ถัดจากส่งสินสอดให้เจ้าสาว ก็คือพิธีหมั้นหมาย
เพื่อให้ผู้คนเห็นว่าแม้จวนเฉินกั๋วกงจะเกิดเรื่อง ก็ไม่ได้กระทบถึงสถานะของว่าที่เจ้าสาวและความสัมพันธ์อันดีระหว่างตำหนักจวิ้นหวังกับจวนตระกูลเฉิน หลังจากแบกเรื่องทุกข์ใจนี้เข้าวังไปขอพระราชทานคำแนะนำจากฝ่าบาทเป็นนัยว่าจะขอพระราชทานอนุญาต และฝ่าบาทก็พระราชทานคำแนะนำให้ “จัดงานเลี้ยงรับขวัญว่าที่ลูกสะใภ้ให้ยิ่งใหญ่สักหน่อย” สมใจ ทั้งยังมอบอักษรภาพมงคล ‘ฝู’ ที่สื่อถึงมิ่งมงคลและความสุขมาให้ จวิ้นหวังก็มอบหมายให้จวิ้นหวังเฟยจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองการหมั้นหมายใหญ่โต ทั้งยังทำบุญแจกทานให้เหล่าคนยากไร้
เมื่อเห็นว่าตำหนักจวิ้นหวังทั้งยิ่งใหญ่มั่งคั่งและได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเพียงใด ในวันยกน้ำชาหมั้นหมาย คนมากมายแม้ไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงก็ยังส่งพ่อบ้านและคนสนิทให้นำของขวัญและคำอวยพรมามอบให้ ด้านหน้าตำหนักจวิ้นหวังเถี่ยเม่าจื่อทิศบูรพามีผู้คนหลั่งไหลมาร่วมแสดงความยินดีมืดฟ้ามัวดิน
หลังจากพิธีหมั้นหมายอันยิ่งใหญ่เป็นที่ประจักษ์ หลี่จือหลินก็ไม่คิดถอยห่างจากเฉินเซียงหรงแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับบุกมาหานางทุกวัน พร้อมของขวัญที่มักอ้างว่า "เพื่อให้เจ้าดีใจ" จนเฉินเซียงหรงอดคิดไม่ได้ว่า เห็นทีวาสนาในชีวิตสงบสุขของนางคงหมดไปพร้อมกับชื่อเสียง ‘ว่าที่ภรรยาของจวิ้นหวังจ๋างจื่อ’
นางหันไปหาเหล่าผู้ใหญ่ในจวน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ พี่ชายใหญ่ และแม้กระทั่งป้าเหลียงกับพี่ซู่ซินสาวใช้คนสนิทที่เหลืออยู่ของนาง แต่คนเหล่านั้นกลับเปิดประตูต้อนรับทายาทจวิ้นหวังด้วยท่าทียินดีเสียเต็มประดา
"เขาเป็นคนฉลาด ทรงเกียรติ เก่งกล้าสามารถ ซ้ำยังเป็นที่ไว้วางพระทัยของฝ่าบาท” เฉินกั๋วกงกล่าวอย่างภูมิใจ "เจ้าโชคดีแล้วหรงเอ๋อร์ ใครบ้างจะมีว่าที่สามีที่ทั้งเก่งกาจและมีอนาคตรุ่งโรจน์เช่นนี้?"
เซียงหรงได้แต่กัดริมฝีปากตนเอง ข่มความหงุดหงิดที่อัดแน่น
"อนาคตรุ่งโรจน์หรือ? รุ่งโรจน์ของเขา แต่ข้าจะกลายเป็นหญิงที่ถูกหลอกกินเต้าหู้ทุกวันต่างหาก!"
ไม่ใช่แค่หลอกล่อ แม้แต่ราชโองการยังคุ้มครองเขาจนถึงสามรุ่น! ฝ่าบาทโปรดปราน ไท่โฮ่วก็ยิ่งโอ๋ เพราะมาจากสกุลสวี สกุลเดียวกันกับมารดาของเขา แล้วตัวนางเล่าจะเอาอะไรไปสู้?
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ความสงบในใจนางต้องมาถูกทำลาย
“หรงเอ๋อร์...” เพียงได้ยินเสียง เซียงหรงก็จำได้แล้วว่าเป็นใคร
ซู่ซินมองสีหน้าเอือมระอาของคุณหนูสามแล้วพลันยิ้มขัน “คุณหนูเจ้าคะ...”
