“ไม่พบกันไม่กี่วัน เหตุใดป้าสะใภ้จึงรู้สึกว่าหลานรักของป้าสะใภ้ยิ่งงดงามขึ้นอีกแล้ว” ท่านป้าสะใภ้ของนางกล่าวชม ชมแล้วก็กวาดตามองนางตั้งแต่หัวจดเท้าคำรบหนึ่ง ยิ้มกว้างจนตาหยี “งามจริงๆ นั่นล่ะ...ต้องงดงามถึงเพียงนี้สิ จึงสมควรเรียกว่า ‘โฉมงาม’ ความงามของหรงเอ๋อร์ถอดแบบท่านแม่ของเจ้ามาแทบทุกกระเบียดนิ้ว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่างาม เป็นความงามระดับที่กล่าวได้ว่า ‘เป็นหนึ่งไม่มีสอง ยากจะห้าผู้เทียบเทียมในใต้หล้า’ ”
ถูกผู้อื่นกล่าวพาดพิงถึงมารดาอย่างชื่นชม เซียงหรงดีใจนัก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้นางชอบสนทนากับท่านป้าสะใภ้เป็นที่สุดก็เพราะท่านป้าสะใภ้มักจะกล่าวถึงท่านแม้ผู้ล่วงลับของนาง เล่าเรื่องดีๆ เรื่องนี้เรื่องนั้นให้นางฟังบ่อยๆ เช่นนี้นี่แหละ
เมื่อครั้งที่ท่านแม่จากไป นางยังเล็กนัก นางจึง...จดจำท่านแม่ไม่ใคร่จะได้ ผู้ที่ช่วยถักทอต่อเติมความทรงจำเกี่ยวกับมารดาที่ขาดหายให้นาง ก็คือท่านป้าสะใภ้ที่แสนดีผู้นี้
“ท่านป้าสะใภ้สบายดีนะเจ้าคะ”
ราวกับจะนึกบางเรื่องขึ้นได้ ท่านป้าสะใภ้ของนางจับสองมือของนางขึ้นมากุมไว้ กล่าวด้วยใบหน้าอาบรอยยิ้มลำบากใจ “ก็ไม่ใคร่จะดีนัก...”
คำตอบนี้ทำเอาเฉินเซียงหรงตกใจไม่น้อย ทว่าไม่ทันจะเอ่ยปากถาม ท่านป้าสะใภ้ของนางก็ชิงกล่าวต่อไป
“หรงเอ๋อร์...ระยะนี้ป้าสะใภ้รู้สึกไม่ค่อยจะดีนัก กลางวันมักรู้สึกวิตกกังวล จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กลางคืนก็ฝันร้ายมิได้หยุด ซ้ำยังล้มป่วยชนิดสามวันดีสี่วันไข้ ฝีมือปักผ้าของหรงเอ๋อร์งดงามสมจริงซ้ำยังมองแล้วพาให้จิตใจสงบยิ่งนัก ไม่สู้...หรงเอ๋อร์คนดีช่วยปักผ้าผืนใหญ่ๆ ให้ป้าสะใภ้สักผืน ป้าสะใภ้จะได้เอาไปแขวนไว้มองยามจิตใจฟุ้งซ่านหวาดวิตก เชื่อว่า...หากได้มองผ้าปักอันงดงามของหรงเอ๋อร์ อาการที่ป้าสะใภ้เป็นอยู่นี้จะต้องหายขาดเป็นแน่...”
“ผ้าปักลายหรือเจ้าคะ” นึกถึงผ้าผืนที่ต้องปักให้พี่หญิงใหญ่แล้ว เซียงหรงก็กังวลขึ้นมาทันที
พี่หญิงใหญ่ต้องรีบใช้ผ้าปักภายในสองเดือน ทว่าอาการของท่านป้าสะใภ้ ฟังๆ ดูแล้วก็เหมือนจะเป็นไข้ใจ หากไม่รีบช่วยรักษาเยียวยาจิตใจ เกรงว่าอีกหน่อยท่านป้าสะใภ้ของนางคงไม่แคล้วต้องเป็นเช่นท่านย่าของนางในอดีตแล้ว...
