเฉิน ใช้ชีวิตแบบนี้สนุกดีหรือไม่ ไม่ต้องมีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมีที่นอนอุ่นๆ ไม่ต้องกินอาหารดีๆ ใช้สองขาเดินทาง ร่อนเร่พเนจร ค่ำไหนนอนนั่น” นั่นประไร! นางรู้ว่าเขาคงอดทนไม่ว่านางได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหรอก ยิ่งในตอนที่นางกำลังมี ‘ช่วงเวลาดีๆ’ รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่!เดินทางร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ นางแทบจะนับเวลาที่เขาจะเอ่ยปากเหน็บแนมนางได้แม่นยำแล้ว!นางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาขุ่นมัว “ไม่เห็นจะลำบากอะไร” นางตอบเสียงเรียบพลางรวบชายเสื้อที่ปลิวเพราะลมเย็นตงหยางหันมามองนาง หัวคิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย “อ้อ เช่นนี้ไม่ลำบาก” เขาหัวเราะในลำคอ “เจ้านี่ช่างเป็นสตรีที่ดื้อดึงยิ่งนัก เจ้าอยากมีชีวิตแบบนี้ไปจนตายเช่นนั้นหรือ”นางหยุดเดิน หันไปสบตาเข
“ข้าขอร้อง...” เซียงหรงเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำ “ข้าไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ ที่บ้านของข้าในยามนี้ไม่มีใครที่ข้าจะไว้ใจได้อีก อีกทั้ง... อีกทั้งในเมืองหลวงยังมีสิ่งที่น่ากลัวมากๆ รอข้าอยู่ที่นั่น...” นางพยายามยื่นข้อเสนอ “ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ขอเพียงท่านช่วยสะสางเรื่องที่ยังค้างคาใจและพาข้าหลบหนีจากฝันร้ายเหล่านั้น ข้ายินดีติดตามรับใช้ท่านในฐานะบ่าวคนหนึ่ง จะไม่สร้างความลำบากใดใดให้ท่านจอมยุทธสักนิด”“บ่าวคนหนึ่ง...” ชายสวมหน้ากากนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ ก่อนถอนหายใจยาว “เอาเถิด หากเจ้าไม่สร้างปัญหาจริงดังปากว่า ข้าจะให้เจ้าเดินทางไปด้วย ระหว่างนั้นสบโอกาสค่อยหาทางส่งจดหมายไปถึงบิดาและพี่น้อง เรื่องคนของเจ้า สหายของข้าช่วยนางเอาไว้แล้ว”“จริงหรือ!”ได้ยินเช่นนี้ เซียงหรงโล่งใจเป็นอย่างยิ่งเขายังคงกล่าวต่อไป “ตงหลินผู้นี้เป็นสุภาพชน เชื่อถือได้ คนของเจ้าจะปลอดภัยอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่มีความคิดอยากกลับบ้านก็ไม่ควรติดต่อ ‘คนของเจ้า’ ผู้นั้นอีก”แม้แว