ร่างสูงของเจ้าบ่าวได้หยุดยืนที่กลางห้องราวกับชั่งใจ แต่ความเป็นจริงจิ่นหรงกำลังตื่นเต้นต่างหาก
“นี่ท่าน…” มู่หลิงเห็นอีกฝ่ายก็ยกนิ้วชี้หน้า “อย่าเสียมารยาท คนผู้นี้คือรัชทายาท” มู่เฟิงรีบเอ่ยบอกน้องสาวของตน ก่อนที่นางจะทำกิริยาหยาบคายใส่ “ระ…รัชทายาทหรือ” คนตื่นตระหนกยังคงไม่เชื่อ “เรื่องอื่นเอาไว้เราจะอธิบายภายหลัง ว่าแต่นายของเจ้าที่แต่งเข้ามา ใช่แม่นางที่ช่วยรัชทายาทเอาไว้วันนั้นหรือไม่” อี้ฟานเอ่ยถามแทนผู้เป็นนาย ซึ่งยืนนิ่งจ้องมองเจ้าสาวของตนด้วยดวงตาเปล่งประกายราวกับเก็บของรักที่หล่นหายกลับคืนมาได้ “ใช่… เป็นคุณหนูของเราเองที่ช่วยพวกท่านไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อน” มู่หลิงเอ่ยบอกเสียงอ่อนลง จิ่นหรงยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างชายาของตนที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนรูปปั้นที่ถูกนำมาตั้งเอาไว้ “เปิดผ้าก่อนเพคะ” แม่สื่อหลวงเอ่ยบอก เจ้าบ่าวจึงทำตามโดยการใช้ไม้ยกผ้าคลุม ไม่ถึงอึดใจมันก็ร่วงหล่นลงไปกองทางด้านหลัง เผยใบหน้างามหวานหยดย้อยให้เห็น ทำเอาจิ่นหรงถึงกับนิ่งงันไปในทันที ทว่าเจ้าสาวกลับขมวดคิ้วด้วยความมึนงง “พี่ชายสุดหล่อ ไยท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า” ตันหยางเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ พร้อมกับมองไปยังชายหนุ่มคุ้นตาอีกสองคน จิ่นหรงถึงกับผงะ เพราะคำเรียกที่ได้ยิน มันเหมือนที่สตรีหยาบกร้านผู้นั้นใช้เรียกเขาทุกครั้งยามที่นางเข้ามาช่วยใส่ยาให้ ‘มิใช่นางผู้นั้นหรือ’ ครุ่นคิดอย่างผิดหวัง “สุรามงคลเพคะ” แม่สื่อยังคงทำหน้าที่ ด้านเจ้าสาวรับมาถือโดยไม่คิดอันใด ส่วนเจ้าบ่าวนั้นยังคงนั่งนิ่ง แม้คราแรกที่เห็นใบหน้างามของตันหยางเขาจะเผลอตื่นเต้นดีใจ เพราะคิดว่าตนนั้นโชคดีนักที่ได้แต่งกับหญิงงาม ทว่าเมื่อนางเอ่ยปากแสดงท่าทางเหมือนครั้งที่พบกัน ใจเขากลับห่อเหี่ยวลงในทันที ราวกับของรักหล่นหายไปอีกครา “ดื่มสิเพคะ” ตันหยางยื่นจอกสุราน้ำเต้าไปชนกับอีกฝ่าย จากนั้นนางก็ดื่มรวดเดียวหมด พอเห็นเจ้าบ่าวยังคงนั่งนิ่ง นางก็ช่วยดันมันเข้าปากเขาเสียเอง สุดท้ายจิ่นหรงจึงต้องดื่มมันเข้าไปจนหมด แล้วแม่สื่อก็เก็บกลับไป “ตัดผมผูกรักเพคะ” สิ้นคำหญิงชราก็ยื่นกรรไกรให้ ตันหยางรับมาจัดการเอง เพราะพระสวามียังคงนั่งนิ่งเช่นเคย ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ต่อต้าน ด้วยว่ามีคนของบิดายืนมองอยู่ หากเขาไม่ทำตามเป็นได้ถูกตำหนิจนหูชาเป็นแน่ หลังจากจัดการทุกอย่างแล้วเสร็จ ภายในห้องก็เหลือเพียงแค่บ่าวสาว ยามนี้เองที่ตันหยางได้สังเกตอีกฝ่ายชัด ๆ “ก่อนหน้านี้ เห็นพระองค์ตอนเจ็บตัวก็ว่ารูปงามแล้ว นึกไม่ถึงว่ายามสบายดีจะรูปงามยิ่งกว่า งามอย่างกับเทวรูปที่ถูกปั้นแต่งมาเลยเพคะ” นางกล่าวชมเขาจากใจจริง แววตาหรือก็ทอประกายระยิบระยับราวกับเด็กน้อยเห็นขนม “ข้าไม่ชอบเจ้า และจะไม่มีวันชอบ” เสียงเย็นชาเปล่งออกมาทำลายทุกสิ่งรอบตัว แม้แต่คนที่ไม่ยี่หระกับเรื่องใดอย่างมู่ตันหยางยังนิ่งงัน เพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าเอ่ยเช่นนี้ออกมาในวันแต่งงานที่ควรจะเป็นวันเริ่มต้นที่ดี