เอาเถิด...เช่นนั้นก็ปักให้ท่านป้าสะใภ้ก่อน จากนั้นค่อยปักให้พี่หญิงใหญ่
ได้ยินมาว่าพี่หญิงรองที่ถึงวัยเข้าประชันขันแข่งเช่นเดียวกับพี่หญิงใหญ่เลือกใช้ภาพวาดและบทกวี อีกทั้ง...หากสตรีจากตระกูลเดียวกัน ส่งผ้าปักลายเข้าคัดเลือกเพื่อเข้าแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งโฉมงามยอดเมธีปีเดียวกัน ก็คงดูไม่ใคร่จะดีนัก เชื่อว่าพี่หญิงรองที่เชี่ยวชาญการวาดภาพและโคลงกลอนเช่นเดียวกับอนุจางคงไม่มาขอให้นางช่วยปักผ้าให้อีกผู้หนึ่งเป็นแน่ เช่นนี้แล้ว...เหตุใดนางจะรับปากท่านป้าสะใภ้มิได้?
เมื่อสมัยเจ็ดแปดขวบ ปักผ้าสามผืนในสามเดือนนางยังทำมาแล้ว ยามนี้อายุสิบห้าย่างเข้าสิบหก ฝีมือปักผ้าของนางรุดหน้าไม่น้อย นางไม่เชื่อว่าเวลาสองเดือนจะไม่พอให้นางปักผ้าให้ท่านป้าสะใภ้และพี่หญิงใหญ่ของตนเอง
“ได้สิเจ้าคะ” เซียงหรงแย้มยิ้ม “ประเดี๋ยวหรงเอ๋อร์จะปักภาพทิวทัศน์อันงดงามที่มองแล้วสบายตาให้ท่านป้าสะใภ้ดีหรือไม่”
“ดีทีเดียว” จวิ้นหวังเฟยตอบ “ป้าสะใภ้ยังอยากให้มีความหมายอันมงคลแฝงไว้ด้วยอีกอย่าง จะได้ช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งอัปมงคลทั้งมวลออกไปได้ในคราวเดียวกัน”
ภาพที่มองแล้วรู้สึกได้ถึงความสงบ เย็นตา ทั้งยังมีความหมายอันมงคล สามารถปัดเป่าสิ่งอัปมงคล?
นางนึกภาพลายปักเช่นนั้นไม่ออกเลยจริงๆ
ทว่า...ดูจากสายตาคาดหวังของท่านป้าสะใภ้ หากไม่ได้ผ้าปักดังที่ว่า ท่านป้าสะใภ้คงต้องผิดหวังแน่แล้ว...
“เช่นนั้นหรงเอ๋อร์คงต้องขอเวลาใคร่ครวญสักสองสามวัน เมื่อออกแบบลายปักที่ดีพอได้แล้ว ค่อยให้คนส่งไปให้ท่านป้าดูว่าถูกใจหรือไม่ ดีไหมเจ้าคะ”
“ไม่ต้องส่งไปหรอก” จวิ้นหวังเฟยจากสกุลสวี สวีเซียงเซียง ตบหลังมือเซียงหรงเบาๆ สองสามครั้ง กล่าวเสียงนุ่ม “ป้าสะใภ้ที่ไหนจะไม่เชื่อใจหรงเอ๋อร์ของพวกเรา ไม่ว่าหรงเอ๋อร์คิดอ่านปักผ้าออกมาเป็นลวดลายใด ป้าสะใภ้ก็เชื่อว่าผ้าปักฝีมือหรงเอ๋อร์ผืนนั้นจะต้องงดงามหมดจดซ้ำยังแฝงไว้ด้วยความหมายอันเป็นมงคล มองแล้วรู้สึกสบายตา สบายใจ เป็นผ้าปักที่เพียงเห็นก็รู้สึกได้ว่าจะสามารถช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งอัปมงคลออกไปจากรอบกายผู้เป็นเจ้าของครอบครองผ้าปักผืนนั้น”
เซียงหรงฟังแล้วยิ่งกว่าเก้อกระดาก ได้แต่ตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“ท่านป้าสะใภ้ชมหรงเอ๋อร์เกินไปแล้ว หรงเอ๋อร์ที่ไหนจะเก่งกาจถึงเพียงนั้น...”
