หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ตันหยางก็รีบออกจากห้อง วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักใหม่ เพราะนี่ก็สามวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนยังไม่ได้ไปถามไถ่อาการเลย แต่จะว่าไปนางเองก็เพิ่งฟื้นเมื่อบ่ายวาน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ใด
“เจ้าจะไปไหน” จิ่นหรงเอ่ยถามชายาตัวน้อยเสียงอ่อน วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวสีชมพูอ่อน มันช่างขับกับผิวพรรณขาวผ่องของนางดีเหลือเกิน เสียก็ตรงเนินอกมันดูล้นจนเกินไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินมาหา แล้วยกผ้าที่คล้องอยู่บนแขนขึ้นมาพาดลงปิดส่วนที่ล้นออกมา “ใครเขาทำอย่างนี้กันเพคะ” ตันหยางท้วง พร้อมกับดึงผ้าลงมาไว้ที่แขนตนตามเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังจับพาดบ่าเช่นเคย “อย่าดื้อ มันดูไม่งามมิเห็นหรือ” เอ่ยพร้อมกับจ้องมาที่เนินเต้าอวบอิ่มของชายา และเขาก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น “คนชีกอ คิดว่าคนอื่นเขามีตามองแต่ตรงนี้เหมือนพระองค์หรือเพคะ ลามก” นางต่อว่าเขาก่อนจะรีบเดินหนี จิ่นหรงมองตามพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วหันมาหาคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คนเช่นข้าหรือชีกอ นางแต่งกายไม่มิดชิดข้าก็แค่ตักเตือน แต่นางกลับด่าข้ากระนั้นหรือ” สองสหายยิ้มแหย แต่ไม่มีใครกล้าตอบอันใด “ว่ามา! ข้าชีกอ ลามกตรงไหน” จิ่นหรงถามเสียงดัง สองสหายมองหน้ากันอีกรอบ ก่อนจะเป็นจินเฉิงที่เอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ปกติสตรีในแคว้นหนานเราก็แต่งกายเช่นนี้ พระชายาก็ทรงสวมชุดฮั่นฟู่ตามแบบขนบธรรมเนียมของแคว้นเรา มีตรงไหนผิดพลาดหรือพ่ะย่ะค่ะ” “ผิด! นางชอบใส่ชุดเผยเนื้อหนังมังสา” “รัชทายาทหวงหรือพ่ะย่ะค่ะ” อี้ฟานเอียงหน้ามอง จิ่นหรงเงียบไปทันที เมื่อตั้งสติได้จึงรีบเอ่ยว่า “ไม่มีทาง! ข้าแค่เกรงว่านางจะทำให้ราชวงศ์ต้องอับอายเท่านั้น ข้าเป็นถึงรัชทายาท จะมาเสียชื่อเพราะการแต่งกายของนางไม่ได้ หากไม่คุมเข้มนาง ภายหน้ามู่ตันหยางจะต้องนำเรื่องเสื่อมเสียมาให้ข้าต้องหงุดหงิดอีกเป็นแน่” “อ๋อ!!” สองสหายร้องออกมาพร้อมกัน ผู้เป็นนายเหลือบมองด้วยหางตาเล็กน้อย ก่อนจะเดินนำออกไปเพื่อดูว่าชายาตนไปที่ใด พอรู้ว่านางไปเยี่ยมเสด็จย่าเขาจึงแยกไปทำงาน ด้านตันหยาง ยามนี้นางกำลังตรวจชีพจรให้ไทเฮา สร้างความปลาบปลื้มให้กับคนแก่ยิ่งนัก ถึงกับเอ่ยชมไม่หยุดปากเชียว “วาสนาของราชวงศ์เจิ้งของเราจริง ๆ ที่ได้เจ้ามาเป็นสะใภ้ ย่าดีใจเหลือเกินหยางเอ๋อร์” กล่าวพร้อมกับลูบหัวอย่างเอ็นดู “หม่อมฉันยินดีที่ได้รับใช้ราชวงศ์เจิ้งเพคะ” หญิงสาวตอบกลับด้วยถ้อยคำหวานหู เรื่องเอาใจคนนั้นไม่ต้องเป็นกังวลเลย ตันหยางมีวิธีทำให้คนรอบตัวรักใคร่ได้เสมอ เพราะเหตุนี้บิดาและพี่ ๆ จึงไม่ค่อยเป็นห่วง ห่วงก็แค่คนที่คิดร้ายกับตันหยางมากกว่า เพราะคนคนนั้นไม่มีทางอยู่ดีมีสุขแน่ “ไทเฮา คนจากตำหนักในมาเพคะ เห็นว่าฮองเฮาอยากเชิญพระชายาไปพบ มีของขวัญจะให้เพคะ” นางกำนัลเอ่ยรายงาน ก่อนจะถอยออกไปยืนที่มุมห้อง “ดูท่าฮองเฮาคงอยากขอบคุณเจ้าเรื่องวันนั้นกระมัง ไปเถิด เสร็จแล้วก็กลับไปพักผ่อนเสีย” ตันหยางยิ้มรับก่อนจะย่อตัวคารวะอีกฝ่าย แล้วเดินตามนางกำนัลที่มาเชิญตนออกไป โดยมีไทเฮามองตามจนลับตา “ทั้งงดงามและแข็งแกร่งนะเพคะ” หลี่หมัวมัวเอ่ย “ใช่… เป็นบุญของราชวงศ์เจิ้งเราจริง ๆ หากไม่มีนาง เรากับเยว่เอ๋อร์และคนอื่น ๆ คงตายไปแล้ว” “ทว่าหม่อมฉันได้ยินว่า องค์รัชทายาทไม่ค่อยใส่พระทัยพระชายาสักเท่าใดเพคะ” คนสนิทรีบรายงาน “จริงหรือ? จิ่นเอ๋อร์นี่ไม่ได้ความจริง ๆ ให้คนไปตามเขามา ข้าคงต้องอบรมนิสัยเจ้าเด็กคนนี้ใหม่เสียแล้ว” คนสนิทรับคำแล้วก็สั่งนางกำนัลไปทำหน้าที่ คาดว่าอีกไม่นานรัชทายาทก็คงเสด็จมา และคงได้หูชาอีกตามเคย ด้านตันหยาง เมื่อเดินเข้ามาในตำหนักในก็พบว่าฮองเฮามิได้อยู่ผู้เดียว แต่มีแขกคุ้นหน้านั่งรวมอยู่ด้วยอีกคน “ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” “ตามสบายเถิด มา ๆ มานั่งตรงนี้” มารดาของแผ่นดินรีบเอ่ยกับคนที่ช่วยชีวิตตน พร้อมกับยิ้มกว้างต้อนรับอย่างเป็นมิตร ตันหยางจึงหันมายิ้มให้สตรีอีกคนก่อนจะนั่งลง “นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะโชคดีได้ยลโฉมพระชายารัชทายาทด้วย ทรงจำหม่อมฉันได้ไหมเพคะ” ผู้ที่นั่งอยู่เอ่ยทักทาย “จำได้ พี่กู้อิงเถา สบายดีหรือเจ้าคะ” “หม่อมฉันสบายดีเพคะ” อีกฝ่ายยิ้มอ่อนให้ “นี่เจ้าสองคนรู้จักกันด้วยหรือ” ฮองเฮารีบเอ่ยถาม เพราะนึกไม่ถึงว่าญาติผู้น้องตนจะรู้จักกับพระชายาของรัชทายาท “เราเคยเดินร่วมทางกันเพคะ ยามนั้นเกิดเหตุไม่คาดคิดด้วย มีกลุ่มคนถูกลอบทำร้ายมาขอความช่วยเหลือ พระชายารัชทยาทจึงช่วยเอาไว้ และยังรักษาบาดแผลให้ชายหนุ่มผู้นั้น จับเขาเปลื้องอาภรณ์ด้านบนจนหมดเพื่อใส่ยาให้ และยังคอยเฝ้าไข้ให้ตลอดทั้งคืนเลยนะเพคะ” กู่อิงเถายังคงจีบปากจีบคอกล่าว หมายจะให้ฮองเฮาเอาเรื่องนี้ไปทูลไทเฮาให้ทรงทราบ รับรองว่ามู่ตันหยางต้องถูกตำหนิและสอบสวนเป็นแน่ การทำผิดจารีตก่อนเข้าวังถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามอันร้ายแรงของสตรี หญิงสูงศักดิ์ไม่ควรแต่ต้องบุรุษอื่นนอกจากคู่ครอง “มะ… มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” เสียงของฮองเฮาติดขัดทันที