ร่างเล็กขยับถอยห่างออกมานั่งตัวตรง แววตาที่เคยเปล่งประกายเรียบนิ่งดุจสายน้ำที่ไม่มีการเคลื่อนไหว ริมฝีปากอิ่มเผยยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “แต่หม่อมฉันชอบองค์รัชทายาทมากนะเพคะ ชอบมากจริง ๆ” ก่อนจะขยับเข้าหา นางกะพริบตาถี่ให้เขา และยังยื่นมือออกมาเกาะแขนพระสวามีเอาไว้ด้วย จิ่นหรงขยับลุกหนีทันที และก่นด่านางราวกับแค้นเคืองกันมานาน “สตรีน่ารังเกียจ ไม่รู้จักคำว่ายางอายบ้างเลยหรือ” “บ้าจริง คำเหล่านี้มันควรใช้กับคนที่เป็นสามีภรรยากันหรือเพคะ หม่อมฉันมิได้ไปทำเรื่องน่าอายกับคนอื่นเสียหน่อย เหตุใดพระสวามีถึงได้ตำหนิชายาเช่นนี้” มือขาวแสร้งยกขึ้นมาปาดน้ำตาของตนราวกับเสียใจมาก จิ่นหรงเห็นเช่นนั้นก็นิ่งไป แต่ถึงกระนั้นเขาก็หาได้เข้ามาปลอบนาง มิหนำซ้ำยังพาตนออกไปจากห้องอีก ทว่าประตูมันกลับเปิดออกไม่ได้ และยังมีเสียงตอบกลับมา “ฝ่าบาทและไทเฮาทรงรับสั่งว่า รัชทายาทจะต้องบรรทมที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” เป็นเสียงของซูกงกงที่กล่าวบอก “นอนที่นี่ ไม่! ข้าจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ” “ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากไม่ทรงทำตาม จะตัดงบซ่อมแซมสะพานที่หมู่บ้านเปิ่นพ่ะย่ะค่ะ” ซูกงกงยังคงเอ่ยต่อ ทำให้มือเรียวที่กำลังทุบประตูต้องหยุดลง ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้กลับไปที่เตียงนอน แต่เดินไปนั่งบริเวณตั่งริมหน้าต่างแทน “อย่ารื้อของหม่อมฉันนะเพคะ” เสียงหวานแว่วมา จิ่นหรงเพียงแค่เหลือบตามองแต่ไม่ได้ตอบ เมื่อเห็นนางเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำเขาจึงหันมาสนใจข้าวของตรงหน้า คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นรูปภาพมากมายวางอยู่ แต่ละใบมันมีรูปร่างที่ต่างกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เขาไม่เคยเห็น “นี่มันอะไร?” นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย และเขาก็นั่งพินิจอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานจนกระทั่งเสียงดุของชายาตัวน้อยดังขึ้น “บอกแล้วว่าอย่ารื้อ” นางตำหนิเขาจริงจัง พร้อมกับทรุดกายลงมานั่งตรงข้าม จัดเก็บแผ่นกระดาษหยาบเหล่านี้มาซ้อนทับกัน โดยมีการพิจารณาด้วยว่าอันไหนก่อนหลัง จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่ง เพราะเหมือนว่าเขาจะทำให้นางโกรธแล้ว ทว่ามันก็ดีมิใช่หรือ ชายาที่ไม่ได้เต็มใจแต่งผู้นี้ จะได้เลิกยุ่งกับเขา ให้นางโกรธจนไม่เข้าใกล้ได้ยิ่งดี “กะอีแค่ภาพวาดมั่ว ๆ ไม่เห็นมีค่าสักนิด” ตันหยางยกยิ้มก่อนจะขยับเอามือมาค้ำบนโต๊ะแล้วโน้มตัวเข้าไปหาเขาจนใบหน้าห่างกันเพียงแค่คืบ กลิ่นหอมสมุนไพรจึงโชยเข้าจมูกอีกฝ่ายโดยที่นางก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็น “เพราะพระสวามีเข้าไม่ถึงภาพวาดของหม่อมฉันน่ะสิเพคะ หากรู้ว่ามันคืออะไร พระองค์คงไม่ตรัสเช่นนี้กระมัง” สิ้นคำมือขาวก็ยื่นออกไปเกลี่ยแผงอกแกร่งอย่างหยอกเย้า “อย่ามาทำลุ่มล่ามกับข้า” เขาจับมือนางดันออกอย่างไม่ไยดี และแทนที่ชายาตัวน้อยจะโกรธกลับยิ้มอ่อนเสียนี่ “ไปสรงน้ำเถิดเพคะ ตัวเหม็นจะแย่” เอ่ยโดยไม่มองหน้า