“อา...ดูเจ้าสิ หรงเอ๋อร์ของข้าเหตุใดจึงน่ารักน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้!” ท่านป้าสะใภ้จากสกุลสวีของนางหัวเราะเบาๆ ยิ้มไม่หุบ ดูชอบอกชอบใจเป็นอย่างยิ่ง
“จริงสิ” ราวกับจะนึกอีกเรื่องขึ้นได้ ท่านป้าสะใภ้ของนางลดเสียงลง ถามอย่างระมัดระวัง “พี่ชายรองของเจ้า...ได้ข่าวว่าไปเมามายก่อเรื่องอยู่ข้างนอก คนผู้นั้นเพียงพลาดหวังจากการสอบจิ้นซื่อก็ถึงกับขาดสติ เที่ยวดื่มเหล้าจนเมามายแล้วโวยวาย ด่ากราด อาละวาดไปทั่ว ยามอยู่ในจวนเขาเป็นเช่นนี้หรือไม่?”
ความหมายของป้าสะใภ้ เซียงหรงเข้าใจดี ที่ท่านป้าสะใภ้ต้องการจะถามก็คือ พี่ชายรอง เฉินจื้อเฉิง ได้สร้างความลำบากใดใดให้น้องสาวต่างมารดาอย่างนางหรือไม่
“พี่ชายรอง แม้ระยะนี้ถูกสั่งห้ามออกนอกจวน จึงมักขลุกตัวดื่มสุราจนเมามาย ก็เพียงเมามายอยู่ในเรือน ไม่เคยก้าวขาออกจากเรือนของตนเองเลยสักก้าวเจ้าค่ะ เชื่อว่า...ไม่นานพี่ชายรองคงจะค่อยๆ คลายทุกข์ กลับมาเป็นพี่รองที่สุภาพสำรวมดังเดิม...”
ผู้เป็นป้าสะใภ้ระบายลมหายใจยาว ดูโล่งอก “เป็นเช่นนั้นได้ก็ดี...หรงเอ๋อร์ก็อย่าได้เข้าใกล้เรือนของคุณชายรองเป็นอันขาด คนกำลังเมาสุรา สิ่งไม่ดีใดก็สามารถกระทำได้ทั้งนั้น เข้าใจหรือไม่”
“ท่านป้าสะใภ้โปรดวางใจ พี่จื้อเฉิงไม่เคยทำร้ายหรงเอ๋อร์เลยสักครั้ง แม้แต่ดุด่าว่ากล่าวสักครึ่งคำก็ยังไม่เคยทำ อันที่จริง พี่จื้อเฉิงดีต่อหรงเอ๋อร์เป็นอย่างยิ่ง ยามมีขนมรสเลิศ ยามพบเจอเครื่องประดับอันงดงามสะดุดตา ยามพบเจอข้าวของแปลกๆ จากที่ใด ก็มักจะนำมาให้หรงเอ๋อร์อยู่เสมอ ทั้งยังใส่ใจคอยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ เรื่องที่จะอาละวาดด่าทอทุบตีนั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอนเจ้าค่ะ”
“หรงเอ๋อร์...” จวิ้นหวังเฟยจากสกุลสวีคล้ายอยากพูดบางอย่าง ทว่าไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี สุดท้ายก็ได้แต่ทอดถอนใจอีกครา “เอาเถิด เป็นเช่นนั้นได้ก็ดี...จะอย่างไรก็เชื่อฟังป้าสะใภ้ อย่าเข้าใกล้คนเมาก็แล้วกัน” มองดวงตาซื่อใสไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับผู้ใดทั้งนั้นของเด็กสาวตรงหน้าแล้ว ดวงตาผู้เป็นป้าสะใภ้ก็ยิ่งฉายแววอัดอั้นตันใจ ทั้งยังวิตกกังวลใจยิ่งนัก
