รอก่อนเถอะ หากคุณหนูสามแต่งเข้าตำหนักจวิ้นหวังเมื่อใด ตนจะย้ายไปทำงานให้คุณหนูสามเสียเลย!
ซู่ซินที่ไม่ได้รู้อะไรด้วยส่งยิ้มเจือจางให้ผู้ติดตามข้างกายว่าที่ท่านเขย แล้วรินชาต้อนรับจวิ้นหวังจ๋างจื่อ ก่อนจะถอยห่างออกมา มองดูหนุ่มเหน้าสาวงามที่คุยกันกลางศาลาริมน้ำพลางเคี้ยวขนมหวานที่เขานำมาให้อีกครั้งพลางยิ้มชื่น
กิ่งทองใบหยกเป็นอย่างนี้เองสิน่า
“หรงเอ๋อร์ พัดนี้เหมาะกับเจ้า นำไปใช้ในยามหน้าร้อนเถิด"
เซียงหรงมองพัดงาช้างลายดอกเหมยด้วยแววตาคลางแคลงใจ แต่ก็เอื้อมมือรับเอาไว้ “วันนี้ข้าก็ข้ารับเอาไว้แล้ว ท่านกลับไปได้แล้วเจ้าค่ะ!”
“ให้ของเจ้ามาตั้งหลายอย่าง แต่ข้ายังไม่ได้สิ่งใดตอบแทนเลย ช่างน่าน้อยใจยิ่งนัก” คนน้อยใจทำท่าทางหงอยเหงา แต่แล้วกลับเอนตัวเข้าใกล้จนนางแทบจะสัมผัสถึงลมหายใจของเขาแล้ว “ของสำคัญก็ยังไม่ได้ทวงเลยด้วยซ้ำ”
"ของสำคัญอะไร?" นางขมวดคิ้ว ถอยหลังจนแผ่นหลังชนเสาศาลา
"ห้าอีแปะที่เจ้าสัญญากับข้าไว้ยังไงเล่า"
อีกแล้วหรือ
เซียงหรงกลอกตา “นั่นมันแค่เรื่องหลอกเด็กเท่านั้น ท่านพ่อก็บอกแล้วว่าท่านน่ะ หลอก ลวง ข้า” นางพยายามหลบเลี่ยงสายตาที่มองมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
"สำหรับข้า มันสำคัญมาก...” หลี่จือหลินยืนยัน “ถ้าเจ้าไม่อยากคืนด้วยเงิน เจ้าจะคืนด้วยวิธีอื่นก็ได้นะ”
“วิธีอะไร”
หลี่จือหลินพลันชี้นิ้วไปที่ปาก
"หลี่จือหลิน! ไร้ยางอายที่สุด!" เซียงหรงหน้าแดงก่ำ ดันตัวเขาออกห่าง พยายามไม่นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันที่จวนเฉินกั๋วกงรับมอบสินสอดจากตำหนักจวิ้นหวัง แต่เขากลับฉวยโอกาสเอื้อมมือมาจับมือนางไว้แน่น
"ข้าไม่ใช่คนไร้ยางอาย ข้าแค่รักษาสัญญาให้เจ้าเท่านั้นเอง เจ้าจะได้เป็นคนรักษาสัตย์อย่างไรเล่า จะมีใครคิดคำนวณเผื่อเจ้าเช่นข้าอีก...หืมม..." เขายิ้มกริ่ม
เซียงหรงสะบัดมือออกอย่างแรง พูดทั้งโกรธทั้งอาย "ท่านน่ะหรือคิดคำนวณเผื่อข้า เป็นตัวปัญหาให้ข้าต่างหาก!"
"ตัวปัญหาหรือ? ถ้าอย่างนั้น ตัวปัญหานี้ขอเกาะติดเจ้าไปตลอดชีวิตก็แล้วกัน"
นางได้แต่กลอกตามองฟ้า พลางคิดในใจว่า หากหลี่จือหลินมาหาอีก นางคงต้องหาวิธีหลบหน้าบ้างแล้ว!
เซียงหรงยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ความอึดอัดแน่นอยู่ในอกเมื่อมองเห็นรอยยิ้มขี้เล่นของหลี่จือหลินที่ดูเหมือนจะจับนางไว้ในมือแน่นหนาเช่นนี้
ในหัวของนาง ผุดภาพความทรงจำในวัยเยาว์ขึ้นมา
มารดาผู้ให้กำเนิดนางนั้นงดงาม อ่อนโยน แต่ก็ต้องจบชีวิตลงเพราะการคลอดลูกอย่างยากลำบาก นางจำได้ว่าบิดาเสียใจมาก แต่ไม่ทันไรก็จัดงานเลี้ยงวันเกิดให้อนุทั้งสามทีละคน ราวกับต้องการมอบ ‘ความยุติธรรม’ ให้พวกนาง แม้จะไม่ได้ยกย่องใครขึ้นนั่งตำแหน่งฟูเหรินแทนมารดาของนาง ท่านพ่อก็ยังยกย่องพวกนางทั้งสามเป็น ‘ภรรยา’ อย่างเท่าเทียม มองผิวเผินอาจดูดี ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับเป็นการปล่อยให้พวกนางคอยแก่งแย่งชิงดี แม้บิดาของนางจะรักและปกป้องนางที่สุด แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดให้ดีได้เลย
นางยังจำเรื่องเลวร้ายที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับนางและพี่หญิงรองเมื่อไม่นานมานี้ได้ดี ทั้งยังจำได้ถึงเสียงโต้เถียง เสียงร้องไห้ แววตาที่เต็มไปด้วยความริษยาของสตรีในเรือนหลัง ความเจ็บปวดของพี่สาวน้องสาวต่างมารดา ความขมขื่นของอนุภรรยาทั้งสามของบิดา...ความหวาดกลัวว่าอนาคตของตัวนางเองจะจบลงเหมือนคนเหล่านั้น และไม่ตนเองก็บุตรสาวอาจพลาดพลั้งประสบเคราะห์กรรมเหมือนกับพี่หญิงรอง ยิ่งทำให้นางตั้งใจมั่นว่าจะไม่ปล่อยให้ตนเองตกไปอยู่ในวังวนของการแต่งงาน
"ไม่เป็นภรรยาหลวง ไม่เป็นสนม และไม่เป็นอนุ! ชั่วชีวิตนี้ขอเป็นเพียงตัวข้าเองเท่านั้น" นางเคยพูดประโยคนี้กับซู่ซินด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
"แต่คุณหนูเจ้าคะ การแต่งงานอาจไม่เลวร้ายเสมอไป" ซู่ซินยังเคยพูดปลอบ
"ไม่เลวร้ายหรือ? หากไม่เลวร้ายจริง เช่นนั้นใครบ้างเล่าที่ไม่ต้องทนทุกข์กับสิ่งนั้น? ลองมองดูรอบๆ ตัวของข้าสิ ท่านแม่ของข้าเป็นล่ะ? แม่รอง แม่สาม แม่สี่ล่ะ? พี่หญิงน้องหญิงของข้าล่ะ? แม้แต่ตัวท่านพ่อเองก็ยังต้องทุกข์ทนอยู่ในวังวนนี้!"