พร้อมกับหันมามองหน้าตันหยางเป็นเชิงถาม “มีเพคะ และมันเป็นเรื่องปกติด้วย เพราะก่อนหน้าจะแต่งเข้าวัง หม่อมฉันคือผู้ดูแลสำนักคุ้มภัยของท่านปู่ คนรอบตัวส่วนมากมักจะเป็นบุรุษ และหลาย ๆ ครั้งที่ช่วยคนก็ไม่ได้นึกว่าอีกฝ่ายจะเป็นหญิงหรือชาย หากประสบเคราะห์มาทุกคนในสำนักย่อมช่วยเป็นธรรมดา ส่วนชายหนุ่มที่หม่อมฉันดูแลทั้งคืน เขาเจ็บหนักและเสียเลือดมาก ในฐานะคนเป็นหมอก็จำต้องเฝ้าดูอาการตลอด มิเช่นนั้นเขาอาจสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ หม่อมฉันไม่อาจเห็นใครตายไปต่อหน้าได้เพคะ” ตันหยางเอ่ยบอกเหตุผล ทว่าสายตาที่มองกู้อิงเถาไร้ซึ่งความเป็นมิตรเช่นเคย เพราะคำพูดของสตรีผู้นี้เหมือนจงใจทำให้ฮองเฮาเข้าใจตนผิด “เป็นเช่นนี้เองหรือ หากเจ้าเป็นหมอ เรื่องช่วยคนย่อมไม่แบ่งหญิงชายเป็นเรื่องธรรมดา มิน่าเจ้าถึงยอมเสี่ยงช่วยพวกเราขนาดนั้น ขอบใจนะลูกสะใภ้” ฮองเฮาเผยยิ้มเอ็นดู ก่อนจะหันมาหาคนสนิท นางกำนัลจึงรีบยื่นกล่องให้ “นี่เป็นมุกที่เมืองเปี้ยนส่งมา มีแต่เม็ดงาม ๆ เลยนะ แม่ให้เจ้านะหยางเอ๋อร์ เจ้าอยากเอาไปทำเครื่องประดับแบบไหนก็ตามใจเจ้าเลย” ฮองเฮาเอ่ยเสียงอ่อนด้วยความเอ็นดู ทว่าผู้ที่นั่งมองกลับกำมือแน่น ‘หญิงหยาบกร้านเช่นนี้ ควรค่ากับมุกงาม ๆ ที่ไหนกัน เหตุใดท่านพี่ไม่เหลือแบ่งมอบให้ข้าบ้าง’ อิงเถาตำหนิญาติผู้พี่ตนในใจ แววตาที่มองทั้งคู่มิได้เป็นมิตรเลย ทว่าไม่ถึงอึดใจมันก็หายไป “อิงเถา พี่ก็มีของให้เจ้านะ” ฮองเฮาหันมาพยักหน้าให้คนสนิท หลี่หมัวมัวจึงถือเอากล่องไม้ไปส่งให้ ผู้รับก็รีบเปิดออกดูทันที “ชอบหรือไม่ อันนี้พี่สั่งทำให้เจ้ากับน้องรองเลยนะ” “ชอบเพคะ” อิงเถาเงยหน้าขึ้นมาตอบ ทว่าในใจยังคงอยากได้มากกว่าที่มือตนถือ เพราะในนี้ก็แค่ปิ่นมุกไม่กี่อัน ไหนเลยจะเทียบกับมุกล้วน ๆ ที่มีอยู่เต็มกล่องบนมือมู่ตันหยางได้ ทว่าความแค้นที่มีในใจกลับมลายหายไป เมื่อนางได้ยินรายงานจากนางกำนัลที่เดินเข้ามาหยุดกลางห้อง “ฮองเฮา รัชทายาททรงเสด็จมารับพระชายาเพคะ” “อะไรกัน ถึงกับห่างไม่ได้เลยหรือ ถึงได้รีบมารับกลับเช่นนี้ ข้ายังไม่ทันได้คุยอันใดกับสะใภ้เลยนะ” ฮองเฮาบ่นพึมพำ ก่อนจะมองไปยังร่างสูงที่เดินตรงเข้ามาและคำนับนาง “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะพาพระชายาไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าด้วยกัน ขอฮองเฮาทรงอนุญาตด้วย” จิ่นหรงเอ่ยจบก็หันไปหาชายาของตนที่นั่งอยู่ทางด้านขวามือ ทว่าเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นมาขัดจังหวะ ทำให้ทุกคนต้องหันไปสนใจ “ระ…รัชทายาท! นี่ท่านเป็นรัชทายาทหรือ จำหม่อมฉันได้ไหมเพคะ สตรีที่ช่วยพระองค์ไว้เมื่อครึ่งเดือนก่อน