“ปราบจะไปหาแม่”
ล้อรถเอสยูวีคันโตหยุดกึกลงในทันใด
“คุณปราบครับ นิ่ง ๆ ไว้อย่าดิ้น”
วิเชียรห้ามลูกเจ้านาย นี่คือเรื่องกังวลที่ทำเขาหน้าเสียในเช้านี้ ด้วยเจอพวกคนงานในป้อมเมื่อคืน เล่าว่าวัชรมัยอยู่ที่นั่นตลอด ตากฝนจนเช้า ลากก็ไม่ยอมไปไหน บอกจะรอเจอสกลกันต์
“หะ...เอ้ย!”
ไผทสบถ จ้องมองร่างบนถนนซึ่งมอมแมมไม่ต่างจากกองขยะเปียก
“พ่อ!”
เด็กชายสกลกันต์ร้องลั่น นายหัวเหลือบตาดูลูกน้องคู่ใจ วิเชียรเปิดประตูออก ไปปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยคนข้างหลังทันที ขาสั้นป้อมวิ่งปร๋อมุ่งไปยังถนน
“ทำไมแม่มาอยู่ตรงนี้ ไม่กลับสวรรค์แล้วใช่ไหม ทำไมแม่ตัวเปียก”
วัชรมัยปวดหนึบทั่วศีรษะ ความอ่อนล้าเพราะไม่ได้นอนทำให้สติรางเลือน กึ่งฝันกึ่งตื่น ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ที่เฝ้ารอมาทั้งคืน
“ปราบ...”
ร่างเล็กนิ่มโผเข้ากอดมารดาด้วยความคิดถึง จิตใจเด็กอันบริสุทธิ์ไม่ได้รังเกียจสภาพอันอเนจอนาถของมารดาเลย
“แม่กลับมาอยู่กับปราบตลอดไปแล้วใช่ไหม”
อ้อมกอดนุ่มอันแสนอบอุ่น กลิ่นกรุ่นนมสดที่แสนคิดถึง วัชรมัยดังคนร่อนเร่ในทะเลทราย เมื่อได้พบโอเอซิส ได้ลิ้มรสน้ำบริสุทธิ์ จึงยากจะห้ามใจไม่ให้ดื่มด่ำมันอีก
การได้อยู่กับลูก คือความสุขใจที่ไม่อาจปล่อยมือไปได้ แม้จะรู้ข้อจำกัดของเวลา แต่เธออยากสัมผัสความรู้สึกนี้ให้นานที่สุด
“ปราบ...”
วัชรมัยพร่ำเรียกชื่อลูกจากริมฝีปากอันซีดเซียว หยาดน้ำตาไหลริน มือสั่นเทาประคองแก้มกลมแดง
“แม่โดนฝนตกใส่เหรอ ทำไมไม่กางร่มล่ะ”
เจ้าตัวน้อยถามตามประสาซื่อ ฝนตกก็ต้องกางร่มสิ
“แม่ไม่มีร่มเหรอ ปราบให้ยืมนะ ปราบมีร่มลายสไปเดอร์แมนสู้กับเวน่อมด้วย น้าเชียรซื้อมาให้จากสิงคโปร์”
วิเชียรมองเจ้านาย ซึ่งทำหน้าถมึงทึง คิดอยู่แล้ว...ไม่ควรประเมินความรักของแม่ที่ต่อลูกต่ำไป
“แม่ตัวร้อนด้วยนี่ ไม่สบายเหรอ”
สกลกันต์รู้สึกถึงผิวเนื้ออันร้อนผ่าว แม้มีความชื้นจากน้ำฝนที่ซึมผ่านผ้าออกมาก็ตาม
“แม่...แม่”
วัชรมัยสติวูบโหวง ทรงตัวไม่ได้ กำลังจะโถมทับร่างเล็ก ไผทปราดมารับหญิงสาวไว้ได้ก่อน
“พ่อ แม่...แม่”
เด็กชายสกลกันต์กลับมาพูดติดอ่าง เบิกตาโพลงตื่นตระหนก
“สงสัยไข้กิน พวกเฝ้าป้อมบอกคุณมิ้งตากฝนทั้งคืน”
วิเชียรแยกเจ้านายตัวเล็กออก กันไม่ให้ติดไข้จากมารดา
“ยุ่งชะมัด!” นายหัวกวาดมืออุ้มร่างปวกเปียกขึ้นรถ
“กูจะเอามิ้งไปบ้าน มึงกับปราบรออยู่นี่ เดี๋ยวจะให้คนขับกระบะมา เอาปราบไปส่งโรงเรียน”
ขายาวก้าวพลางอุ้มคนในอ้อมกอด ไปวางที่เบาะหลัง
“ไม่เอา ปราบจะอยู่กับแม่ เดี๋ยวแม่หายไปอีก”
สกลกันต์ตามมาถึงรถ ปีนขึ้นไปนั่งข้างร่างมารดา ซึ่งผู้เป็นบิดาวางไว้
“ปราบ อย่าดื้อ”
นาน ๆ ทีไผทจะใช้น้ำเสียงกดดันกับลูก
“ปราบไม่ไปโรงเรียน ปราบจะอยู่กับแม่ เดี๋ยวแม่หายไปอีก”
เด็กชายแผดเสียงลั่นรถ ปากเบะ น้ำตาคลอหน่วย
“คุณปราบ”
วิเชียรช่วยพูดอีกแรง เขายืนอยู่ข้างประตูหลังที่ยังไม่ปิด
“ถ้าปราบอยู่กับแม่แล้ว แม่จะทิ้งปราบไปไม่ได้”
“พูดอะไรน่ะ”
ไผทคำรามในลำคอ อย่างที่ในชาตินี้ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ทำกับลูก