เซียงหรงหันหลังเดินหนีออกมาทุกครั้งที่ใครเอ่ยถึงเรื่องแต่งงาน เพราะสิ่งเดียวที่นางคิดได้คือ หนี หนีให้พ้นจากทุกอย่างที่อาจผูกพันชีวิตนางไว้ในความทุกข์
นางเคยคิดเล่น ๆ ว่าหากไม่มีทางเลือก นางจะไปบวชชีเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าตอนนี้หลี่จือหลินที่แสนเจ้าเล่ห์กลับทำให้นางไม่มีทางหนีได้อีกต่อไป เขาไม่ได้เพียงหลอกล่อนางด้วยคำพูดเล่น ๆ แต่ยังใช้สถานะของตนเองและความสัมพันธ์กับราชสำนักมาเป็นกำแพงล้อมรอบนาง
นางทั้งโกรธ ทั้งอึดอัด และยิ่งคิดถึงทางหนีให้ไกลจากเขา ทว่าทุกครั้งที่เขามองนางด้วยสายตาราวกับไม่มีอะไรในใต้หล้านี้สำคัญเท่านาง หัวใจของนางกลับปั่นป่วนเหมือนกระดาษขาวที่ถูกน้ำหมึกหยดใส่ ทั้งยุ่งเหยิง ทั้งสับสน
"ไม่เอา ข้าไม่แต่งให้ท่าน! บวชชี…ข้าควรไปบวชชี ข้าจะไปบวชชีจริงๆ แล้ว!" นางกระซิบกับตัวเองเบา ๆ ทว่าความคิดนี้ก็ถูกเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของหลี่จือหลินในหัวไล่ลบเลือนไปจนหมดสิ้น
เซียงหรงมองชายแปลกหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แม้จะรู้สึกหวาดระแวงอยู่ลึกๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายร่างใหญ่ชุดดำสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าผู้นี้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ช่วยนาง...ทั้งในตอนที่นางเสี่ยงชีวิตกระโดดลงมาจากหน้าผาสูงชัน และตอนนี้สายตาของเฉินเซียงหรงกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้งกระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะถูกปล่อยทิ้งร้างมานานแล้ว โต๊ะไม้ที่วางตะเกียงอยู่มีรอยถลอกลึก มุมหนึ่งของผนังมีช่องโหว่ที่ลมพัดผ่านเข้ามาได้ ดังนั้น นอกจากกลิ่นสาบภายในกระท่อมแล้ว ยามนี้นางได้กลิ่นสนเขาอ่อนๆ ลอยมากับสายลมนางเริ่มรู้สึกถึงความเย็นของกระแสลมที่กัดกินเนื้อหนัง“ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้จนวันตาย...ข้าจำได้ว่าคล้ายจะเห็นท่านพลิ้วตัวมารับร่างข้าไว้ก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำ ท่านเป็นจอมยุทธ์ใช่หรือไม่ จึงสามารถช่วยข้าไว้ได้เช่นนี้” นางถาม น้ำเสียงเจือความขอบคุณเขาไม่ตอบไม่เพียงไม่ตอบ ยังเบนสายตาไปทางอื่นด้วยซ้ำดวงตาที่มองลอดหน้ากากนั้นยังคงนิ่งลึกท่าทางเช่นนี้...ดูๆ ไปแล้ว ก็คล้ายองครักษ์ที่รับหน้าที่ติดตามคุ้มกันนางเช่นกันหรือว่า...นางอดถามไม่ได้ “ท่านคือองครักษ์จากตำหนักจวิ้นหวังที่คอยติดตามคุ้มกันข้าหรือ?”“ไม่ใช
ยามเมื่อเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมผ่านผิวกาย แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันเล็กๆ บนโต๊ะไม้ส่องประกายริบหรี่สะท้อนเงามืดบนผนังไม้ที่แตกร้าวราวกับภาพเขียนที่น่าขนลุกภาพหนึ่ง รอบตัวนางในยามนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกระท่อมเก่าคร่ำคร่า“ท่านแม่...” นางยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดมารดาด้วยซ้ำทว่า... เพียงฝันไปหรอกหรือ?