ความเงียบเข้าปกคลุมในทันที ไม่มีใครกล่าวอันใดอีกจนกระทั่งเกศาที่ถูกเช็ดมันเริ่มแห้ง ตันหยางจึงเอ่ยว่า
“หม่อมฉันจะไปเอาหวีมาสางให้นะเพคะ” “อืม” จิ่นหรงรับคำ พร้อมกับเหลือบมองร่างอรชรที่เดินห่างออกไป ‘ทำไมนางถึงได้ดีกับข้านัก ทั้งที่ข้ามักจะว่าร้ายนางอยู่ตลอด หรือนางจะตกหลุมรักข้าอย่างที่จินเฉิงกล่าว’ เขานึกถึงคำพูดของคนสนิทที่เอ่ยบอกเมื่อวันก่อน มู่ตันหยางพยายามเข้าใกล้เขา และคอยยั่วยวนอยู่เสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน เขาคิดจนเหม่อ กระทั่งร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้จึงได้สติรีบหันหนี ตันหยางยกยิ้ม ก่อนจะเดินมายืนซ้อนด้านหลังเขาเพื่อหวีผมให้ “ทำไมเพคะ ทรงคิดหาวิธีก่นด่าหม่อมฉันอีกหรือ” “ข้าอยากรู้…” เสียงทุ้มกลับขาดหายไป “ว่า?” คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที มือก็ชะงัก “เหตุใดเจ้าถึงดีกับข้านัก” ในที่สุดเขาก็ถาม ตันหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน เมื่อมือขาวเริ่มขยับ ปากนางก็พูดไปด้วย “หม่อมฉันแต่งให้พระองค์แล้ว ไม่ให้ดีกับพระองค์จะให้ไปดีกับผู้ใด มีสามีได้สองสามคนก็ว่าไปอย่าง หากเป็นเช่นนั้นรับรองว่าพระองค์จะไม่เอ่ยถามเช่นนี้แน่ เพราะหม่อมฉันคงขลุกอยู่เรือนอื่นมากกว่าจะมาอยู่กับพระองค์เพคะ” ตันหยางขำขันคำพูดติดตลกของตน ทว่าคนฟังกลับไม่เป็นเช่นนั้น จิ่นหรงรู้สึกหงุดหงิดจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้วยามนี้ เขาหันมาโอบเอวคอดให้นั่งลงบนตักในทันที “ใครสั่งใครสอนให้พูดจาเช่นนี้ฮึ” “ปะ…ปล่อยนะ ก็พระองค์ถามหม่อมฉันก็บอกไปตามจริง ส่วนประโยคหลังก็แค่พูดเล่น ใครจะไปทำจริงเล่า” “ต่อไปอย่าได้พูดอีก ข้าไม่ชอบ!” น้ำเสียงเขาดูเกรี้ยวกราดมาก ทำเอาใบหน้างามถึงกับเจื่อนลงทันตา ตันหยางไม่ได้ตอบกลับอันใด เพราะรู้ว่าเขากำลังโกรธ หากนางแรงตอบค่ำคืนนี้คงไม่จบเป็นแน่ และท่าทางนิ่งไปของนาง มันก็ทำให้ผู้เป็นสามีได้สติ เขาจึงดันร่างนางลงนั่งบนตั่ง พร้อมกับจับให้หันหลังมา แล้วเอาผ้าเช็ดผมให้อย่างเบามือ ‘อีตารัชทายาทนี่เป็นใบโพล่าหรือไง เดี่ยวดีเดี๋ยวร้าย’ ตันหยางนั่งเงียบปล่อยให้เขาเช็ดผมไป กระทั่งคนด้านหลังเอ่ยถามในสิ่งที่มันยังคงแคลงใจอีกหน “เช่นนั้นที่เจ้าดีกับข้าก็เพราะหน้าที่พระชายากระนั้นหรือ” ตันหยางนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมามองหน้าเขาแล้วเอ่ยตอบเสียงเรียบเย็นชาว่า “อย่างที่หม่อมฉันบอกเพคะ หม่อมฉันแต่งให้พระองค์แล้ว ก็จำต้องทำหน้าที่ชายาให้ดี เพราะตำแหน่งนี้ไม่เพียงแต่มีเพื่อเชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูล ทว่ามันสำคัญต่อราชวงศ์เจิ้งด้วย ต่อให้พระองค์ไม่พอใจอยากมอบตำแหน่งนี้ให้ผู้อื่น หม่อมฉันก็ไม่ยอมเสียมันไปเพคะ” ดวงตาคู่สวยยังคงแน่วแน่ ไม่ต่างจากคำพูดที่นางกล่าว “ขออภัยที่หม่อมฉันไม่อาจหลีกทางให้สตรีในดวงใจของพระองศ์ เพราะหน้าที่ของมู่ตันหยางคือรักษาตำแหน่งชายาของรัชทายาทเอาไว้ให้มั่น เพื่อรากฐานที่มั่นคงของพระองค์ในวันหน้า หากพระองค์หมายจะครองคู่กับสตรีอันเป็นที่รัก ก็จำเป็นต้องแต่งนางเข้ามาเป็นสนมแล้วเพคะ ไม่ก็… เอาชีวิตหม่อมฉันไปเสีย” มือขาวยกขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหลริน ตันหยางรู้สึกขมขื่นเป็นอย่างมากในยามนี้ ใช่ว่านางอยากแต่งกับเขา ทว่านี่มันคือหน้าที่ที่บุตรสาวตระกูลมู่ต้องทำตาม เพราะทุกอย่างเบื้องบนกำหนดไว้แล้ว นางแต่งให้รัชทายาท เพื่อให้เขาได้เป็นดองกับแม่ทัพภาคอย่างมู่ตานชุย และอีกไม่นานพี่ชายนางจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ดูแลทั้งห้าเหล่าทัพ ซึ่งแน่นอนว่าภายภาคหน้า เมื่อจิ่นหรงขึ้นครองราชย์ นางจะได้เป็นฮองเฮา โดยมีกองหนุนอย่างพี่ชายนางคอยช่วยประคองรากฐานให้ ส่วนพี่สาวก็แต่งกับท่านโหว ผู้รับหน้าที่สอดส่องเหล่าขุนนางในราชสำนัก ทุกอย่างมันถูกวางแผนเอาไว้หมด และยามนี้คนตระกูลมู่ก็ได้แต่ทำตาม เพราะพวกเขาก้าวขึ้นมานั่งบนหลังเสือกันแล้ว เช่นนี้จะไม่ให้ตันหยางทุกข์ใจได้เยี่ยงไร จิ่นหรงนิ่งงันเพราะนึกไม่ถึงว่าชายาตนจะขมขื่นถึงขั้นร้องไห้ เขาจึงเอื้อมมือหมายจะเกลี่ยน้ำตาออกให้ “อย่าเพคะ! หม่อมฉันไม่ต้องการความเห็นใจ เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่มีสิ่งหนึ่งที่หม่อมฉันอยากบอกพระองค์ หม่อมฉันเกลียดการคลุมถุงชนนี้ เพราะมันทำให้หม่อมฉันไม่อาจอยู่กับชายอันเป็นที่รักได้ ทว่าพระองค์นั้น... กลับสามารถแต่งกับหญิงกี่คนก็ได้ จะรักใครอีกสักกี่คนก็ได้ แต่หม่อมฉันทำไม่ได้ มู่ตันหยางต้องซื่อสัตย์ต่อบุรุษที่ไม่ได้รักนางแต่เพียงผู้เดียว สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเลย” ตันหยางพร่ำเพ้อราวกับคนเสียสติ จากนั้นนางก็เดินหนีไปดื้อ ๆ จิ่นหรงนั่งนิ่งเพราะสะดุดกับคำพูดหลาย ๆ ประโยคของนาง โดยเฉพาะช่วงท้ายก่อนที่ร่างอรชรจะเดินจากไป ใช่… มันเป็นเช่นที่นางว่า บุรุษสามารถมีภรรยาได้หลายคน รักแล้วก็รักได้อีก และน้อยคนนักที่จะมีเพียงภรรยาเดียว ส่วนสตรีนั่นหรือ เมื่อแต่งให้ผู้ใดก็จำต้องซื่อสัตย์ไปจนวันตาย “มู่ตันหยางต้องซื่อสัตย์ต่อบุรุษที่ไม่ได้รักนางแต่เพียงผู้เดียว” จิ่นหรงทวนคำที่นางเอ่ยในช่วงท้ายอย่างใจหาย ก่อนจะหันไปมองร่างอรชรที่ทิ้งตัวลงนอนแล้วในยามนี้ ‘ข้าทำผิดต่อเจ้าจริง ๆ สินะ’ จิ่นหรงยังคงนึกในใจอย่างว้าวุ่น และเขายังคงนั่งอยู่ตรงนี้เนิ่นนาน กระทั่งรู้สึกว่ามันดึกเต็มที จึงลุกขึ้นปิดหน้าต่างแล้วเดินมายืนมองนางอยู่ครู่หนึ่ง นางไม่ร้องแล้ว สตรีผู้นี้เป็นคนเข้มแข็งจริง ๆ แม้จะบ่นพร่ำเพ้อ ถึงกระนั้นนางก็ยังสลัดความทุกข์ออกไปได้ในเวลาอันรวดเร็ว ราวกับก่อนหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น ร่างสูงขยับก้าวขึ้นเตียง เมื่อเขาเอนตัวลงนอนก็ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก เพราะคำพูดสุดท้ายของนางมันยังติดอยู่ในหัว ทำให้เขารู้สึกผิดอยู่ในใจ เขาปากร้ายกับคนดีเช่นนี้ได้เยี่ยงไร มิหนำซ้ำคืนแต่งงานตนยังเอ่ยต่อหน้าว่าไม่ชอบนาง และมักจะใช้คำพูดเสียดสีใส่ชายาตัวน้อยอยู่บ่อยครั้ง ‘ข้าควรทำเช่นไรดี’ เขายังคงเฝ้าถามตนเอง และขยับหันตะแคงไปมองร่างที่นอนนิ่งหันหลังให้อย่างพินิจ แต่ยังไม่ทันไรนางก็พลิกตัวหันมาหา พร้อมกับดึงรั้งผ้าห่มบนตัวเขา