คืนนั้นทุกอย่างดูเงียบสงัด ลมเย็นยามค่ำพัดผ่านเรือนใหญ่ เหล่าบ่าวไพร่ต่างพากันเข้านอน ทิ้งไว้เพียงแสงจันทร์นวลที่สาดลงมายังหอนอนสำหรับคฤหัสถ์ที่เข้าพักเมื่อเดินทางมาไหว้พระ
วัดถานฝอแม้อยู่ห่างไกลทว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียง ผู้มีตระกูลจึงมักจะแวะเวียนมาไหว้พระขอพรจากที่นี่เป็นประจำ หอนอนที่จัดเตรียมไว้จึงนับว่าสภาพดีและเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นอย่างยิ่ง
เซียงหรงนั่งอยู่ในห้อง อ่านตำราธรรมะที่มีอยู่ในชั้นหนังสือ
นางพยายามสงบจิตใจหลังจากรู้สึกอึดอัดจากสายตาของพี่ชายรองที่คอยจับจ้องในตลอดช่วงเย็น
“อะไรนักหนา...” เซียงหรงพึมพำเบา ๆ ก่อนหยิบถ้วยน้ำชาจวี๋ฮวาขึ้นจิบเพื่อคลายความกังวล
นางพยายามทำใจให้เป็นสมาธิ แต่กลับต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่รีบร้อนดังมาจากด้านนอก ก่อนที่บานประตูจะถูกผลักออกอย่างแรง เผยให้เห็นคุณชายรอง เฉินจื้อเฉิง ที่ใบหน้าขึ้นสีแดงจัด ดวงตาดูราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ในนั้น
“พี่รอง?!” เซียงหรงลุกขึ้นด้วยความตกใจ
คุณชายรอง เฉินจื้อเฉิง มองนางด้วยสายตาเจือความกระวนกระวายและร้อนรุ่ม
“หรงเอ๋อร์...ข้า...ข้าไม่ไหวแล้ว!”
“ท่านพูดอะไรน่ะ! ออกไปนะ!” เซียงหรงรีบถอยหนี แต่เฉินจื้อเฉิงกลับพุ่งเข้ามาอย่างกระชั้นชิด ท่าทางคลั่งไคล้ไร้สติโดยสิ้นเชิง
หลังจากทานมื้อเย็นร่วมกันแล้ว เฉินจื้อเฉิงก็นั่งดื่มอยู่ผู้เดียวอย่างอัดอั้น แม้ว่าเขาจะเพียรบอกตนเองกี่ครั้งว่าหรงเอ๋อร์เป็นน้องสาวของเขา แต่อีกใจหนึ่งก็กระซิบกระซาบล่อลวง
น้องสาวเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่มีสิทธิเสียหน่อย
แม้ว่าเขาจะพยายามห้ามใจตนเองมานานหนักหนา แต่ใจที่ซื่อตรงกับตนเองยิ่งนัก ยังคงย้ำเตือนไม่หยุดว่าเขารักนาง
เขาหลงรักน้องสาวของตนเอง
น่าสมเพชชะมัด!
เฉินจื้อเฉิงดื่มไปจอกแล้วจอกเล่า แม้ว่ายามปกติหากดื่มมากถึงเพียงนี้ก็จะต้องหลับใหลไปแล้ว ทว่าตอนนี้ไม่เพียงเขาจะไม่หลับ กลับยิ่งรู้สึกร้อนรุ่มราวกับมีกองไฟนับสิบมาสุมรวมกันอยู่ที่ท้องน้อย
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เห็นว่าบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งที่หานชิงเยว่จัดมาไว้ในขบวนไหว้พระเป็นผู้ผสมยาปลุกกำหนดลงไปในสุราที่เขาดื่ม
หานชิงเยว่ตั้งใจยิงธนูนัดเดียวแต่ได้นกถึงสองตัวใหญ่ๆ นางเกลียดชังเฉินเซียงหรง ซ้ำยังขยะแขยงเฉินจื้อเฉิงที่มีความคิดวิปริตกับน้องสาวของตนเองเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรทั้งหมดนี่ก็เป็นผลดีต่อนาง
หากเฉินจื้อเฉิงรวบหัวรวบหางเซียงหรงได้จริง เพียงนางใช้วิธีเช่นเดิม ค่อยๆ แพร่ข่าวออกไป ไม่นานนักชื่อเสียงของ ‘โฉมงามยอดเมธีที่หวงโฮ่วทรงโปรดปราน’ จะต้องฉาวโฉ่คาวคลุ้งยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เป็นแน่
อีกทั้งบุรุษที่หน้ามืดคว้าเอาน้องสาวของตนเองมาบำบัดความใคร่อย่างเฉินจื้อเฉิง ก็จะไม่อาจเผยอหน้าขึ้นมาเป็นทายาทที่มีสิทธิในการเป็นผู้นำตระกูลอีกด้วย…
ทั้งหมดนี้เฉินจื้อเฉิงไม่รู้ ความคิดของเขายังคงคอยวนเวียนถึงก็แต่โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับน้องสาม กระทั่งครั้งนี้ที่เขาได้อยู่ด้วยกัน ‘ตามลำพัง’ กับนาง โดยที่จะไม่มีผู้ใดมาห้ามปรามไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นทั้งนั้น
ดังนั้น เมื่อความร้อนรุ่มสะสมอยู่ที่กลางลำตัว เฉินจื้อเฉิงจึงรู้แน่ชัด
เขาเติบใหญ่มาถึงเพียงนี้ ย่อมรู้ดีว่าร่างกายตนเองต้องการสิ่งใด แต่ติดที่ว่าตอนนี้ ที่นี่ ไม่มีสตรีใดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว...ยกเว้นน้องสาวกับสาวใช้ของนาง
น้องสาวที่เขาลุ่มหลงมาตลอด
น้องสาว...
