Share

2.ใม่เป็นดั่งหวัง/1

last update Last Updated: 2025-10-06 23:35:51

ณ  ชานเมืองผิงทิศทางตะวันออกของแคว้นหนาน ที่นี่ถือว่าเป็นเมืองใหญ่พอสมควร  เพราะอยู่ห่างเมืองหลวงแค่เพียงครึ่งวันเท่านั้น  ทว่าต้องควบม้ามาจึงจะถึงได้ไวเช่นนี้  หากนั่งรถม้าก็ต้องใช้เวลาเกือบวันจึงจะถึงตัวเมือง

และที่นี่ก็คือบ้านเกิดเมืองนอนของ ‘มู่ตันหยง’  บุตรสาวคนรองของโหราจารย์มู่ซางฉี  ทว่ายามนี้นางแต่งให้ฟู่อินโหวไปแล้ว  ผู้ที่อาศัยอยู่ในจวนจึงมีแค่น้องสาวคนเล็ก

นามว่า ‘มู่ตันหยาง’

ส่วนพี่ชายคนโตนามว่า ‘มู่ตานชุย’ นาน ๆ จึงจะได้กลับมาที  เพราะเขาประจำการอยู่ที่ค่ายเสียมากกว่า

จึงทำให้น้องสาวคนเล็กอย่างมู่ตันหยางจำต้องพักอาศัยอยู่เพียงลำพัง  ไร้ซึ่งญาติพี่น้องคอยอยู่เคียงข้าง  ส่วนบิดาก็ต้องประจำอยู่ในวังหลวงตามหน้าที่  แม้มู่ซางฉีจะร้องขอให้นางไปอยู่ด้วย  ทว่ามู่ตันหยางกลับไม่พึงปรารถนาที่จะติดตามไป

เพราะนางไม่ชอบความวุ่นวายของเมืองหลวง…  

ยิ่งไปกว่านั้น  มู่ตันหยางยังมีหน้าที่ต้องดูแลสำนักคุ้มภัยของท่านปู่  และบริวารนับร้อยที่ยังคงพึ่งใบบุญตระกูลมู่อยู่  นางจึงไม่อาจทอดทิ้งสถานะประมุขสำนักคุ้มภัยนี้ไปได้

ทว่าวันนี้นางจำต้องจากที่นี่ไปแล้ว…

“คุณหนู  พวกเราขอให้ท่านมีความสุขมาก ๆ นะขอรับ”  เสียงอวยพรดังขึ้นทันทีที่หญิงสาวในชุดแดงถูกพาตัวออกมาจากห้อง  คนเหล่านี้ล้วนแต่พร้อมใจกันมาส่งผู้เป็นนาย

“ข้าฝากทุกคนดูแลที่นี่ให้ดีอย่าลืมที่ข้ากำชับเอาไว้เข้าใจหรือไม่” เสียงออกคำสั่งยังคงเด็ดขาดเช่นเคย  

“ขอรับ!!”

“ไปเถิด  ประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์ยาม”  เสียงอบอุ่นดังขึ้นข้างกาย  จากนั้นเขาก็เดินมาด้านหน้าแล้วย่อตัวลง  เจ้าสาวจึงโน้มตัวลงไปหาพร้อมกับโอบรอบคอพี่ชายไว้

“พี่ใหญ่  ข้าไม่อยากแต่งให้คนผู้นั้น”

ร่างสูงชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเสียงเศร้าสร้อยของน้องสาวคนสุดท้อง “น้องเล็ก  เราไม่อาจขัดพระประสงค์จากเบื้องบนได้  สกุลมู่คือข้าราชบริพารของราชวงศ์  ฝ่าบาทรับสั่งมาเช่นไร  เราก็จำต้องทำตามมิอาจขัดได้”  มู่ตานชุยบอกเหตุผล  พร้อมกับก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างมั่นคง  แม้ในใจจะหวาดหวั่น

ตันหยางได้แต่นิ่งเงียบ  เพราะสิ่งที่พี่ชายกล่าวมันล้วนแต่จริงทั้งนั้น  สตรีสกุลมู่ล้วนแต่ถูกกำหนดคู่ครองเอาไว้แล้ว