และคอยเฝ้าไข้พระองค์ตลอดทั้งวัน” กู้อิงเถารีบลุกขึ้นมาให้อีกฝ่ายเห็น พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้บุรุษตรงหน้าอย่างไม่เคอะเขินตันหยางยกยิ้มกับท่าทางของสตรีตรงหน้า ต่างจากฮองเฮาที่นั่งมึนงงด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเมื่อครู่ญาติผู้น้องตนเอ่ยเองว่า ผู้ที่ช่วยคนไว้คือตันหยาง และคนที่เฝ้าไข้บุรุษแปลกหน้าทั้งวันคืนก็ยังเป็นตันหยาง แล้วเหตุใดยามนี้ กู้อิงเถาถึงได้เอ่ยว่าคนผู้นั้นคือตนเอง ความสงสัยมีมาก ฮองเฮาจึงหันกลับมาหาตันหยางที่นั่งนิ่งทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้ม‘เรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ แล้วนี่คนที่เสี่ยวอิงเอ่ยถึงคือรัชทายาทกระนั้นหรือ’ ฮองเฮาได้แต่นึกในใจเพราะไม่กล้าถาม ด้านจิ่นหรงเมื่อได้ฟังคำของสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ‘นางคือหญิงสาวที่ช่วยเราไว้กระนั้นหรือ’“รัชทายาทจำหม่อมฉันไม่ได้จริงหรือเพคะ ตอนเจ็บป่วยหม่อมฉันหรืออุตส่าห์นั่งเฝ้าพระองค์ทั้งวัน ไยถึงลืมกันง่ายเพียงนี้เพคะ” อิงเถาเอ่ยตัดพ้อพร้อมกับยกมือขึ้นมาทำทีสะอื้นไห้“ขะ… ข้าขอโทษ ยามนั้นเจ้าปิดหน้าไว้ข้าเลยจำไม่ได้ แล้วนี่เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” เมื่อได้สติเขาก็รีบถาม“หม่อมฉันเป็นญาติผู้น้องฮองเฮาเพคะ”“อย่างนี้เองหรือ” จิ่นหรงยิ้มอ่อน ก่อนจะหันมาหาชายาตนที่นั่งก้มหน้ามองกล่องในมืออย่างไม่แยแสอันใด“ลุกสิ ไยเจ้า
หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อย ตันหยางก็รีบออกจากห้อง วันนี้นางตั้งใจจะไปเยี่ยมไทเฮาที่ตำหนักใหม่ เพราะนี่ก็สามวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง ตนยังไม่ได้ไปถามไถ่อาการเลย แต่จะว่าไปนางเองก็เพิ่งฟื้นเมื่อบ่ายวาน จึงไม่ได้ไปเยี่ยมผู้ใด“เจ้าจะไปไหน” จิ่นหรงเอ่ยถามชายาตัวน้อยเสียงอ่อน วันนี้นางแต่งกายด้วยอาภรณ์พลิ้วไหวสีชมพูอ่อน มันช่างขับกับผิวพรรณขาวผ่องของนางดีเหลือเกิน เสียก็ตรงเนินอกมันดูล้นจนเกินไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินมาหา แล้วยกผ้าที่คล้องอยู่บนแขนขึ้นมาพาดลงปิดส่วนที่ล้นออกมา“ใครเขาทำอย่างนี้กันเพคะ” ตันหยางท้วง พร้อมกับดึงผ้าลงมาไว้ที่แขนตนตามเดิม แต่อีกฝ่ายก็ยังจับพาดบ่าเช่นเคย“อย่าดื้อ มันดูไม่งามมิเห็นหรือ” เอ่ยพร้อมกับจ้องมาที่เนินเต้าอวบอิ่มของชายา และเขาก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น“คนชีกอ คิดว่าคนอื่นเขามีตามองแต่ตรงนี้เหมือนพระองค์หรือเพคะ ลามก” นางต่อว่าเขาก่อนจะรีบเดินหนีจิ่นหรงมองตามพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วหันมาหาคนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คนเช่นข้าหรือชีกอ นางแต่งกายไม่มิดชิดข้าก็แค่ตักเตือน แต่นางกลับด่าข้ากระนั้นหรือ”สองสหายยิ้มแหย แต่ไม่มีใครกล้าตอบอันใด “