ไม่สิ...
หรงเอ๋อร์
หรงเอ๋อร์ของเขา
เฉินจื้อเฉิงโซเซมาถึงเรือนพักฝ่ายหญิง สติที่ยังคงมีอยู่เล็กน้อยไม่ได้หักห้ามใจตนเอง แต่เป็นการหันไปสั่งบ่าวไพร่ของตนมาคอยดูไว้ ไม่ให้หรงเอ๋อร์ของเขาหนีไปได้
ภาพจากที่เขาเห็นทางหน้าต่าง หรงเอ๋อร์กำลังนั่งอ่านหนังสือ เรียวคิ้วบางขมวดมุ่น ตาหงส์คู่งามฉายแวววิตกกังวล...เป็นแววตาที่เขาอยากปัดเป่าออกไปให้นางยิ่งนัก
เฉินจื้อเฉิงครวญคราง
หรงเอ๋อร์...หากแม้ว่าวันนี้ข้าทำถึงเพียงนี้แล้วยังไม่ได้เจ้าอีก...
ไม่! ร่างกายที่รุมร้อนราวกับเป็นไข้ตะโกนกลับดังลั่น เจ้าต้องได้นาง!
เซียงหรงมองชายแปลกหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แม้จะรู้สึกหวาดระแวงอยู่ลึกๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายร่างใหญ่ชุดดำสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าผู้นี้ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ช่วยนาง...ทั้งในตอนที่นางเสี่ยงชีวิตกระโดดลงมาจากหน้าผาสูงชัน และตอนนี้สายตาของเฉินเซียงหรงกวาดมองไปรอบๆ อีกครั้งกระท่อมหลังนี้ดูเหมือนจะถูกปล่อยทิ้งร้างมานานแล้ว โต๊ะไม้ที่วางตะเกียงอยู่มีรอยถลอกลึก มุมหนึ่งของผนังมีช่องโหว่ที่ลมพัดผ่านเข้ามาได้ ดังนั้น นอกจากกลิ่นสาบภายในกระท่อมแล้ว ยามนี้นางได้กลิ่นสนเขาอ่อนๆ ลอยมากับสายลมนางเริ่มรู้สึกถึงความเย็นของกระแสลมที่กัดกินเนื้อหนัง“ข้าจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้จนวันตาย...ข้าจำได้ว่าคล้ายจะเห็นท่านพลิ้วตัวมารับร่างข้าไว้ก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำ ท่านเป็นจอมยุทธ์ใช่หรือไม่ จึงสามารถช่วยข้าไว้ได้เช่นนี้” นางถาม น้ำเสียงเจือความขอบคุณเขาไม่ตอบไม่เพียงไม่ตอบ ยังเบนสายตาไปทางอื่นด้วยซ้ำดวงตาที่มองลอดหน้ากากนั้นยังคงนิ่งลึกท่าทางเช่นนี้...ดูๆ ไปแล้ว ก็คล้ายองครักษ์ที่รับหน้าที่ติดตามคุ้มกันนางเช่นกันหรือว่า...นางอดถามไม่ได้ “ท่านคือองครักษ์จากตำหนักจวิ้นหวังที่คอยติดตามคุ้มกันข้าหรือ?”“ไม่ใช
ยามเมื่อเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แทรกซึมผ่านผิวกาย แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันเล็กๆ บนโต๊ะไม้ส่องประกายริบหรี่สะท้อนเงามืดบนผนังไม้ที่แตกร้าวราวกับภาพเขียนที่น่าขนลุกภาพหนึ่ง รอบตัวนางในยามนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านช่องว่างของกระท่อมเก่าคร่ำคร่า“ท่านแม่...” นางยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดมารดาด้วยซ้ำทว่า... เพียงฝันไปหรอกหรือ?