และเหมือนจะไม่ได้ดั่งใจ ร่างเล็กจึงขยับเข้าใกล้พร้อมกับสอดแขนเข้ามาโอบกอด ให้ใบหน้ามุดซุกอยู่ที่ซอกคอเขา จิ่นหรงกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เพราะร่างของชายาตัวน้อยมันเบียดเสียดกับเขาเหลือเกิน มิหนำซ้ำกลิ่นหอมอ่อน ๆ บนศีรษะ มันยังชวนให้เขาสูดดมอยู่เรื่อย ๆ 'ช่างเถอะ ถือว่าข้าตอบแทนเจ้าที่เคยช่วยแล้วกัน หวังว่าตื่นมาเจ้าจะไม่โวยวายนะ’ นึกในใจก่อนจะปิดเปลือกตาลง ไม่นานเขาก็หลับไป ทั้งที่ก่อนหน้ามีเรื่องให้ครุ่นคิดจนนอนไม่หลับแท้ ๆ ทว่าพอได้สัมผัสจากร่างอรชรเขากลับหลับไปเสียนี่ เช้าของวันใหม่… ตันหยางตื่นก่อนเหมือนเคย ดวงตาสวยค่อย ๆ เปิดขึ้นเพราะนางสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่โอบกอดร่างกายตนอยู่ และไม่ต้องสงสัยว่าใครกันที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ ใบหน้างามจึงเงยขึ้นมองเสี้ยวหน้าอีกฝ่ายที่ยังคงหลับอย่างสบายใจ ‘ชิ! ปากอย่างการกระทำอีกอย่าง’ ก่นด่าเขาในใจ ก่อนจะพยายามแกะแขนที่โอบรอบตัวออก ทว่าแค่นางขยับเขาก็กระชับกอดแน่นขึ้น จนริมฝีปากนางชนเข้ากับคอเขา “อ๊ะ!” ตันหยางอุทานระคนตกใจ ซึ่งมันทำให้เปลือกตาเรียวเปิดขึ้นด้วยเช่นกัน จิ่นหรงขยับตัวออกทว่าสองแขนยังกอดรัดร่างเล็กไว้ เขาก้มลงมองใบหน้าที่ก้มอยู่ พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมา “ตื่นแล้วหรือ” “อืม” เสียงแผ่วตอบกลับ และยังไม่ยอมเงยขึ้นมาคุย แขนแกร่งที่กอดรัดจึงค่อย ๆ คลายออก ร่างอรชรจึงรีบพลิกตัวลุกขึ้นและลงจากเตียงอย่างไม่รีรอ ผู้เป็นสามีมองตามพร้อมกับยิ้มอ่อน “นึกว่าจะโวยวาย” จิ่นหรงพึมพำก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีก “หรือแท้ที่จริงนางชอบให้เรากอดเช่นนี้ หึหึ…ได้! ถือว่าข้าตอบแทนเจ้าในทุก ๆ เรื่อง ต่อไปหากข้าว่างข้าจะมานอนให้เจ้ากอดก็แล้วกัน”ตันหยางยกยิ้มกับท่าทางของสตรีตรงหน้า ต่างจากฮองเฮาที่นั่งมึนงงด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่ญาติผู้น้องตนเอ่ยเองว่า ผู้ที่ช่วยคนไว้คือตันหยาง และคนที่เฝ้าไข้บุรุษแปลกหน้าทั้งวันคืนก็ยังเป็นตันหยาง แล้วเหตุใดยามนี้ กู้อิงเถาถึงได้เอ่ยว่าคนผู้นั้นคือตนเอง ความสงสัยมีมาก ฮองเฮาจึงหันกลับมาหาตันหยางที่นั่งนิ่งทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้ม‘เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วนี่คนที่เสี่ยวอิงเอ่ยถึงคือรัชทายาทกระนั้นหรือ’ ฮองเฮาได้แต่นึกในใจเพราะไม่กล้าถาม ด้านจิ่นหรงเมื่อได้ฟังคำของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ‘นางคือหญิงสาวที่ช่วยเราไว้กระนั้นหรือ’“รัชทายาทจำหม่อมฉันไม่ได้จริงหรือเพคะ ตอนเจ็บป่วยหม่อมฉันหรืออุตส่าห์นั่งเฝ้าพระองค์ทั้งวัน ไยถึงลืมกันง่ายเพียงนี้เพคะ” อิงเถาเอ่ยตัดพ้อพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำทีสะอื้นไห้“ขะ… ข้าขอโทษ ยามนั้นเจ้าปิดหน้าไว้ข้าเลยจำไม่ได้ แล้วนี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” เมื่อได้สติเขาก็รีบถาม“หม่อมฉันเป็นญาติผู้น้องฮองเฮาเพคะ”“อย่างนี้เองหรือ” จิ่นหรงยิ้มอ่อน ก่อนจะหันมาหาชายาตนที่นั่งก้มหน้ามองกล่องในมืออย่างไม่แยแสอันใด“ลุกสิ ไยเจ้า
หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ตันหยางก็รีบออกจากห้อง วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักใหม่ เพราะนี่ก็สามวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนยังไม่ได้ไปถามไถ่อาการเลย แต่จะว่าไปนางเองก็เพิ่งฟื้นเมื่อบ่ายวาน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ใด“เจ้าจะไปไหน” จิ่นหรงเอ่ยถามชายาตัวน้อยเสียงอ่อน วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวสีชมพูอ่อน มันช่างขับกับผิวพรรณขาวผ่องของนางดีเหลือเกิน เสียก็ตรงเนินอกมันดูล้นจนเกินไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินมาหา แล้วยกผ้าที่คล้องอยู่บนแขนขึ้นมาพาดลงปิดส่วนที่ล้นออกมา“ใครเขาทำอย่างนี้กันเพคะ” ตันหยางท้วง พร้อมกับดึงผ้าลงมาไว้ที่แขนตนตามเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังจับพาดบ่าเช่นเคย“อย่าดื้อ มันดูไม่งามมิเห็นหรือ” เอ่ยพร้อมกับจ้องมาที่เนินเต้าอวบอิ่มของชายา และเขาก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น“คนชีกอ คิดว่าคนอื่นเขามีตามองแต่ตรงนี้เหมือนพระองค์หรือเพคะ ลามก” นางต่อว่าเขาก่อนจะรีบเดินหนีจิ่นหรงมองตามพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วหันมาหาคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คนเช่นข้าหรือชีกอ นางแต่งกายไม่มิดชิดข้าก็แค่ตักเตือน แต่นางกลับด่าข้ากระนั้นหรือ”สองสหายยิ้มแหย แต่ไม่มีใครกล้าตอบอันใด “
ความเงียบเข้าปกคลุมในทันที ไม่มีใครกล่าวอันใดอีกจนกระทั่งเกศาที่ถูกเช็ดมันเริ่มแห้ง ตันหยางจึงเอ่ยว่า“หม่อมฉันจะไปเอาหวีมาสางให้นะเพคะ”“อืม” จิ่นหรงรับคำ พร้อมกับเหลือบมองร่างอรชรที่เดินห่างออกไป ‘ทำไมนางถึงได้ดีกับข้านัก ทั้งที่ข้ามักจะว่าร้ายนางอยู่ตลอด หรือนางจะตกหลุมรักข้าอย่างที่จินเฉิงกล่าว’ เขานึกถึงคำพูดของคนสนิทที่เอ่ยบอกเมื่อวันก่อน มู่ตันหยางพยายามเข้าใกล้เขา และคอยยั่วยวนอยู่เสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน เขาคิดจนเหม่อ กระทั่งร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้จึงได้สติรีบหันหนีตันหยางยกยิ้ม ก่อนจะเดินมายืนซ้อนด้านหลังเขาเพื่อหวีผมให้ “ทำไมเพคะ ทรงคิดหาวิธีก่นด่าหม่อมฉันอีกหรือ”“ข้าอยากรู้…” เสียงทุ้มกลับขาดหายไป“ว่า?” คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที มือก็ชะงัก“เหตุใดเจ้าถึงดีกับข้านัก” ในที่สุดเขาก็ถามตันหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน เมื่อมือขาวเริ่มขยับ ปากนางก็พูดไปด้วย“หม่อมฉันแต่งให้พระองค์แล้ว ไม่ให้ดีกับพระองค์จะให้ไปดีกับผู้ใด มีสามีได้สองสามคนก็ว่าไปอย่าง หากเป็นเช่นนั้นรับรองว่าพระองค์จะไม่เอ่ยถามเช่นนี้แน่ เพราะหม่อมฉันคงขลุกอยู่เรือน
