เที่ยงวันถัดมา ณ จวนสกุลหยางรถม้าจากสกุลแม่ทัพ ได้เคลื่อนมาจอดอยู่หน้าประตูจวนสกุลหยาง ท่านแม่ทัพใหญ่ได้ก้าวลงจากรถม้า โดยมีภรรยาและบุตรสาวคนโตก้าวตามลงมาเพียงเท้ายืนได้มั่นคง ลั่วคังอันมองตรงไปยังหน้าประตูบานใหญ่ ด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย นานแค่ไหนแล้ว ที่นางไม่ได้มาเยือนที่นี่ คงมีเพียงขนมและของใช้บางอย่างเท่านั้น ที่นางส่งให้แก่สหายเก่า ที่กำลังจะกลายมาเป็นสามีของนาง ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้วทหารหน้าประตู รีบวิ่งลงมาโค้งกายให้แก่แขกผู้มาเยือน แน่นอนว่าเรื่องการมาของสกุลแม่ทัพ หยางฮูหยินได้แจ้งแก่เขาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว“ข้าน้อยขอคารวะท่านแม่ทัพใหญ่ เชิญด้านในขอรับ”ทหารหน้าประตู รีบผายมือให้แก่ชายซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทรงนำของเมืองหลวง แค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมา ก็ทำให้เขาราวกับเป็นมดตัวน้อย หาได้เทียบเคียงท่านแม่ทัพใหญ่ลั่วเจิ้งคัง ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวลั่วเจิ้งคังพยักหน้ารับ ก่อนจะยื่นมือไปให้ภรรยาจับ สองสามีภรรยาเดินเข้าไปภายจวน โดยมีแม่ทัพสาวในชุดของสตรีเต็มตัว ก้าวตามพ่อแม่เข้าไป นี่คือเวลาที่บิดาของนางอยู่นอกบ้าน เขาจะเป็นชายที่อบอุ่นกับภรรยา ทั้งยังคงมีความสง่างามเยี่ยงนัก
อู๋เกอรับถ้วยน้ำตาล มาจากหลินม่อเฉิงด้วยมือที่ยังสั่นเทา เพราะภาพที่มันติดตาไม่หาย ในเมื่อท้องที่เคยกลมโต มีเด็กถูกพาออกมามีทั้งเลือดและไส้ ไม่สิ! สายสะดือเส้นยาวนั่นด้วยมันทำให้เขานึกถึงมารดา และพี่น้องที่เป็นสตรีในบ้าน ว่าต้องผ่านช่วงเวลานี้กันทุกคน และมันจะลำบาก ทั้งเสี่ยงอันตรายยิ่งนัก ชายชาติทหารเยี่ยงเขา ยังไม่สามารถอดทนได้ เท่าคนเป็นแม่เลยจริงๆลั่วคังอัน ช่วยประคองศีรษะของคนเจ็บให้สูงขึ้น เพื่อจะได้ดื่มต้มน้ำตาลแดงได้สะดวกขึ้น อู๋เกอช่วยเป่าให้มันอุ่นก่อน แล้วป้อนหญิงสาวด้วยมือที่ยังสั่นน้อยๆเสียงเด็กที่ร้องจ้าสงบลง โดยมีเสวียนเชียว ช่วยล้างตัวและห่อผ้าเอาไว้ เขาไม่สนว่าตอนนี้แม่ของทารก จะยังเนื้อตัวเปรอะเปื้อนอยู่ ชายหนุ่มรีบส่งห่อผ้าเข้าไปในอ้อมแขนที่ยังอ่อนแรง โดยมีหลีถงช่วยประคองแขนนางให้กอดลูกเอาไว้“เขาเป็นเด็กผู้ชาย เจ้ากอดเขาเอาไว้สักครู่ ทำความสะอาดตัวเจ้าแล้ว ค่อยป้อนนมให้แก่เขา”เสวียนเชียวบอกกับหญิงสาว ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น นี่คือเด็กคนแรกในชีวิต ที่เขาทำคลอดและช่วยชีวิตไว้ได้อย่างหวุดหวิด“ข้ามิรู้จะขอบคุณพวกท่านอย่างไร ข้า...ขะ...ข้ามิได้อยากจะทำร้ายฉู่ผิง เพราะคว
