ณ ชานเมืองผิงทิศทางตะวันออกของแคว้นหนาน ที่นี่ถือว่าเป็นเมืองใหญ่พอสมควร เพราะอยู่ห่างเมืองหลวงแค่เพียงครึ่งวันเท่านั้น ทว่าต้องควบม้ามาจึงจะถึงได้ไวเช่นนี้ หากนั่งรถม้าก็ต้องใช้เวลาเกือบวันจึงจะถึงตัวเมือง
และที่นี่ก็คือบ้านเกิดเมืองนอนของ ‘มู่ตันหยง’ บุตรสาวคนรองของโหราจารย์มู่ซางฉี ทว่ายามนี้นางแต่งให้ฟู่อินโหวไปแล้ว ผู้ที่อาศัยอยู่ในจวนจึงมีแค่น้องสาวคนเล็ก นามว่า ‘มู่ตันหยาง’ ส่วนพี่ชายคนโตนามว่า ‘มู่ตานชุย’ นาน ๆ จึงจะได้กลับมาที เพราะเขาประจำการอยู่ที่ค่ายเสียมากกว่า จึงทำให้น้องสาวคนเล็กอย่างมู่ตันหยางจำต้องพักอาศัยอยู่เพียงลำพัง ไร้ซึ่งญาติพี่น้องคอยอยู่เคียงข้าง ส่วนบิดาก็ต้องประจำอยู่ในวังหลวงตามหน้าที่ แม้มู่ซางฉีจะร้องขอให้นางไปอยู่ด้วย ทว่ามู่ตันหยางกลับไม่พึงปรารถนาที่จะติดตามไป เพราะนางไม่ชอบความวุ่นวายของเมืองหลวง… ยิ่งไปกว่านั้น มู่ตันหยางยังมีหน้าที่ต้องดูแลสำนักคุ้มภัยของท่านปู่ และบริวารนับร้อยที่ยังคงพึ่งใบบุญตระกูลมู่อยู่ นางจึงไม่อาจทอดทิ้งสถานะประมุขสำนักคุ้มภัยนี้ไปได้ ทว่าวันนี้นางจำต้องจากที่นี่ไปแล้ว… “คุณหนู พวกเราขอให้ท่านมีความสุขมาก ๆ นะขอรับ” เสียงอวยพรดังขึ้นทันทีที่หญิงสาวในชุดแดงถูกพาตัวออกมาจากห้อง คนเหล่านี้ล้วนแต่พร้อมใจกันมาส่งผู้เป็นนาย “ข้าฝากทุกคนดูแลที่นี่ให้ดีอย่าลืมที่ข้ากำชับเอาไว้เข้าใจหรือไม่” เสียงออกคำสั่งยังคงเด็ดขาดเช่นเคย “ขอรับ!!” “ไปเถิด ประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์ยาม” เสียงอบอุ่นดังขึ้นข้างกาย จากนั้นเขาก็เดินมาด้านหน้าแล้วย่อตัวลง เจ้าสาวจึงโน้มตัวลงไปหาพร้อมกับโอบรอบคอพี่ชายไว้ “พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากแต่งให้คนผู้นั้น” ร่างสูงชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเสียงเศร้าสร้อยของน้องสาวคนสุดท้อง “น้องเล็ก เราไม่อาจขัดพระประสงค์จากเบื้องบนได้ สกุลมู่คือข้าราชบริพารของราชวงศ์ ฝ่าบาทรับสั่งมาเช่นไร เราก็จำต้องทำตามมิอาจขัดได้” มู่ตานชุยบอกเหตุผล พร้อมกับก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างมั่นคง แม้ในใจจะหวาดหวั่น ตันหยางได้แต่นิ่งเงียบ เพราะสิ่งที่พี่ชายกล่าวมันล้วนแต่จริงทั้งนั้น สตรีสกุลมู่ล้วนแต่ถูกกำหนดคู่ครองเอาไว้แล้ว “ทำไมต้องเป็นข้า ไยเบื้องบนไม่หาหญิงอื่นแต่งกับเขา ข้าคู่ควรเสียที่ไหน” ตันหยางยังบ่นพึมพำข้างหูพี่ชาย “ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว น้องเล็กอย่าลืมว่าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตระกูลมู่คือส่วนหนึ่งของราชวงศ์ เราคือฐานอำนาจที่ฝ่าบาททรงวางเอาไว้จำไม่ได้หรือ” ตานชุยย้ำหน้าที่ให้นางฟังอีกหน เพราะเหมือนน้องสาวเขาจะลืมไปแล้ว แต่เปล่าเลย… ตันหยางนางจำได้ดี