“ที่นี่ที่ไหน...” นางพึมพำแผ่วเบา รู้สึกร้าวระบมไปทั่วทั้งตัว เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเสื่อเก่าขาด มีหมอนสีดำสนิทที่คล้ายจะทำขึ้นมาด้วยการเอาเสื้อคลุมเปียกๆ ตัวหนึ่งมาหุ้มฟางรองศีรษะ กลิ่นอับของไม้ผุและฝุ่นทำให้นางแสบจมูกจนแทบทนไม่ไหวดวงตาของนางเลื่อนไปหยุดที่ร่างของชายคนหนึ่ง เขาสวมชุดสีดำทั้งตัว ใบหน้าครึ่งบนกว่าแปดส่วน[1]ถูกปกปิดด้วยหน้ากากโลหะรูปพยัคฆ์ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคมดุสะท้อนแสงไฟสลัวเหมือนตาของสัตว์ร้ายเซียงหรงสะดุ้งเล็กน้อย ความหวาดกลัวไหลย้อนกลับมาบีบรัดหัวใจของนางไว้แน่นเสื้อคลุมที่ใช้ทำเป็นหมอนยังคงเปียกชุ่ม เสื้อผ้าผมเพ้าของคนผู้นี้เองก็ไม่ต่างกัน...สังเกตได้เท่านี้เฉินเซียงหรงก็ห
ยามนี้ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับไร้โลหิต ริมฝีปากที่เคยอิ่มงามและชุ่มชื้นแตกแห้งและสั่นระริกเพราะความหนาว กระแสลมหนาวเหน็บพัดเส้นผมที่ยาวสยายไร้ระเบียบของนางไปติดแก้ม บดบังทัศนวิสัยส่วนหนึ่ง นางพยายามจะยกมือขึ้นปัดมันออก แต่กลับแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วสักนิดต้องหาที่หลบ...ก่อนที่คนร่างสูงนั่นกับคนพวกนั้นจะตามมาเจอ...ยามนี้มีเพียงความคิดเหล่านี้เท่านั้นวนเวียนในหัวนาง นางพยายามเร่งฝีเท้าทั้งที่ร่างกายบอบช้ำจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้วด้วยซ้ำต้องไปต่อ...ต้องรอด...ต้องไม่ตาย...พี่ซู่ซิน...พี่ใหญ่...น้องเล็ก...จะต้อง...กลับไปให้ได้...ฝ่ามือเล็กๆ ของนางกำหมัดแน่น สันกรามของนางขบกันจนปวดแปลบเพื่ออดทนกับความเจ็บปวด ดวงตาคู่หวานที่เคยทอประกายสดใสในยามปกติ บัดนี้เต็มไปด้วยแววหวาดหวั่นผสมความดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ แต่ยิ่งเดินเท่าไหร่ ผืนป่าก็ยิ่งมืดลงราวกับว่านางเลือกเส้นทางผิดพลาดราวกับว่า...ป่าแห่งนี้กำลังค่อยๆ กลืนกินนาง...เซียงหรงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังบีบรัดนางให้แหลกสลาย สองหูได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองที่หนักหน่วงขึ้นทุกทีนางพยายามกัดฟันเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ร่างกายก็ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไ
แต่ทุกสิ่งรอบตัวกลับไม่ช่วยให้นางมีหวังต้นไม้สูงใหญ่ที่ล้อมรอบนางดูเหมือนเงาดำมืดที่คอยซุ่มมอง ยามนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงป่ารกครึ้มที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตราวกับว่านางเดินพลัดหลงเข้ามาในโลกของภูติผีในเรื่องเล่า มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนที่พอจะฟังคุ้นหูและเสียงน้ำไหลเบาๆ จากที่ไกลๆ ที่บอกให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิตเซียงหรงก้าวขาเดินโซซัดโซเซ สะดุดล้มไปกับพื้นก็หลายครั้ง แขนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยรอยข่วนจากกิ่งไม้ใบหญ้าพยายามยันตัวลุกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาที่พร่ามัวลงทุกขณะคอยมองหาที่หลบภัยโดยสัญชาตญาณ แต่ก็พบเพียงความมืดดำว่างเปล่าหรือสัญชาตญาณของสตรีที่เอาแต่เก็บตัวเงียบเชียบในเรือนหลังจะไม่ดีพอ?