“ทำไมต้องเป็นข้า  ไยเบื้องบนไม่หาหญิงอื่นแต่งกับเขา  ข้าคู่ควรเสียที่ไหน”  ตันหยางยังบ่นพึมพำข้างหูพี่ชาย

“ทุกอย่างมันถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว  น้องเล็กอย่าลืมว่าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้  ตระกูลมู่คือส่วนหนึ่งของราชวงศ์  เราคือฐานอำนาจที่ฝ่าบาททรงวางเอาไว้จำไม่ได้หรือ” ตานชุยย้ำหน้าที่ให้นางฟังอีกหน  เพราะเหมือนน้องสาวเขาจะลืมไปแล้ว

แต่เปล่าเลย… ตันหยางนางจำได้ดี  ตระกูลมู่คือหมากตัวหนึ่งของราชวงศ์นี้ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเลยก็ว่าได้  

พี่สาวต้องแต่งให้ฟู่อินโหวก็เพราะคนผู้นี้คือเครือญาติของไทเฮา  จากนั้นก็เป็นนางที่ต้องแต่งเข้าวัง  เพื่อเสริมรากฐานให้ราชวงศ์นี้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก  ด้วยว่าพี่ชายนางคือแม่ทัพภาค  และอีกไม่นานคงได้เป็นแม่ทัพใหญ่กุมอำนาจทั้งสี่ทิศ

ตามพระประสงค์ของฮ่องเต้และไทเฮาที่ปูทางเอาไว้

หากจะโทษคงต้องโทษที่พวกนางเกิดใหม่ในร่างของสตรีที่ถูกเลือกไว้แล้วกระมัง  นึกแล้วตันหยางก็ทอดถอนใจ  ‘ทำไมชีวิตตัวประกอบอย่างเรา  ถึงได้แต่งกับคนสูงศักดิ์อย่างรัชทายาทกันนะ เห้อ!  ชีวิตอันแสนสุขของฉัน  จบสิ้นลงแล้วสินะ’

ตันหยางนึกคิดจนเหม่อ  กระทั่งเสียงของพี่สาวดังขึ้น

“น้องเล็ก  เจ้าต้องระมัดระวังนะ  อย่าทำอันใดหุนหันพลันแล่นเป็นอันขาด”  ตันหยงเอ่ยเตือนอย่างเป็นกังวล  เพราะนางรู้ดีว่าน้องสาวมิใช่สตรีที่เพรียบพร้อมเรื่องกิริยามารยาท

“ข้ารู้น่าท่านพี่  แล้วท่านพ่อเล่า”

“รออยู่ด้านหน้า”  ตันหยงเอ่ยบอก  พร้อมกับก้าวเดินตามพี่ชายไปจนถึงหน้าประตู  ซึ่งมีบิดายืนรอด้วยแววตาสั่นไหว  

มู่ซางฉีรู้ดีว่าบุตรสาวรักอิสระมาก  ทว่าวันนี้นางกลับต้องแต่งให้รัชทายาทและเข้าไปอยู่ในวัง  ถูกจำกัดบริเวณเหมือนนกในกรงทอง  ไม่อาจทำตามใจได้อีกต่อไป

เพียงแค่คิด  หัวใจคนเป็นพ่อก็ปวดร้าวเสียแล้ว

“หยางเอ๋อร์”  เสียงเครือของท่านโหราจารย์เปล่งออกมาได้เพียงเท่านั้น  เพราะคำพูดมันได้จุกอยู่ที่คอจนเอื้อนเอ่ยไม่ออก

“ท่านพ่อ  ลูกก็แค่แต่งงานมิได้ตายจากไปนะเจ้าคะ  ท่านเข้าวังก็ได้พบลูกแล้ว”  เสียงใส่ของตันหยางเอ่ยขึ้น  พร้อมกับยื่นมือออกมาเกลี่ยแก้มสากของบิดาอย่างอ่อนโยน  

“พ่อขอโทษนะลูก  ทำเจ้าลำบากแล้ว”

“ท่านพ่ออย่าได้ตำหนิตนเองเลยนะเจ้าคะ ลูกรับมือได้”  ตันหยางเอ่ยบอกให้บิดาเบาใจ  ภายใต้ผ้าคลุมใบหน้านี้ยังคงยิ้ม