เพราะยามนี้นางกำลังหันมาสนใจแผ่นกระดาษเพื่อจัดเรียงใหม่ ปึ้ง! ฝ่ามือเรียวฟาดลงบนโต๊ะทันที จากนั้นร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำเพื่อชำระร่างกายให้ใจเย็นลง ผ่านไปพักใหญ่เขาก็ออกมา และพบว่าชายาตัวน้อยยังนั่งอยู่ที่เดิม และกำลังขีดเขียนบางสิ่งอยู่ เห็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอีก เพราะการอยู่อย่างเงียบสงบมันน่าจะดีกว่า “พระสวามีบรรทมได้เลยนะเพคะ หม่อมฉันจะนอนตรงนี้” ตันหยางเอ่ยโดยไม่ได้หันกลับมามองอีกฝ่ายสักนิด ร่างสูงจึงหยุดชะงักเพราะเขาเดินออกมานั้นเบามาก แล้วนางรู้ได้เยี่ยงไรว่าเขาออกมาแล้ว หรือเห็นแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่นางก็นั่งหันหลังมิใช่หรือ แล้วจะเห็นได้เยี่ยงไรกัน ทว่าแม้เขาจะสงสัย ถึงกระนั้นจิ่นหรงก็ไม่ได้ถาม เขาเดินมานั่งที่เตียงก่อนจะเอนตัวลงเพื่อเข้านอน ในเมื่อนางอยากยื่นข้อเสนอให้ เขาก็ยินดีที่จะสนองให้ตามต้องการ ยามจื่อ [ 23:00-00:59 ] แสงเทียนยังคงวูบไหวในมุมหนึ่งของห้อง พร้อมกับเงาร่างของตันหยางที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นางก้มเงยอยู่เช่นนั้นราวกับสิ่งที่ทำอยู่ไม่อาจหยุดชะงักได้ กระทั่งเสียงหนึ่งดึงความสนใจให้นางต้องเอ่ยขึ้น “นอนไม่หลับหรือเพคะ” เอ่ยถามโดยไม่ได้หันมามอง จิ่นหรงได้แต่นิ่งไป กระทั่งใบหน้างามนั้นหันมาหาเขา แต่นางก็หันกลับไปไม่แยแสเมื่อเห็นเขายังคงไม่ตอบ จากนั้นตันหยางก็วาดภาพต่อ ราวกับในห้องนี้มีแค่ตนผู้เดียว ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็กลับไปนอนต่อ ทว่านอนอย่างไรเขาก็นอนไม่หลับ สายตายังคงจับจ้องมาที่ร่างอรชรของชายาที่ยังคงก้มหน้าก้มตาวาดภาพ ราวกับว่าต้องทำให้มันเสร็จภายในคืนนี้ แต่เพียงไม่นานแสงเทียนที่ส่องสว่างกลับเริ่มดับวูบลงทีละดวง กระทั่งเหลือเพียงแค่แสงรำไรเท่านั้น ไม่ถึงอึดใจร่างที่เขาเห็นนั่งอยู่ก็ขยับลุกขึ้น นางเดินตรงมาที่เตียงแล้วหยุดยืนมองเขาด้วยแววตาราบเรียบ ‘อะไรของนาง’ จิ่นหรงคิดอย่างกังวลตันหยางยกยิ้มกับท่าทางของสตรีตรงหน้า ต่างจากฮองเฮาที่นั่งมึนงงด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่ญาติผู้น้องตนเอ่ยเองว่า ผู้ที่ช่วยคนไว้คือตันหยาง และคนที่เฝ้าไข้บุรุษแปลกหน้าทั้งวันคืนก็ยังเป็นตันหยาง แล้วเหตุใดยามนี้ กู้อิงเถาถึงได้เอ่ยว่าคนผู้นั้นคือตนเอง ความสงสัยมีมาก ฮองเฮาจึงหันกลับมาหาตันหยางที่นั่งนิ่งทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้ม‘เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วนี่คนที่เสี่ยวอิงเอ่ยถึงคือรัชทายาทกระนั้นหรือ’ ฮองเฮาได้แต่นึกในใจเพราะไม่กล้าถาม ด้านจิ่นหรงเมื่อได้ฟังคำของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ‘นางคือหญิงสาวที่ช่วยเราไว้กระนั้นหรือ’“รัชทายาทจำหม่อมฉันไม่ได้จริงหรือเพคะ ตอนเจ็บป่วยหม่อมฉันหรืออุตส่าห์นั่งเฝ้าพระองค์ทั้งวัน ไยถึงลืมกันง่ายเพียงนี้เพคะ” อิงเถาเอ่ยตัดพ้อพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำทีสะอื้นไห้“ขะ… ข้าขอโทษ ยามนั้นเจ้าปิดหน้าไว้ข้าเลยจำไม่ได้ แล้วนี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” เมื่อได้สติเขาก็รีบถาม“หม่อมฉันเป็นญาติผู้น้องฮองเฮาเพคะ”“อย่างนี้เองหรือ” จิ่นหรงยิ้มอ่อน ก่อนจะหันมาหาชายาตนที่นั่งก้มหน้ามองกล่องในมืออย่างไม่แยแสอันใด“ลุกสิ ไยเจ้า
หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ตันหยางก็รีบออกจากห้อง วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักใหม่ เพราะนี่ก็สามวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนยังไม่ได้ไปถามไถ่อาการเลย แต่จะว่าไปนางเองก็เพิ่งฟื้นเมื่อบ่ายวาน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ใด“เจ้าจะไปไหน” จิ่นหรงเอ่ยถามชายาตัวน้อยเสียงอ่อน วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวสีชมพูอ่อน มันช่างขับกับผิวพรรณขาวผ่องของนางดีเหลือเกิน เสียก็ตรงเนินอกมันดูล้นจนเกินไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินมาหา แล้วยกผ้าที่คล้องอยู่บนแขนขึ้นมาพาดลงปิดส่วนที่ล้นออกมา“ใครเขาทำอย่างนี้กันเพคะ” ตันหยางท้วง พร้อมกับดึงผ้าลงมาไว้ที่แขนตนตามเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังจับพาดบ่าเช่นเคย“อย่าดื้อ มันดูไม่งามมิเห็นหรือ” เอ่ยพร้อมกับจ้องมาที่เนินเต้าอวบอิ่มของชายา และเขาก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น“คนชีกอ คิดว่าคนอื่นเขามีตามองแต่ตรงนี้เหมือนพระองค์หรือเพคะ ลามก” นางต่อว่าเขาก่อนจะรีบเดินหนีจิ่นหรงมองตามพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วหันมาหาคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คนเช่นข้าหรือชีกอ นางแต่งกายไม่มิดชิดข้าก็แค่ตักเตือน แต่นางกลับด่าข้ากระนั้นหรือ”สองสหายยิ้มแหย แต่ไม่มีใครกล้าตอบอันใด “
ความเงียบเข้าปกคลุมในทันที ไม่มีใครกล่าวอันใดอีกจนกระทั่งเกศาที่ถูกเช็ดมันเริ่มแห้ง ตันหยางจึงเอ่ยว่า“หม่อมฉันจะไปเอาหวีมาสางให้นะเพคะ”“อืม” จิ่นหรงรับคำ พร้อมกับเหลือบมองร่างอรชรที่เดินห่างออกไป ‘ทำไมนางถึงได้ดีกับข้านัก ทั้งที่ข้ามักจะว่าร้ายนางอยู่ตลอด หรือนางจะตกหลุมรักข้าอย่างที่จินเฉิงกล่าว’ เขานึกถึงคำพูดของคนสนิทที่เอ่ยบอกเมื่อวันก่อน มู่ตันหยางพยายามเข้าใกล้เขา และคอยยั่วยวนอยู่เสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน เขาคิดจนเหม่อ กระทั่งร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้จึงได้สติรีบหันหนีตันหยางยกยิ้ม ก่อนจะเดินมายืนซ้อนด้านหลังเขาเพื่อหวีผมให้ “ทำไมเพคะ ทรงคิดหาวิธีก่นด่าหม่อมฉันอีกหรือ”“ข้าอยากรู้…” เสียงทุ้มกลับขาดหายไป“ว่า?” คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที มือก็ชะงัก“เหตุใดเจ้าถึงดีกับข้านัก” ในที่สุดเขาก็ถามตันหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน เมื่อมือขาวเริ่มขยับ ปากนางก็พูดไปด้วย“หม่อมฉันแต่งให้พระองค์แล้ว ไม่ให้ดีกับพระองค์จะให้ไปดีกับผู้ใด มีสามีได้สองสามคนก็ว่าไปอย่าง หากเป็นเช่นนั้นรับรองว่าพระองค์จะไม่เอ่ยถามเช่นนี้แน่ เพราะหม่อมฉันคงขลุกอยู่เรือน