ตระกูลมู่คือหมากตัวหนึ่งของราชวงศ์นี้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเลยก็ว่าได้ พี่สาวต้องแต่งให้ฟู่อินโหวก็เพราะคนผู้นี้คือเครือญาติของไทเฮา จากนั้นก็เป็นนางที่ต้องแต่งเข้าวัง เพื่อเสริมรากฐานให้ราชวงศ์นี้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก ด้วยว่าพี่ชายนางคือแม่ทัพภาค และอีกไม่นานคงได้เป็นแม่ทัพใหญ่กุมอำนาจทั้งสี่ทิศ ตามพระประสงค์ของฮ่องเต้และไทเฮาที่ปูทางเอาไว้ หากจะโทษคงต้องโทษที่พวกนางเกิดใหม่ในร่างของสตรีที่ถูกเลือกไว้แล้วกระมัง นึกแล้วตันหยางก็ทอดถอนใจ ‘ทำไมชีวิตตัวประกอบอย่างเรา ถึงได้แต่งกับคนสูงศักดิ์อย่างรัชทายาทกันนะ เห้อ! ชีวิตอันแสนสุขของฉัน จบสิ้นลงแล้วสินะ’ ตันหยางนึกคิดจนเหม่อ กระทั่งเสียงของพี่สาวดังขึ้น “น้องเล็ก เจ้าต้องระมัดระวังนะ อย่าทำอันใดหุนหันพลันแล่นเป็นอันขาด” ตันหยงเอ่ยเตือนอย่างเป็นกังวล เพราะนางรู้ดีว่าน้องสาวมิใช่สตรีที่เพรียบพร้อมเรื่องกิริยามารยาท “ข้ารู้น่าท่านพี่ แล้วท่านพ่อเล่า” “รออยู่ด้านหน้า” ตันหยงเอ่ยบอก พร้อมกับก้าวเดินตามพี่ชายไปจนถึงหน้าประตู ซึ่งมีบิดายืนรอด้วยแววตาสั่นไหว มู่ซางฉีรู้ดีว่าบุตรสาวรักอิสระมาก ทว่าวันนี้นางกลับต้องแต่งให้รัชทายาทและเข้าไปอยู่ในวัง ถูกจำกัดบริเวณเหมือนนกในกรงทอง ไม่อาจทำตามใจได้อีกต่อไป เพียงแค่คิด หัวใจคนเป็นพ่อก็ปวดร้าวเสียแล้ว “หยางเอ๋อร์” เสียงเครือของท่านโหราจารย์เปล่งออกมาได้เพียงเท่านั้น เพราะคำพูดมันได้จุกอยู่ที่คอจนเอื้อนเอ่ยไม่ออก “ท่านพ่อ ลูกก็แค่แต่งงานมิได้ตายจากไปนะเจ้าคะ ท่านเข้าวังก็ได้พบลูกแล้ว” เสียงใส่ของตันหยางเอ่ยขึ้น พร้อมกับยื่นมือออกมาเกลี่ยแก้มสากของบิดาอย่างอ่อนโยน “พ่อขอโทษนะลูก ทำเจ้าลำบากแล้ว” “ท่านพ่ออย่าได้ตำหนิตนเองเลยนะเจ้าคะ ลูกรับมือได้” ตันหยางเอ่ยบอกให้บิดาเบาใจ ภายใต้ผ้าคลุมใบหน้านี้ยังคงยิ้ม จากนั้นนางก็ถูกพาขึ้นเกี้ยวเพื่อเดินทางเข้าวังไปทำพิธีตามกฏมณเฑียรบาล ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่มารอชม เพราะนี่คือการอภิเษกครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ หนึ่งชั่วยามต่อมาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกในวัง ณ ตำหนักบูรพา ภายในห้องบรรทมอันใหญ่โต ร่างสูงสง่ายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน เพราะในใจเขาว้าวุ่นเหลือคณานับ “รัชทายาท จะไม่ไปเข้าหอกับพระชายาจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาททราบจะทรงกริ้วเอานะพ่ะย่ะค่ะ” จินเฉิงเอ่ยเตือนผู้เป็นนาย ถึงหน้าที่ที่รัชทายาทพึงกระทำ “ข้าทำไม่ลง” จิ่นหรงเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา “ทะ… ทำไม่ลงอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” อี้ฟานเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความมึนงง เพราะคำตอบฟังดูประหลาดนัก “ข้าก็บอกไม่ถูก ข้าไม่อยากร่วมหอกับนาง” จิ่นหรงเอ่ยบอกไปตามจริง เขาไม่อยากเข้าใกล้ชายาของตน มิใช่ว่ารังเกียจ แต่เป็นเพราะใจเขามีสตรีนางหนึ่งอยู่แล้ว นั่นคือหญิงสาวที่ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อน ทว่าจนถึงยามนี้เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่านางคือใคร “ทรงคิดถึงสตรีที่ช่วยพระองค์ไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ” จินเฉิงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ เพราะตั้งแต่กลับมาผู้เป็นนายก็ดูเหม่อลอยตลอด “อืม” คำตอบช่างสั้นนัก “คนไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ สตรีที่ช่วยเราไว้มีสองคนมิใช่หรือ” อี้ฟานยังคงตั้งคำถามในสิ่งที่เขายังไม่กระจ่างใจ “เจ้านี่มันโง่นัก” จินเฉิงหันมาตำหนิสหายทันที “จะเป็นแม่นางหยาบกร้านผู้นั้นไปได้เยี่ยงไร ย่อมต้องเป็นสตรีเรียบร้อยดุจผ้าพับไว้น่ะสิ กิริยามารยาทก็สุขุม ข้าได้ยินว่านางเฝ้ารัชทายาททั้งคืนในตอนที่บาดเจ็บหนัก ไม่มีทางเป็นสตรีที่คอยแต่จะจับบุรุษแก้ผ้าผู้นั้นแน่” ประโยคท้ายองครักษ์เน้นเสียงหนัก “ก็จริงของเจ้า ตัวเลือกมีแค่หนึ่งเดียวจริง ๆ” อี้ฟานยิ้มแหย เมื่อนึกถึงกิริยาของสตรีอีกนางที่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป จิ่นหรงยืนนิ่งฟังคนสนิทพูดกันไปเรื่อย ในใจก็ยังคงนึกถึงร่างอรชรที่ตนตื่นขึ้นมาพบเป็นคนแรกในช่วงที่บาดเจ็บ นางดูแลเขาอย่างดี ต่างจากสตรีอีกคนที่มาถึงก็ถอดเปลื้องอาภรณ์เขาออก ปากก็บอกว่าจะรักษาดูบาดแผลให้ แต่สายตากลับโลมเลียร่างกายเขาอย่างชัดเจน ราวกับคนหิวกระหายก็มิปาน หากยามนั้นคนสนิททั้งสองไม่สลบเพราะพิษไข้ไปสองวัน นางคงไม่มีโอกาสได้จับต้องร่างกายเขาในช่วงนั้น แต่ถ้าเป็นสตรีอีกคนยอมทำแผลใส่ยาให้ เขาก็คงไม่นึกหงุดหงิด เพราะนางดูเป็นคนดีมีมารยาท ต่างจากสตรีที่ใส่ยาให้ จิ่นหรงยืนครุ่นคิดอยู่นาน กระทั่งเสียงด้านนอกดังขึ้น “รัชทายาทได้เวลาดื่มสุรามงคลแล้ว เชิญเสด็จเพคะ” สองคนสนิทหันมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะหันมาหาผู้เป็นนายที่ยืนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “หลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ” เสียงพึมพำเปล่งออกมา “ไปพบหน้านางก่อนก็น่าจะไม่เป็นไรกระมังพ่ะย่ะค่ะ ไม่แน่นางอาจจะเป็นสตรีที่เคยช่วยชีวิตพระองค์ไว้ก็ได้” “อี้ฟาน! เจ้าอ่านบทละครมากไปจนคิดว่านี่คืองิ้วที่เจ้าเคยดูมาหรือ” จินเฉิงตำหนิเสียงดัง “ข้าก็แค่ปลอบรัชทายาทก็เท่านั้น” อี้ฟานยิ้มแหย “พอแล้ว! อย่าได้มาทะเลาะกันเพราะเรื่องไร้สาระ ข้าจะไปพบนางและจะทำข้อตกลงกัน” สิ้นคำร่างสูงก็เดินออกจากห้อง ตรงไปยังตำหนักอีกหลังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่กว่าจะเดินไปถึงก็ต้องผ่านบึงบัวและสวนแมกไม้อันโอ่อ่าใหญ่โต