จากนั้นนางก็ถูกพาขึ้นเกี้ยวเพื่อเดินทางเข้าวังไปทำพิธีตามกฏมณเฑียรบาล  ท่ามกลางสายตาของชาวเมืองที่มารอชม  เพราะนี่คือการอภิเษกครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์

 

หนึ่งชั่วยามต่อมาหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกในวัง

ณ ตำหนักบูรพา

ภายในห้องบรรทมอันใหญ่โต  ร่างสูงสง่ายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน  เพราะในใจเขาว้าวุ่นเหลือคณานับ

“รัชทายาท  จะไม่ไปเข้าหอกับพระชายาจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ  หากฝ่าบาททราบจะทรงกริ้วเอานะพ่ะย่ะค่ะ” จินเฉิงเอ่ยเตือนผู้เป็นนาย  ถึงหน้าที่ที่รัชทายาทพึงกระทำ

“ข้าทำไม่ลง”  จิ่นหรงเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบา  

“ทะ… ทำไม่ลงอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” อี้ฟานเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความมึนงง  เพราะคำตอบฟังดูประหลาดนัก

“ข้าก็บอกไม่ถูก  ข้าไม่อยากร่วมหอกับนาง”  จิ่นหรงเอ่ยบอกไปตามจริง  เขาไม่อยากเข้าใกล้ชายาของตน

มิใช่ว่ารังเกียจ  แต่เป็นเพราะใจเขามีสตรีนางหนึ่งอยู่แล้ว  นั่นคือหญิงสาวที่ช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อน  ทว่าจนถึงยามนี้เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่านางคือใคร

“ทรงคิดถึงสตรีที่ช่วยพระองค์ไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ”  จินเฉิงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้  เพราะตั้งแต่กลับมาผู้เป็นนายก็ดูเหม่อลอยตลอด

“อืม”  คำตอบช่างสั้นนัก

“คนไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ  สตรีที่ช่วยเราไว้มีสองคนมิใช่หรือ”  อี้ฟานยังคงตั้งคำถามในสิ่งที่เขายังไม่กระจ่างใจ

“เจ้านี่มันโง่นัก”  จินเฉิงหันมาตำหนิสหายทันที “จะเป็นแม่นางหยาบกร้านผู้นั้นไปได้เยี่ยงไร  ย่อมต้องเป็นสตรีเรียบร้อยดุจผ้าพับไว้น่ะสิ  กิริยามารยาทก็สุขุม ข้าได้ยินว่านางเฝ้ารัชทายาททั้งคืนในตอนที่บาดเจ็บหนัก ไม่มีทางเป็นสตรีที่คอยแต่จะจับบุรุษแก้ผ้าผู้นั้นแน่”  ประโยคท้ายองครักษ์เน้นเสียงหนัก

“ก็จริงของเจ้า  ตัวเลือกมีแค่หนึ่งเดียวจริง ๆ”  อี้ฟานยิ้มแหย  เมื่อนึกถึงกิริยาของสตรีอีกนางที่ต่างจากหญิงสาวทั่วไป

จิ่นหรงยืนนิ่งฟังคนสนิทพูดกันไปเรื่อย  ในใจก็ยังคงนึกถึงร่างอรชรที่ตนตื่นขึ้นมาพบเป็นคนแรกในช่วงที่บาดเจ็บ  นางดูแลเขาอย่างดี  ต่างจากสตรีอีกคนที่มาถึงก็ถอดเปลื้องอาภรณ์เขาออก  ปากก็บอกว่าจะรักษาดูบาดแผลให้  แต่สายตากลับโลมเลียร่างกายเขาอย่างชัดเจน  ราวกับคนหิวกระหายก็มิปาน

หากยามนั้นคนสนิททั้งสองไม่สลบเพราะพิษไข้ไปสองวัน  นางคงไม่มีโอกาสได้จับต้องร่างกายเขาในช่วงนั้น

แต่ถ้าเป็นสตรีอีกคนยอมทำแผลใส่ยาให้  เขาก็คงไม่นึกหงุดหงิด  เพราะนางดูเป็นคนดีมีมารยาท  ต่างจากสตรีที่ใส่ยาให้