ความเงียบเข้าปกคลุมในทันที ไม่มีใครกล่าวอันใดอีกจนกระทั่งเกศาที่ถูกเช็ดมันเริ่มแห้ง ตันหยางจึงเอ่ยว่า“หม่อมฉันจะไปเอาหวีมาสางให้นะเพคะ”“อืม” จิ่นหรงรับคำ พร้อมกับเหลือบมองร่างอรชรที่เดินห่างออกไป ‘ทำไมนางถึงได้ดีกับข้านัก ทั้งที่ข้ามักจะว่าร้ายนางอยู่ตลอด หรือนางจะตกหลุมรักข้าอย่างที่จินเฉิงกล่าว’ เขานึกถึงคำพูดของคนสนิทที่เอ่ยบอกเมื่อวันก่อน มู่ตันหยางพยายามเข้าใกล้เขา และคอยยั่วยวนอยู่เสมอ คืนนี้ก็เช่นกัน เขาคิดจนเหม่อ กระทั่งร่างเล็กเดินเข้ามาใกล้จึงได้สติรีบหันหนีตันหยางยกยิ้ม ก่อนจะเดินมายืนซ้อนด้านหลังเขาเพื่อหวีผมให้ “ทำไมเพคะ ทรงคิดหาวิธีก่นด่าหม่อมฉันอีกหรือ”“ข้าอยากรู้…” เสียงทุ้มกลับขาดหายไป“ว่า?” คิ้วสวยขมวดเป็นปมทันที มือก็ชะงัก“เหตุใดเจ้าถึงดีกับข้านัก” ในที่สุดเขาก็ถามตันหยางเงียบไปครู่หนึ่ง ทว่านางก็ไม่ได้ปล่อยให้อีกฝ่ายรอนาน เมื่อมือขาวเริ่มขยับ ปากนางก็พูดไปด้วย“หม่อมฉันแต่งให้พระองค์แล้ว ไม่ให้ดีกับพระองค์จะให้ไปดีกับผู้ใด มีสามีได้สองสามคนก็ว่าไปอย่าง หากเป็นเช่นนั้นรับรองว่าพระองค์จะไม่เอ่ยถามเช่นนี้แน่ เพราะหม่อมฉันคงขลุกอยู่เรือน
จิ่นหรงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมนานกว่าหนึ่งก้านธูป จนกระทั่งเสียงหวานของสนมเกาแว่วมาให้ได้ยิน ร่างสูงจึงรีบลุกพรวดแล้วเดินขึ้นเรือนชายาของตนไปในทันที ทำเอาสนมคนงามได้แต่ยืนนิ่งงัน เพราะไม่กล้าตามขึ้นไป “บ้าจริง ข้ามาช้าไปหรือนี่” นางบ่นพึมพำ ก่อนจะเดินย่ำเท้าย้อนกลับไปยังเรือนพักด้วยอาการหงุดหงิดส่วนคนที่หนีขึ้นเรือนมาก็กำลังเดินตรงมายังห้องนอน เมื่อเห็นเพียงสาวใช้ของชายาตนอยู่ก็ไม่เอ่ยถามอันใด เพราะคิดว่าตันหยางคงกำลังอาบน้ำ จิ่นหรงจึงเอ่ยสั่งว่า “เจ้าไปเอาชุดที่ตำหนักมาให้ข้าที”“เพคะ” มู่หลิงรับคำแล้วก็ออกไปจากห้อง เมื่อประตูปิดลงร่างสูงก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังมุมห้องเพื่อเข้าไปยังห้องอาบน้ำ“อยากดูก็เดินเข้ามาสิเพคะ ไม่เห็นต้องทำตัวเป็นพวกถ้ำมองเลย” เสียงตำหนิดังขึ้นตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ก้าวขาเข้ามาเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงจึงชะงักเล็กน้อยแต่ก็เดินต่อจนมาหยุดที่ข้างขอบบ่อที่กว้างกว่าเตียงนอนเป็นเท่าตัว“จะอาบด้วยกันไหมเพคะ” ตันหยางเอ่ยเชิญชวน เพราะนางไม่ได้เปลือยผ้าอาบเหมือนผู้อื่น ยังมีผ้าพันผูกรอบกายอยู่ ทว่าหากนางลุกขึ้นมันย่อมเผยทรวดทรงองเอวให้เห็นเด่นชัดแน่จิ่