เฉินเซียงหรงยืนอยู่กลางลานแข่งขันด้วยชุดผ้าไหมสีฟ้าปักลายดอกเหมยละเอียดอ่อน ดวงหน้าของนางสงบนิ่ง ทว่าดวงตาคู่งามเปล่งประกายแห่งสมาธิและความมั่นใจเบื้องหน้านางยามนี้มีม้วนกระดาษเซวียนจื่อที่ถูกจับขึงตั้งฉากกับพื้น แขวนไว้ด้วยเส้นเชือกเกลียวทองอันบางเบา ซ้ายมือมีโต๊ะที่ตั้งฉินเอาไว้สายลมพัดดอกเหมยพร่างพรู เซียงหรงยกพู่กันขึ้นด้วยมือขวา พลันปลายนิ้วของมือซ้ายก็เริ่มดีดสายพิณ เพลงที่บรรเลงเป็นทำนองที่รื่นหู ทว่ามีความลึกล้ำคล้ายสะท้อนธรรมชาติ ดั่งสายลมที่พัดผ่านเหล่าดอกเหมยบนภูเขาหิมะปลายพู่กันตวัดไปตามเสียงพิณราวกับเป็นส่วนหนึ่งของท่วงทำนอง นางก้าวขยับไปมาอย่างพลิ้วไหว อาภรณ์ปลิวตามลมเบา ๆ มือหนึ่งดีดฉินคลอคล้ายบอกเล่าเรื่องราวของสายลมและสายฝน อีกมือลากปลายพู่กันสร้างเส้นสายของภาพบนกระดาษ ขณะดีดพิณ นางหมุนตัว ตวัดพู่กันเป็นเส้นโค้งที่งดงามราวกวางน้อยกำลังโลดแล่นในหุบเขาภาพบนกระดาษเซวียนจื่อเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นภาพของดอกเหมยยืนต้นท่ามกลางหิมะโปรยปรายภาพนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความงดงามของธรรมชาติ แต่ยังเปี่ยมด้วยความหมายลึกซึ้ง เหมือนบอกเล่าถึงจิตใจของ
เสียงกระซิบเหล่านั้นลอยไปถึงหูนางกำนัลของหวงโฮ่วที่อยู่ไม่ไกลจากฝูงชนนางกำนัลเห็นสายตาที่หวงโฮ่วมองไปยังคุณหนูสาม เฉินเซียงหรง ซึ่งยามนี้ยืนรับคำชื่นชมจากทุกทิศทาง ก็รีบปราดเข้าไปกระซิบกระซาบรายงานทันทีฉับพลัน ตาหงส์ที่สงบไว้สง่าของสวีหวงโฮ่วฉายแววชื่นชมประสมยินดีสตรีเก่งกาจและมีนิสัยสงบเสงี่ยม จิตใจมั่นคง ไม่อวดอ้างตน ไม่หวั่นไหวต่อลมปากผู้คน และที่สำคัญ...แม้จะสูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเยาว์ บิดาไม่ได้ทะนุถนอมปกป้อง แต่ยังคงมีความอดทน สามารถเติบโตขึ้นมาได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากในจวนเฉินกั๋วกง ซ้ำยังมีความสามารถเลิศล้ำเช่นนี้ ย่อมเป็นยอดหญิงที่หาได้ยาก โบราณว่า ‘ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปื้อนดำ’ หากองค์ชายได้อภิเษกกับสตรีเช่นนี้ นอกจากจะทำให้มีเรือนหลังที่มั่นคงแล้ว ยังจะช่วยส่งเสริมจิตใจให้มีความมุ่งมั่นและมั่นคงมากขึ้น ช่วยให้องค์ชายสามารถรับภาระในอนาคตและความท้าทายในราชวงศ์ได้อย่างมั่นใจความคิดเหล่านี้เริ่มซึมซาบเข้าสู่จิตใจของพระนางถูกแล้ว...บุตรสาวของเฉินกั๋วกงที่เกิด