“ที่นี่ที่ไหน...” นางพึมพำแผ่วเบา รู้สึกร้าวระบมไปทั่วทั้งตัว เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเสื่อเก่าขาด มีหมอนสีดำสนิทที่คล้ายจะทำขึ้นมาด้วยการเอาเสื้อคลุมเปียกๆ ตัวหนึ่งมาหุ้มฟางรองศีรษะ กลิ่นอับของไม้ผุและฝุ่นทำให้นางแสบจมูกจนแทบทนไม่ไหวดวงตาของนางเลื่อนไปหยุดที่ร่างของชายคนหนึ่ง เขาสวมชุดสีดำทั้งตัว ใบหน้าครึ่งบนกว่าแปดส่วน[1]ถูกปกปิดด้วยหน้ากากโลหะรูปพยัคฆ์ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคมดุสะท้อนแสงไฟสลัวเหมือนตาของสัตว์ร้ายเซียงหรงสะดุ้งเล็กน้อย ความหวาดกลัวไหลย้อนกลับมาบีบรัดหัวใจของนางไว้แน่นเสื้อคลุมที่ใช้ทำเป็นหมอนยังคงเปียกชุ่ม เสื้อผ้าผมเพ้าของคนผู้นี้เองก็ไม่ต่างกัน...สังเกตได้เท่านี้เฉินเซียงหรงก็ห
ยามนี้ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับไร้โลหิต ริมฝีปากที่เคยอิ่มงามและชุ่มชื้นแตกแห้งและสั่นระริกเพราะความหนาว กระแสลมหนาวเหน็บพัดเส้นผมที่ยาวสยายไร้ระเบียบของนางไปติดแก้ม บดบังทัศนวิสัยส่วนหนึ่ง นางพยายามจะยกมือขึ้นปัดมันออก แต่กลับแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วสักนิดต้องหาที่หลบ...ก่อนที่คนร่างสูงนั่นกับคนพวกนั้นจะตามมาเจอ...ยามนี้มีเพียงความคิดเหล่านี้เท่านั้นวนเวียนในหัวนาง นางพยายามเร่งฝีเท้าทั้งที่ร่างกายบอบช้ำจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้วด้วยซ้ำต้องไปต่อ...ต้องรอด...ต้องไม่ตาย...พี่ซู่ซิน...พี่ใหญ่...น้องเล็ก...จะต้อง...กลับไปให้ได้...ฝ่ามือเล็กๆ ของนางกำหมัดแน่น สันกรามของนางขบกันจนปวดแปลบเพื่ออดทนกับความเจ็บปวด ดวงตาคู่หวานที่เคยทอประกายสดใสในยามปกติ บัดนี้เต็มไปด้วยแววหวาดหวั่นผสมความดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ แต่ยิ่งเดินเท่าไหร่ ผืนป่าก็ยิ่งมืดลงราวกับว่านางเลือกเส้นทางผิดพลาดราวกับว่า...ป่าแห่งนี้กำลังค่อยๆ กลืนกินนาง...เซียงหรงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังบีบรัดนางให้แหลกสลาย สองหูได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองที่หนักหน่วงขึ้นทุกทีนางพยายามกัดฟันเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ร่างกายก็ไม่อาจฝืนได้อีกต่อไ
แต่ทุกสิ่งรอบตัวกลับไม่ช่วยให้นางมีหวังต้นไม้สูงใหญ่ที่ล้อมรอบนางดูเหมือนเงาดำมืดที่คอยซุ่มมอง ยามนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงป่ารกครึ้มที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตราวกับว่านางเดินพลัดหลงเข้ามาในโลกของภูติผีในเรื่องเล่า มีเพียงเสียงแมลงกลางคืนที่พอจะฟังคุ้นหูและเสียงน้ำไหลเบาๆ จากที่ไกลๆ ที่บอกให้รู้ว่านางยังคงมีชีวิตเซียงหรงก้าวขาเดินโซซัดโซเซ สะดุดล้มไปกับพื้นก็หลายครั้ง แขนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยรอยข่วนจากกิ่งไม้ใบหญ้าพยายามยันตัวลุกขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาที่พร่ามัวลงทุกขณะคอยมองหาที่หลบภัยโดยสัญชาตญาณ แต่ก็พบเพียงความมืดดำว่างเปล่าหรือสัญชาตญาณของสตรีที่เอาแต่เก็บตัวเงียบเชียบในเรือนหลังจะไม่ดีพอ?ไม่ต้องพูดถึงการเดินเท้าในป่ารกครึ้มตอนกลางคืนเช่นนี้ กับแค่การออกนอกจวน นางยังได้ทำนับครั้งได้ด้วยซ้ำ"แต่ข้าจะไม่ตาย...ต้องไม่ตาย..." นางพร่ำบอกตัวเองน้ำเสียงแหบพร่า พยายามเค้นสมองนึกให้ออกว่าสรรพตำราที่เคยอ่านมาทั้งหมดและท่านอาจารย์ผู้ชราทั้งสองของตนเคยกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับป่าและการหาทิศเอาไว้อย่างไรดาว...พวกคนเดินเรือใช้ดาว...“กลางคืนมีดาว...ถูกแล้ว...ดาว...” นางพยายามตั