จิ่นหรงยืนครุ่นคิดอยู่นาน  กระทั่งเสียงด้านนอกดังขึ้น

“รัชทายาทได้เวลาดื่มสุรามงคลแล้ว  เชิญเสด็จเพคะ”

สองคนสนิทหันมองหน้ากันเล็กน้อย  ก่อนจะหันมาหาผู้เป็นนายที่ยืนถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย

“หลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ” เสียงพึมพำเปล่งออกมา

“ไปพบหน้านางก่อนก็น่าจะไม่เป็นไรกระมังพ่ะย่ะค่ะ  ไม่แน่นางอาจจะเป็นสตรีที่เคยช่วยชีวิตพระองค์ไว้ก็ได้”

“อี้ฟาน!  เจ้าอ่านบทละครมากไปจนคิดว่านี่คืองิ้วที่เจ้าเคยดูมาหรือ”  จินเฉิงตำหนิเสียงดัง

“ข้าก็แค่ปลอบรัชทายาทก็เท่านั้น” อี้ฟานยิ้มแหย

“พอแล้ว!  อย่าได้มาทะเลาะกันเพราะเรื่องไร้สาระ  ข้าจะไปพบนางและจะทำข้อตกลงกัน”  สิ้นคำร่างสูงก็เดินออกจากห้อง  ตรงไปยังตำหนักอีกหลังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

แต่กว่าจะเดินไปถึงก็ต้องผ่านบึงบัวและสวนแมกไม้อันโอ่อ่าใหญ่โต  ตามฐานะรัชทายาทของแคว้น

เมื่อมาถึงหน้าประตูตำหนัก  เขาก็หยุดสูดลมหายใจ  พอดีที่ประตูนั้นเปิดออก  เผยร่างชายหนุ่มสองคนเดินออกมา

“นี่พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” ต่างฝ่ายต่างก็ทักทายด้วยถ้อยคำที่คล้ายกัน  คนสนิทรัชทายาทจึงเอ่ยขึ้นก่อน

“บังอาจ!  นี่รัชทายาทจิ่นหรง  พบพระพักตร์แล้วเหตุใดไม่ทำความเคารพ”  จินเฉิงคำรามใส่ชายหนุ่มทั้งสอง

“ระ…รัชทายาทหรือ”  หานฟู่ยังคงมึนงง จนสหายอีกคนต้องรีบดึงให้เขาคุกเข่าลงเพื่อลดการลงโทษที่อาจจะเกิดขึ้น

“ลุกขึ้นเถิด  คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด”  จิ่นหรงกล่าวเสียงอ่อน

‘สองคนนี้มาอยู่ที่นี่  เช่นนั้นด้านในก็’  ใจที่เคยว้าวุ่นเต็มไปด้วยความกังวล  บัดนี้กลับเต้นแรงเพราะความหวังที่ประดังเข้ามา  เพียงเท่านั้นสองขาเขาก็รีบก้าวเข้าไปอย่างมั่นคง

 

 

 

 

 

 

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   10. ทวงบุญคุณ

    ตันหยางยกยิ้มกับท่าทางของสตรีตรงหน้า ต่างจากฮองเฮาที่นั่งมึนงงด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่ญาติผู้น้องตนเอ่ยเองว่า ผู้ที่ช่วยคนไว้คือตันหยาง และคนที่เฝ้าไข้บุรุษแปลกหน้าทั้งวันคืนก็ยังเป็นตันหยาง แล้วเหตุใดยามนี้ กู้อิงเถาถึงได้เอ่ยว่าคนผู้นั้นคือตนเอง ความสงสัยมีมาก ฮองเฮาจึงหันกลับมาหาตันหยางที่นั่งนิ่งทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้ม‘เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วนี่คนที่เสี่ยวอิงเอ่ยถึงคือรัชทายาทกระนั้นหรือ’ ฮองเฮาได้แต่นึกในใจเพราะไม่กล้าถาม ด้านจิ่นหรงเมื่อได้ฟังคำของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ‘นางคือหญิงสาวที่ช่วยเราไว้กระนั้นหรือ’“รัชทายาทจำหม่อมฉันไม่ได้จริงหรือเพคะ ตอนเจ็บป่วยหม่อมฉันหรืออุตส่าห์นั่งเฝ้าพระองค์ทั้งวัน ไยถึงลืมกันง่ายเพียงนี้เพคะ” อิงเถาเอ่ยตัดพ้อพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำทีสะอื้นไห้“ขะ… ข้าขอโทษ ยามนั้นเจ้าปิดหน้าไว้ข้าเลยจำไม่ได้ แล้วนี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” เมื่อได้สติเขาก็รีบถาม“หม่อมฉันเป็นญาติผู้น้องฮองเฮาเพคะ”“อย่างนี้เองหรือ” จิ่นหรงยิ้มอ่อน ก่อนจะหันมาหาชายาตนที่นั่งก้มหน้ามองกล่องในมืออย่างไม่แยแสอันใด“ลุกสิ ไยเจ้า