อี้ฟานยืนนิ่งไม่ต่างจากรูปปั้น เพราะประโยคที่ได้ยินทำเขาลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เลยทีเดียว“ช่างเถิด ข้ารู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้ห่วงใย ทว่าเรื่องที่ข้าสั่งใต้เท้าก็ทำตามเถิด คนของข้าดูแลข้าได้ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่ม”“แต่ว่า…”ตันหยางเงยหน้ามองพร้อมกับใช้สายตากดต่ำจ้องเขา สุดท้ายองครักษ์หนุ่มจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงมิได้ขณะนั่นเอง…อรชรของสนมชิงก็ก้าวเข้ามาในห้องโถง “หม่อมฉันสนมชิงบุตรสาวเจ้ากรมขุนนาง ขอถวายพระพรพระชายารัชทายาทเพคะ” ชิงอวี้หรูกล่าวอย่างนอบน้อม ท่วงท่าที่แสดงออกมาก็อ่อนช้อยนัก “นั่งสิ เจ้ามาหาข้ามีธุระอันใดหรือ” ตันหยางเอ่ยอย่างเป็นมิตร เพราะนางไม่ใช่คนที่ชอบตั้งแง่กับผู้ใดตั้งแต่แรกเห็น“หม่อมฉันแค่อยากมาเยี่ยมเพคะ ก่อนนี้มาแล้วทว่าพระชายายังไม่ได้สติ วันนี้ได้ข่าวว่าฟื้นแล้วเลยรีบมาดู”“ขอบใจนะข้าสบายดี แค่หลับนานไปหน่อยเท่านั้น”“ดีจริงเพคะ เห็นเช่นนี้หม่อมฉันก็เบาใจ” อวี้หรูยิ้มจนเห็นฟันขาว ทว่าเมื่อเห็นผู้ที่ตนเอ่ยด้วยมีสีหน้าเรียบเฉย นางก็หุบปากลงในทันที “พระชายาทรงกำลังคิดว่าหม่อมฉันมาถามเพื่อเอาใจพระองค์ใช่หรือไม่เพคะ” ดวงตาเรียวเล็กกะพริบถี่รัว“
จิ่นหรงได้แต่นั่งนิ่งมองชายาของตนอย่างชื่นชม แต่ยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ตำหนักอันสวยงามก็พังครืนลงมา และเป็นช่วงที่เหล่าองครักษ์ฝ่ายในดับไฟที่ประตูทางเข้าได้พอดี“ฝ่าบาท! กระหม่อมขออภัยที่อารักขาล่าช้าพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์จินอู่เอ่ยพร้อมกับหมอบลงอย่างสำนึกผิด“เรื่องสำคัญยามนี้ควรต้องรีบพาคนเจ็บไปรักษา รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่ก่อน” จิ่นหรงออกคำสั่งเอง ยามนี้ร่างกายเขาเริ่มกลับมามีแรงบ้างแล้ว เพียงแต่มันยังไม่เต็มที่นัก จากนั้นเขาก็หันมาหาร่างอรชรที่นอนแผ่หราบนพื้นหญ้า“พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” มู่หลิงรีบมาประคองผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตันหยางหมดสติ ก่อนหน้านี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ตามเข้ามา จึงต้องรออยู่ด้านนอกรวมกับองครักษ์ของรัชทายาท “หลินเอ๋อร์รีบดูน้องสิ” ผู้เป็นย่าร้องเตือนด้วยความกังวล เพราะเกรงหลานสะใภ้ตนจะหมดสติ จิ่นหรงจึงรีบเข้ามาจับนาง “อื้อ…อย่ากวนคนจะนอน” เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ ทำให้ผู้ที่เป็นห่วงถึงกับส่ายศีรษะไปตาม ๆ กัน“ดูท่าหยางเอ๋อร์คงจะเหนื่อยมาก หลินเอ๋อร์เจ้าพาน้องกลับไปพักเถิด” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงเอ็นดูจิ่น