จิ่นหรงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมนานกว่าหนึ่งก้านธูป จนกระทั่งเสียงหวานของสนมเกาแว่วมาให้ได้ยิน ร่างสูงจึงรีบลุกพรวดแล้วเดินขึ้นเรือนชายาของตนไปในทันที ทำเอาสนมคนงามได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะไม่กล้าตามขึ้นไป “บ้าจริง ข้ามาช้าไปหรือนี่” นางบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินย่ำเท้าย้อนกลับไปยังเรือนพักด้วยอาการหงุดหงิดส่วนคนที่หนีขึ้นเรือนมาก็กำลังเดินตรงมายังห้องนอน เมื่อเห็นเพียงสาวใช้ของชายาตนอยู่ก็ไม่เอ่ยถามอันใด เพราะคิดว่าตันหยางคงกำลังอาบน้ำ จิ่นหรงจึงเอ่ยสั่งว่า “เจ้าไปเอาชุดที่ตำหนักมาให้ข้าที”“เพคะ” มู่หลิงรับคำแล้วก็ออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเข้าไปยังห้องอาบน้ำ“อยากดูก็เดินเข้ามาสิเพคะ ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นพวกถ้ำมองเลย” เสียงตำหนิดังขึ้นตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงชะงักเล็กน้อยแต่ก็เดินต่อจนมาหยุดที่ข้างขอบบ่อที่กว้างกว่าเตียงนอนเป็นเท่าตัว“จะอาบด้วยกันไหมเพคะ” ตันหยางเอ่ยเชิญชวน เพราะนางไม่ได้เปลือยผ้าอาบเหมือนผู้อื่น ยังมีผ้าพันผูกรอบกายอยู่ ทว่าหากนางลุกขึ้นมันย่อมเผยทรวดทรงองเอวให้เห็นเด่นชัดแน่จิ่
อี้ฟานยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น เพราะประโยคที่ได้ยินทำเขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยทีเดียว“ช่างเถิด ข้ารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ห่วงใย ทว่าเรื่องที่ข้าสั่งใต้เท้าก็ทำตามเถิด คนของข้าดูแลข้าได้ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม”“แต่ว่า…”ตันหยางเงยหน้ามองพร้อมกับใช้สายตากดต่ำจ้องเขา สุดท้ายองครักษ์หนุ่มจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงมิได้ขณะนั่นเอง…อรชรของสนมชิงก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง “หม่อมฉันสนมชิงบุตรสาวเจ้ากรมขุนนาง ขอถวายพระพรพระชายารัชทายาทเพคะ” ชิงอวี้หรูกล่าวอย่างนอบน้อม ท่วงท่าที่แสดงออกมาก็อ่อนช้อยนัก “นั่งสิ เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ” ตันหยางเอ่ยอย่างเป็นมิตร เพราะนางไม่ใช่คนที่ชอบตั้งแง่กับผู้ใดตั้งแต่แรกเห็น“หม่อมฉันแค่อยากมาเยี่ยมเพคะ ก่อนนี้มาแล้วทว่าพระชายายังไม่ได้สติ วันนี้ได้ข่าวว่าฟื้นแล้วเลยรีบมาดู”“ขอบใจนะข้าสบายดี แค่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น”“ดีจริงเพคะ เห็นเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจ” อวี้หรูยิ้มจนเห็นฟันขาว ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ตนเอ่ยด้วยมีสีหน้าเรียบเฉย นางก็หุบปากลงในทันที “พระชายาทรงกำลังคิดว่าหม่อมฉันมาถามเพื่อเอาใจพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ” ดวงตาเรียวเล็กกะพริบถี่รัว“
จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด“เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน” จิ่นหรงออกคำสั่งเอง ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท “หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ” ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง “อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน“ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดูจิ่น