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   9.หวง

    หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ตันหยางก็รีบออกจากห้อง วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักใหม่ เพราะนี่ก็สามวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนยังไม่ได้ไปถามไถ่อาการเลย แต่จะว่าไปนางเองก็เพิ่งฟื้นเมื่อบ่ายวาน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ใด“เจ้าจะไปไหน” จิ่นหรงเอ่ยถามชายาตัวน้อยเสียงอ่อน วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวสีชมพูอ่อน มันช่างขับกับผิวพรรณขาวผ่องของนางดีเหลือเกิน เสียก็ตรงเนินอกมันดูล้นจนเกินไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินมาหา แล้วยกผ้าที่คล้องอยู่บนแขนขึ้นมาพาดลงปิดส่วนที่ล้นออกมา“ใครเขาทำอย่างนี้กันเพคะ” ตันหยางท้วง พร้อมกับดึงผ้าลงมาไว้ที่แขนตนตามเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังจับพาดบ่าเช่นเคย“อย่าดื้อ มันดูไม่งามมิเห็นหรือ” เอ่ยพร้อมกับจ้องมาที่เนินเต้าอวบอิ่มของชายา และเขาก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น“คนชีกอ คิดว่าคนอื่นเขามีตามองแต่ตรงนี้เหมือนพระองค์หรือเพคะ ลามก” นางต่อว่าเขาก่อนจะรีบเดินหนีจิ่นหรงมองตามพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วหันมาหาคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คนเช่นข้าหรือชีกอ นางแต่งกายไม่มิดชิดข้าก็แค่ตักเตือน แต่นางกลับด่าข้ากระนั้นหรือ”สองสหายยิ้มแหย แต่ไม่มีใครกล้าตอบอันใด “

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   8.สตรีต้องซื่อสัตย์

    ความเงียบเข้าปกคลุมในทันที ไม่มีใครกล่าวอันใดอีกจนกระทั่งเกศาที่ถูกเช็ดมันเริ่มแห้ง ตันหยางจึงเอ่ยว่า“หม่อมฉันจะไปเอาหวีมาสางให้นะเพคะ”“อืม” จิ่นหรงรับคำ พร้อมกับเหลือบมองร่างอรชรที่เดินห่างออกไป ‘ทำไมนางถึงได้ดีกับข้านัก ทั้งที่ข้ามักจะว่าร้ายนางอยู่ตลอด หรือนางจะตกหลุมรักข้าอย่างที่จินเฉิงกล่าว’ เขานึกถึงคำพูดของคนสนิทที่เอ่ยบอกเมื่อวันก่อน มู่ตันหยางพยายามเข้าใกล้เขา และคอยยั่วยวนอยู่เสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน เขาคิดจนเหม่อ กระทั่งร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้จึงได้สติรีบหันหนีตันหยางยกยิ้ม ก่อนจะเดินมายืนซ้อนด้านหลังเขาเพื่อหวีผมให้ “ทำไมเพคะ ทรงคิดหาวิธีก่นด่าหม่อมฉันอีกหรือ”“ข้าอยากรู้…” เสียงทุ้มกลับขาดหายไป“ว่า?” คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที มือก็ชะงัก“เหตุใดเจ้าถึงดีกับข้านัก” ในที่สุดเขาก็ถามตันหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน เมื่อมือขาวเริ่มขยับ ปากนางก็พูดไปด้วย“หม่อมฉันแต่งให้พระองค์แล้ว ไม่ให้ดีกับพระองค์จะให้ไปดีกับผู้ใด มีสามีได้สองสามคนก็ว่าไปอย่าง หากเป็นเช่นนั้นรับรองว่าพระองค์จะไม่เอ่ยถามเช่นนี้แน่ เพราะหม่อมฉันคงขลุกอยู่เรือน