ตามฐานะรัชทายาทของแคว้น เมื่อมาถึงหน้าประตูตำหนัก เขาก็หยุดสูดลมหายใจ พอดีที่ประตูนั้นเปิดออก เผยร่างชายหนุ่มสองคนเดินออกมา “นี่พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” ต่างฝ่ายต่างก็ทักทายด้วยถ้อยคำที่คล้ายกัน คนสนิทรัชทายาทจึงเอ่ยขึ้นก่อน “บังอาจ! นี่รัชทายาทจิ่นหรง พบพระพักตร์แล้วเหตุใดไม่ทำความเคารพ” จินเฉิงคำรามใส่ชายหนุ่มทั้งสอง “ระ…รัชทายาทหรือ” หานฟู่ยังคงมึนงง จนสหายอีกคนต้องรีบดึงให้เขาคุกเข่าลงเพื่อลดการลงโทษที่อาจจะเกิดขึ้น “ลุกขึ้นเถิด คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด” จิ่นหรงกล่าวเสียงอ่อน ‘สองคนนี้มาอยู่ที่นี่ เช่นนั้นด้านในก็’ ใจที่เคยว้าวุ่นเต็มไปด้วยความกังวล บัดนี้กลับเต้นแรงเพราะความหวังที่ประดังเข้ามา เพียงเท่านั้นสองขาเขาก็รีบก้าวเข้าไปอย่างมั่นคงตันหยางยกยิ้มกับท่าทางของสตรีตรงหน้า ต่างจากฮองเฮาที่นั่งมึนงงด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่ญาติผู้น้องตนเอ่ยเองว่า ผู้ที่ช่วยคนไว้คือตันหยาง และคนที่เฝ้าไข้บุรุษแปลกหน้าทั้งวันคืนก็ยังเป็นตันหยาง แล้วเหตุใดยามนี้ กู้อิงเถาถึงได้เอ่ยว่าคนผู้นั้นคือตนเอง ความสงสัยมีมาก ฮองเฮาจึงหันกลับมาหาตันหยางที่นั่งนิ่งทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้ม‘เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วนี่คนที่เสี่ยวอิงเอ่ยถึงคือรัชทายาทกระนั้นหรือ’ ฮองเฮาได้แต่นึกในใจเพราะไม่กล้าถาม ด้านจิ่นหรงเมื่อได้ฟังคำของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ‘นางคือหญิงสาวที่ช่วยเราไว้กระนั้นหรือ’“รัชทายาทจำหม่อมฉันไม่ได้จริงหรือเพคะ ตอนเจ็บป่วยหม่อมฉันหรืออุตส่าห์นั่งเฝ้าพระองค์ทั้งวัน ไยถึงลืมกันง่ายเพียงนี้เพคะ” อิงเถาเอ่ยตัดพ้อพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำทีสะอื้นไห้“ขะ… ข้าขอโทษ ยามนั้นเจ้าปิดหน้าไว้ข้าเลยจำไม่ได้ แล้วนี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” เมื่อได้สติเขาก็รีบถาม“หม่อมฉันเป็นญาติผู้น้องฮองเฮาเพคะ”“อย่างนี้เองหรือ” จิ่นหรงยิ้มอ่อน ก่อนจะหันมาหาชายาตนที่นั่งก้มหน้ามองกล่องในมืออย่างไม่แยแสอันใด“ลุกสิ ไยเจ้า
หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ตันหยางก็รีบออกจากห้อง วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักใหม่ เพราะนี่ก็สามวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนยังไม่ได้ไปถามไถ่อาการเลย แต่จะว่าไปนางเองก็เพิ่งฟื้นเมื่อบ่ายวาน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ใด“เจ้าจะไปไหน” จิ่นหรงเอ่ยถามชายาตัวน้อยเสียงอ่อน วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวสีชมพูอ่อน