“พี่ซู่ซิน...หยุดพูด” เซียงหรงปรายตามองอีกฝ่ายอย่างดุๆ
เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าสาวใช้ของตัวเองถูกบุรุษผู้นั้นซื้อตัวไปนานแล้ว
แน่ล่ะ นอกจากของกำนัลที่เขานำมาให้นาง บางครั้งเขาก็เอาขนมเล็กๆ น้อยๆ มาเผื่อแผ่ซู่ซินด้วย แม้ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องทำถึงเพียงนั้น แต่เขาก็ยังคงมีน้ำใจคิดเผื่อแผ่แม้แต่บ่าวไพร่ของนาง จนซู่ซินเกือบจะนับถือเขาเสมอไต้ซือในวัดถานเจ้อ วัดที่ใหญ่โตที่สุดในเมืองหลวงเลยด้วยซ้ำ
“มีคุณชายที่ไหนจะใจดีกับบ่าวไพร่เช่นนี้บ้างล่ะเจ้าคะ” ซู่ซินเคยบอกนางเช่นนี้ “จวิ้นหวังจ๋างจื่อบอกว่า เขาอยากให้ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจรับใช้คุณหนู และเขาก็รู้สึกขอบคุณที่ข้าดูแลคุณหนูมาเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงอยากแสดงน้ำใจแก่ข้าบ้าง คุณหนูดูเอาเถิด บุรุษแสนดีเช่นนี้ ท่านก็ยังตั้งท่ารังเกียจเขาได้”
ซู่ซินไม่รู้ตัวเลยสักนิด บ่าวประจำตัวของหลี่จือหลินมองนางที่เคยได้รับรอยยิ้มและขนมเล็กๆ น้อยๆ จากจวิ้นหวังจ๋างจื่อแล้ว แทบอยากจะวิ่งไปกระโดดบ่อน้ำตายด้วยความน้อยใจ
มีอย่างรึ รับใช้มาตั้งนานมีแต่สีหน้าเย็นชาให้เห็นไม่เว้นวัน แต่รับใช้สตรีที่เจ้านายพึงใจ กลับได้ทั้งรางวัลทั้งรอยยิ้ม
ช่างน่าน้อยใจนัก!
เซียงหรงมองชายแปลกหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แม้จะรู้สึกหวาดระแวงอยู่ลึกๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายร่างใหญ่ชุดดำสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าผู้นี้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ช่วยนาง...ทั้งในตอนที่นางเสี่ยงชีวิตกระโดดลงมาจากหน้าผาสูงชัน และตอนนี้สายตาของเฉินเซียงหรงกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้งกระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะถูกปล่อยทิ้งร้างมานานแล้ว โต๊ะไม้ที่วางตะเกียงอยู่มีรอยถลอกลึก มุมหนึ่งของผนังมีช่องโหว่ที่ลมพัดผ่านเข้ามาได้ ดังนั้น นอกจากกลิ่นสาบภายในกระท่อมแล้ว ยามนี้นางได้กลิ่นสนเขาอ่อนๆ ลอยมากับสายลมนางเริ่มรู้สึกถึงความเย็นของกระแสลมที่กัดกินเนื้อหนัง“ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้จนวันตาย...ข้าจำได้ว่าคล้ายจะเห็นท่านพลิ้วตัวมารับร่างข้าไว้ก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำ ท่านเป็นจอมยุทธ์ใช่หรือไม่ จึงสามารถช่วยข้าไว้ได้เช่นนี้” นางถาม น้ำเสียงเจือความขอบคุณเขาไม่ตอบไม่เพียงไม่ตอบ ยังเบนสายตาไปทางอื่นด้วยซ้ำดวงตาที่มองลอดหน้ากากนั้นยังคงนิ่งลึกท่าทางเช่นนี้...ดูๆ ไปแล้ว ก็คล้ายองครักษ์ที่รับหน้าที่ติดตามคุ้มกันนางเช่นกันหรือว่า...นางอดถามไม่ได้ “ท่านคือองครักษ์จากตำหนักจวิ้นหวังที่คอยติดตามคุ้มกันข้าหรือ?”“ไม่ใช