ในการแข่งขันรอบที่ห้า อุปกรณ์เขียนอักษรของผู้เข้าแข่งขันล้วนถูกยกออกไปทั้งหมด คงเหลือเพียงโต๊ะและม้านั่งสูงเพื่อให้โฉมสะคราญทั้งหลายได้บรรเลงเจิงเท่านั้นในรอบนี้นักพนันหลายคนต่างลงพนันเอาไว้ว่าคุณหนูใหญ่จวนเฉินกั๋วกง เฉินชิวเยว่ ที่เป็นโฉมงามผู้เป็นยอดฝีมือในการบรรเลงเจิงจะต้องคว้าอันดับหนึ่งในการแข่งขันมาได้อย่างแน่นอน แม้แต่ตัวเฉินชิวเยว่เองก็เชื่อเช่นนั้นโดยสนิทใจกระทั่งถึงคราวที่เฉินเซียงหรงต้องแสดงฝีมือ เพียงเสียงดนตรีจากเจิงของนางดังขึ้นท่อนเดียวเท่านั้น บรรยากาศในสวนชิงหลิงอันกว้างใหญ่ราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ กระทั่งผู้ที่ไม่ได้รู้ถึงสำเนียงดนตรีลึกซึ้งสักเท่าใด ยังถูกท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้ต้องนิ่งฟัง“นี่มัน...” อาจารย์สอนเจิงผมขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งกาลเวลาผู้หนึ่งเบิกตาโพลง ริมฝีปากอ้าค้างด้วยความตื่นตะลึง “ลำนำเฉียนฉิน!”“ท่านอย่าได้พร่ำเพ้อถึงเพียงนี้เลย” คนอื่นๆ ที่ได้ยินหัวเราะเบาๆ “ลำนำเฉียนฉินหรือ ผู้ใดจะกล้าบรรเลงเพลงนี้ ทั้งความยากของการดีด ทั้งการตีความที่ต้องลุ่มลึก ทั้งยังต้องถ่
“ท่านเป็นใครกัน” ฟูเหรินที่เริ่มเรื่องถามอย่างหวั่นๆนั่นสิ! ท่านเป็นใคร! เซียงหรงเองก็อยากรู้เช่นกันราวกับตอบคำถามของนาง ผู้อ้างตัวเป็นคู่หมั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด รอยยิ้มบนริมฝีปากเหี้ยมเกรียมขับให้ใบหน้าคมเข้มดูโหดเหี้ยมยิ่งกว่าใบหน้าโจรภูเขาที่ถูกปราบเมื่อเดือนก่อนด้วยซ้ำ“จวิ้นหวังจ๋างจื่อเพียงหนึ่งเดียวของเทียนจิน หลี่จือหลิน!”พี่ชายจวิ้นหวังจ๋างจื่อ! เซียงหรงเกือบจะตกใจจนทำพู่กันหลุดมือไปแล้ว ใช่เขาจริงๆ หรือ! ไม่...ไม่ถูก ต่อให้ไม่ใช่เขา แต่เล่นประกาศเสียขนาดนี้ หากท่านลุงกับท่านป้าสะใภ้คิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา แล้วนางจะเอาเหตุผลใดไปบ่ายเบี่ยงกันเล่า! เซียงหรงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ได้แต่เขียนอักษรต่อไปด้วยใจหดหู่บรรดาผู้คนที่พูดนินทาต่างอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกหลี่จือหลินไม่ได้รอให้ใครกล่าวอะไรอีก เขาโบกมือสั่งให้องครักษ์ที่แต่งกายเรียบง่ายดุจเดียวกันอยู่จัดการเรื่องการพนันขันต่อแทนตน แล้วเดินไปยังที่นั่งข้างมารดา ท่าทางสนิทส