จิ่นหรงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมนานกว่าหนึ่งก้านธูป จนกระทั่งเสียงหวานของสนมเกาแว่วมาให้ได้ยิน ร่างสูงจึงรีบลุกพรวดแล้วเดินขึ้นเรือนชายาของตนไปในทันที ทำเอาสนมคนงามได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะไม่กล้าตามขึ้นไป “บ้าจริง ข้ามาช้าไปหรือนี่” นางบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินย่ำเท้าย้อนกลับไปยังเรือนพักด้วยอาการหงุดหงิดส่วนคนที่หนีขึ้นเรือนมาก็กำลังเดินตรงมายังห้องนอน เมื่อเห็นเพียงสาวใช้ของชายาตนอยู่ก็ไม่เอ่ยถามอันใด เพราะคิดว่าตันหยางคงกำลังอาบน้ำ จิ่นหรงจึงเอ่ยสั่งว่า “เจ้าไปเอาชุดที่ตำหนักมาให้ข้าที”“เพคะ” มู่หลิงรับคำแล้วก็ออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเข้าไปยังห้องอาบน้ำ“อยากดูก็เดินเข้ามาสิเพคะ ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นพวกถ้ำมองเลย” เสียงตำหนิดังขึ้นตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงชะงักเล็กน้อยแต่ก็เดินต่อจนมาหยุดที่ข้างขอบบ่อที่กว้างกว่าเตียงนอนเป็นเท่าตัว“จะอาบด้วยกันไหมเพคะ” ตันหยางเอ่ยเชิญชวน เพราะนางไม่ได้เปลือยผ้าอาบเหมือนผู้อื่น ยังมีผ้าพันผูกรอบกายอยู่ ทว่าหากนางลุกขึ้นมันย่อมเผยทรวดทรงองเอวให้เห็นเด่นชัดแน่จิ่
อี้ฟานยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น เพราะประโยคที่ได้ยินทำเขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยทีเดียว“ช่างเถิด ข้ารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ห่วงใย ทว่าเรื่องที่ข้าสั่งใต้เท้าก็ทำตามเถิด คนของข้าดูแลข้าได้ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม”“แต่ว่า…”ตันหยางเงยหน้ามองพร้อมกับใช้สายตากดต่ำจ้องเขา สุดท้ายองครักษ์หนุ่มจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงมิได้ขณะนั่นเอง…อรชรของสนมชิงก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง “หม่อมฉันสนมชิงบุตรสาวเจ้ากรมขุนนาง ขอถวายพระพรพระชายารัชทายาทเพคะ” ชิงอวี้หรูกล่าวอย่างนอบน้อม ท่วงท่าที่แสดงออกมาก็อ่อนช้อยนัก “นั่งสิ เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ” ตันหยางเอ่ยอย่างเป็นมิตร เพราะนางไม่ใช่คนที่ชอบตั้งแง่กับผู้ใดตั้งแต่แรกเห็น“หม่อมฉันแค่อยากมาเยี่ยมเพคะ ก่อนนี้มาแล้วทว่าพระชายายังไม่ได้สติ วันนี้ได้ข่าวว่าฟื้นแล้วเลยรีบมาดู”“ขอบใจนะข้าสบายดี แค่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น”“ดีจริงเพคะ เห็นเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจ” อวี้หรูยิ้มจนเห็นฟันขาว ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ตนเอ่ยด้วยมีสีหน้าเรียบเฉย นางก็หุบปากลงในทันที “พระชายาทรงกำลังคิดว่าหม่อมฉันมาถามเพื่อเอาใจพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ” ดวงตาเรียวเล็กกะพริบถี่รัว“
จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด“เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน” จิ่นหรงออกคำสั่งเอง ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท “หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ” ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง “อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน“ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดูจิ่น