ยามเมื่อเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมผ่านผิวกาย แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันเล็กๆ บนโต๊ะไม้ส่องประกายริบหรี่สะท้อนเงามืดบนผนังไม้ที่แตกร้าวราวกับภาพเขียนที่น่าขนลุกภาพหนึ่ง รอบตัวนางในยามนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกระท่อมเก่าคร่ำคร่า“ท่านแม่...” นางยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดมารดาด้วยซ้ำทว่า... เพียงฝันไปหรอกหรือ?“ที่นี่ที่ไหน...” นางพึมพำแผ่วเบา รู้สึกร้าวระบมไปทั่วทั้งตัว เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเสื่อเก่าขาด มีหมอนสีดำสนิทที่คล้ายจะทำขึ้นมาด้วยการเอาเสื้อคลุมเปียกๆ ตัวหนึ่งมาหุ้มฟางรองศีรษะ กลิ่นอับของไม้ผุและฝุ่นทำให้นางแสบจมูกจนแทบทนไม่ไหวดวงตาของนางเลื่อนไปหยุดที่ร่างของชายคนหนึ่ง เขาสวมชุดสีดำทั้งตัว ใบหน้าครึ่งบนกว่าแปดส่วน[1]ถูกปกปิดด้วยหน้ากากโลหะรูปพยัคฆ์ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคมดุสะท้อนแสงไฟสลัวเหมือนตาของสัตว์ร้ายเซียงหรงสะดุ้งเล็กน้อย ความหวาดกลัวไหลย้อนกลับมาบีบรัดหัวใจของนางไว้แน่นเสื้อคลุมที่ใช้ทำเป็นหมอนยังคงเปียกชุ่ม เสื้อผ้าผมเพ้าของคนผู้นี้เองก็ไม่ต่างกัน...สังเกตได้เท่านี้เฉินเซียงหรงก็ห
ยามนี้ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับไร้โลหิต ริมฝีปากที่เคยอิ่มงามและชุ่มชื้นแตกแห้งและสั่นระริกเพราะความหนาว กระแสลมหนาวเหน็บพัดเส้นผมที่ยาวสยายไร้ระเบียบของนางไปติดแก้ม บดบังทัศนวิสัยส่วนหนึ่ง นางพยายามจะยกมือขึ้นปัดมันออก แต่กลับแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วสักนิดต้องหาที่หลบ...ก่อนที่คนร่างสูงนั่นกับคนพวกนั้นจะตามมาเจอ...ยามนี้มีเพียงความคิดเหล่านี้เท่านั้นวนเวียนในหัวนาง นางพยายามเร่งฝีเท้าทั้งที่ร่างกายบอบช้ำจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้วด้วยซ้ำต้องไปต่อ...ต้องรอด...ต้องไม่ตาย...พี่ซู่ซิน...พี่ใหญ่...น้องเล็ก...จะต้อง...กลับไปให้ได้...ฝ่ามือเล็กๆ ของนางกำหมัดแน่น สันกรามของนางขบกันจนปวดแปลบเพื่ออดทนกับความเจ็บปวด ดวงตาคู่หวานที่เคยทอประกายสดใสในยามปกติ บัดนี้เต็มไปด้วยแววหวาดหวั่นผสมความดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ แต่ยิ่งเดินเท่าไหร่ ผืนป่าก็ยิ่งมืดลงราวกับว่านางเลือกเส้นทางผิดพลาดราวกับว่า...ป่าแห่งนี้กำลังค่อยๆ กลืนกินนาง...เซียงหรงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังบีบรัดนางให้แหลกสลาย สองหูได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองที่หนักหน่วงขึ้นทุกทีนางพยายามกัดฟันเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ร่างกายก็ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไ
แต่ทุกสิ่งรอบตัวกลับไม่ช่วยให้นางมีหวังต้นไม้สูงใหญ่ที่ล้อมรอบนางดูเหมือนเงาดำมืดที่คอยซุ่มมอง ยามนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงป่ารกครึ้มที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตราวกับว่านางเดินพลัดหลงเข้ามาในโลกของภูติผีในเรื่องเล่า มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนที่พอจะฟังคุ้นหูและเสียงน้ำไหลเบาๆ จากที่ไกลๆ ที่บอกให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิตเซียงหรงก้าวขาเดินโซซัดโซเซ สะดุดล้มไปกับพื้นก็หลายครั้ง แขนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยรอยข่วนจากกิ่งไม้ใบหญ้าพยายามยันตัวลุกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาที่พร่ามัวลงทุกขณะคอยมองหาที่หลบภัยโดยสัญชาตญาณ แต่ก็พบเพียงความมืดดำว่างเปล่าหรือสัญชาตญาณของสตรีที่เอาแต่เก็บตัวเงียบเชียบในเรือนหลังจะไม่ดีพอ?