มันช่างขับกับผิวพรรณขาวผ่องของนางดีเหลือเกิน เสียก็ตรงเนินอกมันดูล้นจนเกินไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินมาหา แล้วยกผ้าที่คล้องอยู่บนแขนขึ้นมาพาดลงปิดส่วนที่ล้นออกมา“ใครเขาทำอย่างนี้กันเพคะ” ตันหยางท้วง พร้อมกับดึงผ้าลงมาไว้ที่แขนตนตามเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังจับพาดบ่าเช่นเคย“อย่าดื้อ มันดูไม่งามมิเห็นหรือ” เอ่ยพร้อมกับจ้องมาที่เนินเต้าอวบอิ่มของชายา และเขาก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น“คนชีกอ คิดว่าคนอื่นเขามีตามองแต่ตรงนี้เหมือนพระองค์หรือเพคะ ลามก” นางต่อว่าเขาก่อนจะรีบเดินหนีจิ่นหรงมองตามพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วหันมาหาคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คนเช่นข้าหรือชีกอ นางแต่งกายไม่มิดชิดข้าก็แค่ตักเตือน แต่นางกลับด่าข้ากระนั้นหรือ”สองสหายยิ้มแหย แต่ไม่มีใครกล้าตอบอันใด “
ความเงียบเข้าปกคลุมในทันที ไม่มีใครกล่าวอันใดอีกจนกระทั่งเกศาที่ถูกเช็ดมันเริ่มแห้ง ตันหยางจึงเอ่ยว่า“หม่อมฉันจะไปเอาหวีมาสางให้นะเพคะ”“อืม” จิ่นหรงรับคำ พร้อมกับเหลือบมองร่างอรชรที่เดินห่างออกไป ‘ทำไมนางถึงได้ดีกับข้านัก ทั้งที่ข้ามักจะว่าร้ายนางอยู่ตลอด หรือนางจะตกหลุมรักข้าอย่างที่จินเฉิงกล่าว’ เขานึกถึงคำพูดของคนสนิทที่เอ่ยบอกเมื่อวันก่อน มู่ตันหยางพยายามเข้าใกล้เขา และคอยยั่วยวนอยู่เสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน เขาคิดจนเหม่อ กระทั่งร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้จึงได้สติรีบหันหนีตันหยางยกยิ้ม ก่อนจะเดินมายืนซ้อนด้านหลังเขาเพื่อหวีผมให้ “ทำไมเพคะ ทรงคิดหาวิธีก่นด่าหม่อมฉันอีกหรือ”“ข้าอยากรู้…” เสียงทุ้มกลับขาดหายไป“ว่า?” คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที มือก็ชะงัก“เหตุใดเจ้าถึงดีกับข้านัก” ในที่สุดเขาก็ถามตันหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน เมื่อมือขาวเริ่มขยับ ปากนางก็พูดไปด้วย“หม่อมฉันแต่งให้พระองค์แล้ว ไม่ให้ดีกับพระองค์จะให้ไปดีกับผู้ใด มีสามีได้สองสามคนก็ว่าไปอย่าง หากเป็นเช่นนั้นรับรองว่าพระองค์จะไม่เอ่ยถามเช่นนี้แน่ เพราะหม่อมฉันคงขลุกอยู่เรือน
จิ่นหรงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมนานกว่าหนึ่งก้านธูป จนกระทั่งเสียงหวานของสนมเกาแว่วมาให้ได้ยิน ร่างสูงจึงรีบลุกพรวดแล้วเดินขึ้นเรือนชายาของตนไปในทันที ทำเอาสนมคนงามได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะไม่กล้าตามขึ้นไป “บ้าจริง ข้ามาช้าไปหรือนี่” นางบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินย่ำเท้าย้อนกลับไปยังเรือนพักด้วยอาการหงุดหงิดส่วนคนที่หนีขึ้นเรือนมาก็กำลังเดินตรงมายังห้องนอน เมื่อเห็นเพียงสาวใช้ของชายาตนอยู่ก็ไม่เอ่ยถามอันใด