ลั่วคังอันไม่ได้ใส่ใจต่อชายเจ้าของบ้าน เพราะไม่ว่าคนข้างใน คิดจะหนีไปที่ใด อย่างไรเสียก็ไม่มีทางรอดไปได้อยู่ดี ส่วนเป้าหมายนั้นนับว่าติดกับของพวกนางอย่างสมบูรณ์แบบ เท่ากับพวกนางล่อเหยื่อได้สำเร็จแต่ผิดคาดก็คงเรื่องของหญิงตั้งครรภ์ผู้นี้เท่านั้น ที่ได้รับผลพวงไปด้วยอย่างไม่ตั้งใจ ด้วยไม่คิดว่าชายผู้นั้นจะกล้าทิ้งภรรยาท้องแก่หลบหนีอันตราย โดยไม่ใยดีต่อความเป็นสามีภรรยา ชายหนุ่มทั้งหก ต่างแยกกันทำหน้าที่ของตนเองอย่างเร่งรีบ เพราะมันมิใช่แค่การผ่าเอาเด็กออก ซึ่งความเป็นไปได้ว่าจะรอดนั้นน้อยนิดยิ่งนัก แต่ก็ถือว่าพวกเขารับผิดชอบ ต่อเพื่อนมนุษย์ที่กำลังตกที่นั่งลำบาก อีกทั้งหน้าที่ของผู้ปกป้องแผ่นดิน จึงมิอาจเพิกเฉยต่อคนที่ไม่รู้เห็นในเรื่องนี้ไปได้หญิงสาวถูกอุ้มขึ้นวางบนโต๊ะตัวยาว ที่วางอยู่ตรงลานกว้าง โดยที่หนึ่งในชายหนุ่ม ได้ไฟก่อขึ้นไม่ห่างจากโต๊ะที่หญิงสาวนอนอยู่ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทางด้านลั่วคังอันเอง ก็ได้วิ่งเข้าไปในตัวเรือน เพื่อที่จะเตรียมผ้า และสิ่งจำเป็นในการผ่าตัด“ข้าจะไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย ทว่าเสวียนเชียวกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เขา
สองนายทหารได้ปลดโซ่ ออกให้แก่สาวใช้ เพื่อให้นางได้จัดการสิ่งตรงหน้า และเผยตัวอย่างชัดเจน ให้เป้าหมายที่ผู้เป็นนาย คาดการณ์ไว้ โผล่ออกมาให้เห็น แน่นอนว่าสาวใช้เมื่อได้รับอิสระ นางมิได้คิดหนีไปที่ใด แต่สิ่งที่นางต้องการทำมากที่สุด คือสะสางกับคนรักให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยในวันนี้ ร่างท้วมลุกพรวดขึ้นยืน ก่อนจะก้าวออกจากที่ซ่อน เดินตรงเข้าไปในบ้านของคนรัก ซึ่งก็คือบ้านที่นางซื้อไว้ให้เขาและพ่อแม่ของนางอาศัยอยู่ “เผยฮั่วเฉียว!” นางแผดเสียงเรียกสามี ด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด และปนไปด้วยความเจ็บร้าวไปทั้งใจ ดวงตาของนางแดงก่ำราวสีเลือด ไหนกัน! คนที่บอกจะดูแลพ่อแม่ของนางเป็นอย่างดี “ฉู่ผิง!” ชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาดี รีบขยับบังร่างของภรรยารักเอาไว้ ด้วยเขาไม่อาจคาดเดาได้ ว่าหญิงสาวที่เขาหลอกลวงว่ารัก จะลงมือต่อภรรยาของเขาหรือไม่ ซึ่งหญิงตั้งครรภ์เองก้รู้สึกตื่นตกใจ จนแทบจะเป็นลมหมดสติ นางที่แสร้งเป็นน้องสาวสามีมาตลอด ไม่คิดฝันว่าจะถูกจับได้ในตอนนี้ ความสุขสบายที่ได้รับมาตลอดหลายปี มันอาจจะหายไปในฉับพลัน หากฉู่ผิงเลือกที่จะตัดสัมพันธ์ หรืออ