ไม่ต้องพูดถึงการเดินเท้าในป่ารกครึ้มตอนกลางคืนเช่นนี้ กับแค่การออกนอกจวน นางยังได้ทำนับครั้งได้ด้วยซ้ำ"แต่ข้าจะไม่ตาย...ต้องไม่ตาย..." นางพร่ำบอกตัวเองน้ำเสียงแหบพร่า พยายามเค้นสมองนึกให้ออกว่าสรรพตำราที่เคยอ่านมาทั้งหมดและท่านอาจารย์ผู้ชราทั้งสองของตนเคยกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับป่าและการหาทิศเอาไว้อย่างไรดาว...พวกคนเดินเรือใช้ดาว...“กลางคืนมีดาว...ถูกแล้ว...ดาว...” นางพยายามตั
กลางดึกอันหนาวเหน็บ เสียงแมลงกลางคืนกรีดร้องผสานเสียงกระแสลมหวีดหวิวผ่านกิ่งไม้สูงฟังแล้วน่าขนลุก เฉินเซียงหรงรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าตนเองโชคดีถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากซัดมาเกยริมตลิ่ง ทว่ายามนี้ร่างกายเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านางจำได้ดี ว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่ตกลงมา มีบุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งดิ่งตัวตามลงมารวบตัวนางไว้ เดาว่าคงไม่พ้นเป็นคนของพี่ชายรอง หรือไม่ก็เป็นคนของ...อนุหาน?เมื่อนึกถึงเรื่องที่เหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นแผนการของอนุหาน นางก็ทั้งผิดหวังเสียใจที่ความปรารถนาดีของนางรวมถึงความใจกว้างที่แล้วๆ มา ที่มีต่อ ‘ท่านแม่ทั้งสาม’ และพี่น้องต่างมารดาในจวนรวมถึงคนของพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเรื่องโง่เง่า และยิ่งกว่าเสียใจที่ไม่เชื่อคำเตือนของน้องชายสาม ทั้งยังโกรธตนเองที่ได้แต่รับการปกป้องจากพี่ซู่ซินของนางเช่นนี้ทว่ายามนี้ไม่อาจย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งใดแล้วทั้งนั้น สิ่งที่นางทำได้มีเพียงการพยายามเอาชีวิตรอดกลับไป...กลับไปเพื่อหยุดยั้งคนเหล่านั้น ไม่ให้แตะต้องพี่ชายและน้องชายร่วมครรภ์มารดาของนาง และเผื่อว่าจะสามารถช่วยเหลือพี่ซู่ซินที่เอาตัวเองเข้าปกป้องนางในเรื่องใดได้บ้างนางจะต้องมีชีวิต
เซียงหรงรีบวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เมื่อมาถึงลานด้านหน้า กลุ่มบ่าวชายที่เฉินจื้อเฉิงสั่งการกลับมายืนดักหน้าไว้ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม“พวกเจ้า...คิดจะทำอะไร!” เซียงหรงตะโกนพลางถอยหลังกรูดคนกลุ่มนั้นหัวเราะเยาะ “ก็แค่ทำให้คุณหนูหลบเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป ยังไงคุณชายรองก็รักใคร่ในตัวท่านมาก ท่านก็สมควรตอบแทนเขาเสียหน่อย”“องครักษ์! ท่านองครักษ์!” เซียงหรงร้องเสียงดังขึ้น อดแปลกใจไม่ได้ที่พวกนางเสียงดังอึกทึกครึกโครมถึงเพียงนี้ กลับไม่มีใครในวัดเยี่ยมหน้าออกมาดูเลยสักนิด“องครักษ์ตระกูลจวิ้นหวัง...พวกเจ้าทำอะไรเขา!”พวกบ่าวรับใช้ต่างหัวเราะครึกครื้น “พวกบ่าวที่ไหนจะทำอะไรยอดฝีมือจากตำหนักจวิ้นหวังท่านนั้นได้...ผู้ที่จัดการกับเขา เดาว่าคงเป็นคนของฟูเหรินกระมัง”ฟูเหรินที่ใด?! เซียงหรงพลันหนังศีรษะชาวาบ “หรือว่า...หมายถึง...อนุหาน...?”“ไม่รู้สิขอรับ สำหรับพวกเราบ่าวรับใช้ ผู้ใดคือฟูเหริน ผู้นั้นก็คือฟูเหริน”เซี