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   7.ผ่อนคลาย

    จิ่นหรงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมนานกว่าหนึ่งก้านธูป จนกระทั่งเสียงหวานของสนมเกาแว่วมาให้ได้ยิน ร่างสูงจึงรีบลุกพรวดแล้วเดินขึ้นเรือนชายาของตนไปในทันที ทำเอาสนมคนงามได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะไม่กล้าตามขึ้นไป “บ้าจริง ข้ามาช้าไปหรือนี่” นางบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินย่ำเท้าย้อนกลับไปยังเรือนพักด้วยอาการหงุดหงิดส่วนคนที่หนีขึ้นเรือนมาก็กำลังเดินตรงมายังห้องนอน เมื่อเห็นเพียงสาวใช้ของชายาตนอยู่ก็ไม่เอ่ยถามอันใด เพราะคิดว่าตันหยางคงกำลังอาบน้ำ จิ่นหรงจึงเอ่ยสั่งว่า “เจ้าไปเอาชุดที่ตำหนักมาให้ข้าที”“เพคะ” มู่หลิงรับคำแล้วก็ออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเข้าไปยังห้องอาบน้ำ“อยากดูก็เดินเข้ามาสิเพคะ ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นพวกถ้ำมองเลย” เสียงตำหนิดังขึ้นตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงชะงักเล็กน้อยแต่ก็เดินต่อจนมาหยุดที่ข้างขอบบ่อที่กว้างกว่าเตียงนอนเป็นเท่าตัว“จะอาบด้วยกันไหมเพคะ” ตันหยางเอ่ยเชิญชวน เพราะนางไม่ได้เปลือยผ้าอาบเหมือนผู้อื่น ยังมีผ้าพันผูกรอบกายอยู่ ทว่าหากนางลุกขึ้นมันย่อมเผยทรวดทรงองเอวให้เห็นเด่นชัดแน่จิ่

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   6.รับบทเมียเอก

    อี้ฟานยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น เพราะประโยคที่ได้ยินทำเขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยทีเดียว“ช่างเถิด ข้ารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ห่วงใย ทว่าเรื่องที่ข้าสั่งใต้เท้าก็ทำตามเถิด คนของข้าดูแลข้าได้ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม”“แต่ว่า…”ตันหยางเงยหน้ามองพร้อมกับใช้สายตากดต่ำจ้องเขา สุดท้ายองครักษ์หนุ่มจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงมิได้ขณะนั่นเอง…อรชรของสนมชิงก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง “หม่อมฉันสนมชิงบุตรสาวเจ้ากรมขุนนาง ขอถวายพระพรพระชายารัชทายาทเพคะ” ชิงอวี้หรูกล่าวอย่างนอบน้อม ท่วงท่าที่แสดงออกมาก็อ่อนช้อยนัก “นั่งสิ เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ” ตันหยางเอ่ยอย่างเป็นมิตร เพราะนางไม่ใช่คนที่ชอบตั้งแง่กับผู้ใดตั้งแต่แรกเห็น“หม่อมฉันแค่อยากมาเยี่ยมเพคะ ก่อนนี้มาแล้วทว่าพระชายายังไม่ได้สติ วันนี้ได้ข่าวว่าฟื้นแล้วเลยรีบมาดู”“ขอบใจนะข้าสบายดี แค่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น”“ดีจริงเพคะ เห็นเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจ” อวี้หรูยิ้มจนเห็นฟันขาว ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ตนเอ่ยด้วยมีสีหน้าเรียบเฉย นางก็หุบปากลงในทันที “พระชายาทรงกำลังคิดว่าหม่อมฉันมาถามเพื่อเอาใจพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ” ดวงตาเรียวเล็กกะพริบถี่รัว“

  • ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]   5.ห่วงหรือ

    จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด“เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน” จิ่นหรงออกคำสั่งเอง ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท “หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ” ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง “อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน“ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดูจิ่น

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status