“ไม่เป็นไรแล้ว พี่อยู่ตรงนี้”ชายหนุ่มโอบกอดน้องสาวเอาไว้แน่น กรามแกร่งถูกขบจนเป็นสันนูน นั่นหมายความว่าเขากำลังมีโทสะอย่างถึงที่สุด น้องสาวเขาใครมันกล้าหยามหมิ่นได้ถึงเพียงนี้“เราเข้าไปนั่งคุยกันข้างในเถอะ”หยางมู่เสวียนเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเดินนำทุกคนไปยังห้องนั่งเล่น“น้องสาม มาพี่ช่วยพยุงเจ้า”หมับ! ทว่าก่อนที่มือของหยางเฮ่อหลง จะทันได้แตะตัวของหยางหลิงหลง มือเรียวของหยางเหยาเกอ ไว้คว้าจับข้อมือนั้นเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ“เอามือของเจ้าไปให้ห่างน้องสาวข้า”นับเป็นคำพูดที่ชัดเจนและห่างเหิน ราวกับหยางเฮ่อหลง มิใช่สายเลือดเดียวกับ นั่นก็ทำให้หยางเฮ่อหลงเอง ไม่ยินยอมที่จะล่าถอย เขาคิดที่จะยื้อยุดกับพี่ชายให้ถึงที่สุด ฟึ่บ! หยางเหยาเกอ สะบัดมือและปล่อยให้หยางเฮ่หลงเสียหลัก เซถอยไปหลายก้าวด้วยแรงยื้อซึ่งเขาไม่คิดว่าจะถูกอีกฝ่ายผลักออกมา และที่เหนือความคาดหมายคือพละกำลังของคนเป็นพี่ มันไม่เหมือนคนพิการไร้สามารถเลยสักนิดสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างบุตรชายทั้งสอง ทำให้หยางฮูหยิน เกิดความแคลงใจขึ้นมาทันที ว่าไยบุตรชายคนโตจึงรู้ว่ามือของเฮ่อหลง กำลังจะเอื้อมไปหาบุตรสาว ทั้งที่ดวงตานันมืดบอด“คุณชายให
หยางฮูหยินไม่คิดที่จะเอ่ยทัดทาน ด้วยนางเข้าใจดีว่าหลิงหลงนั้น เติบโตมาโดยมีสวี่เหยา เป็นเพื่อนเล่นมาตั้งแต่ยังเด็ก ความไว้ใจใดจะเท่าคนที่เติบโตมาด้วยกันเล่า หากนางแสดงการคัดค้าน อาจทำให้บุตรสาวหวาดระแวง จนถอยห่างนางมากไปกว่าเดิม “พาคุณหนูไปแต่งตัวเถอะ” หยางฮูหยินบอกกับสาวใช้ ก่อนที่ตัวนางจะเดินออกไปหาหยางสวี่เหยา เพื่อพูดคุยสักหน่อย “ฮูหยิน”ชายหนุ่มรีบขยับถอยห่าง แล้วค้อมกายให้แก่นายหญิงของบ้าน ด้วยท่าทางนอบน้อมดังเดิม “เจ้าทิ้งคุณชายใหญ่ไว้ลำพังหรือ”นางพอจะรู้ว่าหยางสวี่เหยานั้น ตัวแทบจะติดกับบุตรชายคนโต นับตั้งแต่กลับมาเมืองหลวง ซึ่งมันคือปกติของชายหนุ่มอยู่แล้ว “เป็นคุณชายที่เร่งให้ข้าน้อยมาขอรับ สักครู่คงมาถึงที่นี่ขอรับ”ชายหนุ่มไม่ได้โป้ปด เขาถูกสั่งให้ล่วงหน้ามาก่อน อีกสักครู่คุณชายใหญ่ก็คงมาถึงเรือนนี้ “เจ้าห่วงหลิงหลงมากหรือไม่” “หากข้าน้อยจะบอกว่า นางเสมือนน้องสาวของข้าน้อย ฮูหยินจะมองว่ามิควรหรือไม่เล่าขอรับ แต่สำหรับข้าน้อยนั้น ห่วงนางมิน้อยไปกว่าผู้ใดเลยขอรับ” “ท่านพี่เลี้ยงเจ้าเหมือนลูกอีกคน ข้าคงไ