โฉมสะคราญต่างทำหน้าที่ของตนในการประชันฝีมือ แต่ผู้มาเฝ้าชมด้านข้างกลับเริ่มประชันคำพูดกันขึ้นมาแล้ว เสียงซุบซิบนินทาจากกลุ่มคนในมุมหนึ่งของสวนชิงหลิงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ“...ช่างน่าอดสูนัก...” ฟูเหรินผู้หนึ่งเอ่ยคล้ายพึมพำกับตนเอง “ไม่ใช่ว่าหลายปีก่อนในงานเทศกาลหยวนเซียว คุณหนูสามถูกคนแปลกหน้าลักพาตัวไป…ย่ำยี…” ราวกับลืมตัว ยิ่งพูดเสียงของฟูเหรินวัยกลางคนก็ยิ่งชัดถ้อยชัดคำขึ้นเรื่อยๆ จนฟังชัดถนัดหู ทำเอาคนอื่นๆ เริ่มหันมามองบุรุษอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลหัวเราะเบาๆ แล้วเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น ข้าจำได้แม่น คุณหนูสามที่ยังเยาว์ถูกบุรุษอุ้มร่างไร้สติไปทิ้งไว้หน้าจวนเฉินกั๋วกง พวกเขาบอกว่านางถูกย่ำยีจนไร้ค่าตั้งแต่นั้นมา”“นางมาทำไมกัน? ข่าวลือของนาง... เป็นข้าคงอับอายจนไม่อาจเงยหน้าอวดใครได้อีก”“ดูเถิด ต่อให้นางจะงดงามหรือมีฝีมือเพียงใด ชื่อเสียงเช่นนั้นย่อมไม่มีตระกูลใดต้องการหรอก”คำพูดเหล่านั้นพร้อมเสียงหัวเราะเยาะแผ่วจางแว่วมาให้ได้ยิน เ
เสียงฆ้องเบาๆ ดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งขัน หัวข้อในการประชันความสามารถรอบที่สี่ถูกประกาศโดยเหล่าผู้ทรงคุณวุฒิที่นั่งอยู่ในศาลากลางลาน"สายลมฤดูใบไม้ผลิพลิ้วพัด บุปผานับพันผลิบาน"กลายเป็นว่าในรอบที่สี่ สาวงามทั้งหมดจะต้องแต่งบทกวีจากหัวข้อที่กำหนดให้นี้ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงสามารถเริ่ม ‘คัดอักษร’ ตามคำสั่งที่จะได้รับในภายหลัง ทั้งหมดนี้กำหนดให้ใช้เวลาไม่เกินสองก้านธูปเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันจึงพยายามเพ่งสมาธิ ขยับพู่กันจรดลงบนกระดาษ เซียงหรงเองก็เป็นผู้หนึ่ง ที่เริ่มลงมือบรรจงเขียนด้วยท่วงท่าสง่างาม"บุปผาร่วงโรยใต้เงาจันทร์ น้ำค้างหล่นราวน้ำตาผู้คนเฉกเช่นสกุณารำพัน ถึงเมฆางดงามไร้ผู้ยลหยกงามอาจหักด้วยกำลัง สัตย์จริงถูกบิดเบือนด้วยเล่ห์กล"เห็นคุณหนูสามจวนเฉินกั๋วกงแต่งบทกวีได้เร็วนัก เหล่าผู้ใคร่รู้ต่างอดใจไม่ไหว ลุกขึ้นยืน ชะเง้อมองมีบางคนเริ่มกระซิบกระซาบ“ถ้อยคำของนาง...ช่างลึกซึ้งและงดงาม”&