เพราะคิดว่าตันหยางคงกำลังอาบน้ำ จิ่นหรงจึงเอ่ยสั่งว่า “เจ้าไปเอาชุดที่ตำหนักมาให้ข้าที”“เพคะ” มู่หลิงรับคำแล้วก็ออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเข้าไปยังห้องอาบน้ำ“อยากดูก็เดินเข้ามาสิเพคะ ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นพวกถ้ำมองเลย” เสียงตำหนิดังขึ้นตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงชะงักเล็กน้อยแต่ก็เดินต่อจนมาหยุดที่ข้างขอบบ่อที่กว้างกว่าเตียงนอนเป็นเท่าตัว“จะอาบด้วยกันไหมเพคะ” ตันหยางเอ่ยเชิญชวน เพราะนางไม่ได้เปลือยผ้าอาบเหมือนผู้อื่น ยังมีผ้าพันผูกรอบกายอยู่ ทว่าหากนางลุกขึ้นมันย่อมเผยทรวดทรงองเอวให้เห็นเด่นชัดแน่จิ่
อี้ฟานยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น เพราะประโยคที่ได้ยินทำเขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยทีเดียว“ช่างเถิด ข้ารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ห่วงใย ทว่าเรื่องที่ข้าสั่งใต้เท้าก็ทำตามเถิด คนของข้าดูแลข้าได้ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม”“แต่ว่า…”ตันหยางเงยหน้ามองพร้อมกับใช้สายตากดต่ำจ้องเขา สุดท้ายองครักษ์หนุ่มจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงมิได้ขณะนั่นเอง…อรชรของสนมชิงก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง “หม่อมฉันสนมชิงบุตรสาวเจ้ากรมขุนนาง ขอถวายพระพรพระชายารัชทายาทเพคะ” ชิงอวี้หรูกล่าวอย่างนอบน้อม ท่วงท่าที่แสดงออกมาก็อ่อนช้อยนัก “นั่งสิ เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ” ตันหยางเอ่ยอย่างเป็นมิตร เพราะนางไม่ใช่คนที่ชอบตั้งแง่กับผู้ใดตั้งแต่แรกเห็น“หม่อมฉันแค่อยากมาเยี่ยมเพคะ ก่อนนี้มาแล้วทว่าพระชายายังไม่ได้สติ วันนี้ได้ข่าวว่าฟื้นแล้วเลยรีบมาดู”“ขอบใจนะข้าสบายดี แค่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น”“ดีจริงเพคะ เห็นเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจ” อวี้หรูยิ้มจนเห็นฟันขาว ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ตนเอ่ยด้วยมีสีหน้าเรียบเฉย นางก็หุบปากลงในทันที “พระชายาทรงกำลังคิดว่าหม่อมฉันมาถามเพื่อเอาใจพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ” ดวงตาเรียวเล็กกะพริบถี่รัว“
จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด“เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน” จิ่นหรงออกคำสั่งเอง ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท “หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ” ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง “อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน“ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดูจิ่น