ไม่ต้องพูดถึงการเดินเท้าในป่ารกครึ้มตอนกลางคืนเช่นนี้ กับแค่การออกนอกจวน นางยังได้ทำนับครั้งได้ด้วยซ้ำ"แต่ข้าจะไม่ตาย...ต้องไม่ตาย..." นางพร่ำบอกตัวเองน้ำเสียงแหบพร่า พยายามเค้นสมองนึกให้ออกว่าสรรพตำราที่เคยอ่านมาทั้งหมดและท่านอาจารย์ผู้ชราทั้งสองของตนเคยกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับป่าและการหาทิศเอาไว้อย่างไรดาว...พวกคนเดินเรือใช้ดาว...“กลางคืนมีดาว...ถูกแล้ว...ดาว...” นางพยายามตั
กลางดึกอันหนาวเหน็บ เสียงแมลงกลางคืนกรีดร้องผสานเสียงกระแสลมหวีดหวิวผ่านกิ่งไม้สูงฟังแล้วน่าขนลุก เฉินเซียงหรงรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าตนเองโชคดีถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากซัดมาเกยริมตลิ่ง ทว่ายามนี้ร่างกายเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านางจำได้ดี ว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่ตกลงมา มีบุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งดิ่งตัวตามลงมารวบตัวนางไว้ เดาว่าคงไม่พ้นเป็นคนของพี่ชายรอง หรือไม่ก็เป็นคนของ...อนุหาน?เมื่อนึกถึงเรื่องที่เหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นแผนการของอนุหาน นางก็ทั้งผิดหวังเสียใจที่ความปรารถนาดีของนางรวมถึงความใจกว้างที่แล้วๆ มา ที่มีต่อ ‘ท่านแม่ทั้งสาม’ และพี่น้องต่างมารดาในจวนรวมถึงคนของพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเรื่องโง่เง่า และยิ่งกว่าเสียใจที่ไม่เชื่อคำเตือนของน้องชายสาม ทั้งยังโกรธตนเองที่ได้แต่รับการปกป้องจากพี่ซู่ซินของนางเช่นนี้ทว่ายามนี้ไม่อาจย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งใดแล้วทั้งนั้น สิ่งที่นางทำได้มีเพียงการพยายามเอาชีวิตรอดกลับไป...กลับไปเพื่อหยุดยั้งคนเหล่านั้น ไม่ให้แตะต้องพี่ชายและน้องชายร่วมครรภ์มารดาของนาง และเผื่อว่าจะสามารถช่วยเหลือพี่ซู่ซินที่เอาตัวเองเข้าปกป้องนางในเรื่องใดได้บ้างนางจะต้องมีชีวิต
เซียงหรงรีบวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เมื่อมาถึงลานด้านหน้า กลุ่มบ่าวชายที่เฉินจื้อเฉิงสั่งการกลับมายืนดักหน้าไว้ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม“พวกเจ้า...คิดจะทำอะไร!” เซียงหรงตะโกนพลางถอยหลังกรูดคนกลุ่มนั้นหัวเราะเยาะ “ก็แค่ทำให้คุณหนูหลบเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป ยังไงคุณชายรองก็รักใคร่ในตัวท่านมาก ท่านก็สมควรตอบแทนเขาเสียหน่อย”“องครักษ์! ท่านองครักษ์!” เซียงหรงร้องเสียงดังขึ้น อดแปลกใจไม่ได้ที่พวกนางเสียงดังอึกทึกครึกโครมถึงเพียงนี้ กลับไม่มีใครในวัดเยี่ยมหน้าออกมาดูเลยสักนิด“องครักษ์ตระกูลจวิ้นหวัง...พวกเจ้าทำอะไรเขา!”พวกบ่าวรับใช้ต่างหัวเราะครึกครื้น “พวกบ่าวที่ไหนจะทำอะไรยอดฝีมือจากตำหนักจวิ้นหวังท่านนั้นได้...ผู้ที่จัดการกับเขา เดาว่าคงเป็นคนของฟูเหรินกระมัง”ฟูเหรินที่ใด?! เซียงหรงพลันหนังศีรษะชาวาบ “หรือว่า...หมายถึง...อนุหาน...?”“ไม่รู้สิขอรับ สำหรับพวกเราบ่าวรับใช้ ผู้ใดคือฟูเหริน ผู้นั้นก็คือฟูเหริน”เซี