กลางดึกอันหนาวเหน็บ เสียงแมลงกลางคืนกรีดร้องผสานเสียงกระแสลมหวีดหวิวผ่านกิ่งไม้สูงฟังแล้วน่าขนลุก เฉินเซียงหรงรู้สึกตัวขึ้นมาก็พบว่าตนเองโชคดีถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากซัดมาเกยริมตลิ่ง ทว่ายามนี้ร่างกายเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้านางจำได้ดี ว่าก่อนหน้านี้ ตอนที่ตกลงมา มีบุรุษร่างใหญ่ผู้หนึ่งดิ่งตัวตามลงมารวบตัวนางไว้ เดาว่าคงไม่พ้นเป็นคนของพี่ชายรอง หรือไม่ก็เป็นคนของ...อนุหาน?เมื่อนึกถึงเรื่องที่เหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นแผนการของอนุหาน นางก็ทั้งผิดหวังเสียใจที่ความปรารถนาดีของนางรวมถึงความใจกว้างที่แล้วๆ มา ที่มีต่อ ‘ท่านแม่ทั้งสาม’ และพี่น้องต่างมารดาในจวนรวมถึงคนของพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเรื่องโง่เง่า และยิ่งกว่าเสียใจที่ไม่เชื่อคำเตือนของน้องชายสาม ทั้งยังโกรธตนเองที่ได้แต่รับการปกป้องจากพี่ซู่ซินของนางเช่นนี้ทว่ายามนี้ไม่อาจย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งใดแล้วทั้งนั้น สิ่งที่นางทำได้มีเพียงการพยายามเอาชีวิตรอดกลับไป...กลับไปเพื่อหยุดยั้งคนเหล่านั้น ไม่ให้แตะต้องพี่ชายและน้องชายร่วมครรภ์มารดาของนาง และเผื่อว่าจะสามารถช่วยเหลือพี่ซู่ซินที่เอาตัวเองเข้าปกป้องนางในเรื่องใดได้บ้างนางจะต้องมีชีวิต
เซียงหรงรีบวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เมื่อมาถึงลานด้านหน้า กลุ่มบ่าวชายที่เฉินจื้อเฉิงสั่งการกลับมายืนดักหน้าไว้ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม“พวกเจ้า...คิดจะทำอะไร!” เซียงหรงตะโกนพลางถอยหลังกรูดคนกลุ่มนั้นหัวเราะเยาะ “ก็แค่ทำให้คุณหนูหลบเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป ยังไงคุณชายรองก็รักใคร่ในตัวท่านมาก ท่านก็สมควรตอบแทนเขาเสียหน่อย”“องครักษ์! ท่านองครักษ์!” เซียงหรงร้องเสียงดังขึ้น อดแปลกใจไม่ได้ที่พวกนางเสียงดังอึกทึกครึกโครมถึงเพียงนี้ กลับไม่มีใครในวัดเยี่ยมหน้าออกมาดูเลยสักนิด“องครักษ์ตระกูลจวิ้นหวัง...พวกเจ้าทำอะไรเขา!”พวกบ่าวรับใช้ต่างหัวเราะครึกครื้น “พวกบ่าวที่ไหนจะทำอะไรยอดฝีมือจากตำหนักจวิ้นหวังท่านนั้นได้...ผู้ที่จัดการกับเขา เดาว่าคงเป็นคนของฟูเหรินกระมัง”ฟูเหรินที่ใด?! เซียงหรงพลันหนังศีรษะชาวาบ “หรือว่า...หมายถึง...อนุหาน...?”“ไม่รู้สิขอรับ สำหรับพวกเราบ่าวรับใช้ ผู้ใดคือฟูเหริน ผู้นั้นก็คือฟูเหริน”เซี