“ฮึก...ยายพุดก็พูด คนงานในสวนก็พูด ปราบเป็นเด็กโดนแม่ทิ้ง”
สกลกันต์เล่าละล่ำละลัก
“ทุกคนโกหก แม่ไม่ได้ทิ้งปราบ เห็นไหม แม่กลับมาหาปราบแล้ว ถ้าปราบไม่อยู่กับแม่ แม่จะหายไปอีก”
สำหรับไผทแล้ว ความจริงที่ได้ยินกับหูทำให้เขาเหมือนโดนหมัดน็อค รู้อยู่ อันนินทากาเลยิ่งห้ามก็เหมือนห้ามไฟไม่ให้มีควัน
แต่นึกไม่ถึง เรื่องจะถึงหูลูกชายแล้ว นานขนาดไหนกันที่สกลกันต์รู้ความจริง
“ปราบจะอยู่กับแม่”
เด็กชายห่อตัวซุกหน้าลงกับอกเปียก ๆ มีก้อนขม ๆ ตีขึ้นมาในลำคอชายหนุ่ม ทำเอาเขาหาเสียงตัวเองไม่เจอ
“นายหัวพาคุณมิ้งกลับบ้านก่อนเถอะครับ ไม่งั้นอาการอาจแย่ลง”
วิเชียรเตือนสติในสถานการณ์ครอบครัวอันวิกฤต
รถเอสยูวีแล่นกลับเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว คนงานถูกเรียกมาจัดการเนื้อตัวคนป่วย วัชรมัยไม่มีเสื้อผ้ามาเลย คนงานจึงให้ใส่ของตัวเองไปก่อน
“ไข้สูงอยู่นะคะ รอดูอาการก่อน ถ้าไม่ดีนายหัวค่อยพาไปโรงพยาบาล”
คนงานหญิงอีกคนที่เคยอบรมอสม.เบื้องต้น เป็นคนดูอาการให้
“ป้านิด แม่จะเจ็บไหมครับ”
สกลกันต์ไม่ยอมอยู่ห่างมารดา เด็กชายปักหลักอยู่ในห้องรับรองแขกที่ไผทจัดให้เป็นที่นอนวัชรมัย
“ถ้ากินยาเช็ดตัวบ่อย ๆ เดี๋ยวก็หายแล้วค่ะ”
คนงานทั้งสวนรู้เรื่องวัชรมัยตากฝนทั้งคืนแล้ว ยายพุดกับพวกในครัวโดนตัดเงินเดือนครึ่งหนึ่ง โทษฐานปากมากนินทาสกลกันต์
ถ้าใครยังพูดเรื่องไม่ดีให้เด็กชายรู้อีก คราวนี้จะโดนไล่ออกจากสวน คนงานจึงปิดปากเงียบสนิท ไม่กล้าจับกลุ่มนินทาเรื่องเจ้านายอีก
“แม่บอกถ้าปราบป่วย แม่จะเสียใจ ตอนนี้แม่ป่วย ปราบก็เสียใจมาก ๆ”
คำพูดใสซื่อ ทำเอาผู้ใหญ่ใจอ่อนยวบ วิเชียรผู้ซึ่งเป็นตัวแทนนายหัวมองสกลกันต์แล้วอยากไปหอมหัว
ลูกนายเป็นเด็กดีจริง ๆ ส่วนคนพ่อตอนนี้น่ะเหรอ
โน่น...อยู่ในสวนปาล์มคุมคนงาน
“ป้านิด โตขึ้นปราบจะเป็นหมอ ปราบอยากรักษาแม่” เจ้าตาใสเล่าความฝันในอนาคต ผู้ใหญ่พากันยิ้มเอ็นดู
“งั้นคุณปราบก็ต้องขยันเรียนหนังสือนะคะ วันนี้ไม่ไปโรงเรียนใช่ไหม ถึงไม่ไปโรงเรียนเราก็ต้องอ่านหนังสือนะครับ จะได้มีความรู้ ไปเป็นหมอได้”
วิเชียรอยากยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้ป้านิด จิตวิทยาเกลี้ยกล่อมเด็กเป็นเลิศ
“ปราบเอาหนังสือมาอ่านไปด้วย เฝ้าแม่ไปด้วยได้ไหมครับ” เด็กชายต่อรอง
“ยังไม่ได้ครับ แม่กำลังป่วยอยู่ เดี๋ยวติดไข้ ถ้าคุณปราบไม่สบายแม่จะเสียใจนะ”
สกลกันต์นิ่งคิดไปครู่ ก่อนพยักหน้ายินยอมทำตามแต่โดยดี
“บ๊าย...บายนะครับแม่ เดี๋ยวกลางวันปราบมาเยี่ยมอีก”
มือป้อมโบกไหว ๆ วิเชียรรุนหลังเจ้าตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชื้นแฉะจากการกอดร่างมารดาออก
จากนั้นพาไปยังห้องนั่งเล่น หาหนังสือ อุปกรณ์วาดรูปให้
เขายอมทำตัวเป็นพี่เลี้ยงเด็กเฉพาะกิจหนึ่งวัน พอให้ไผทอารมณ์เย็นลง เผื่อคิดได้ว่าจะเอายังไงกับครอบครัวที่จู่ ๆ ก็กลับมาพร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก
วัชรมัยตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อยามบ่าย รู้สึกทั้งเมื่อย ทั้งตัวร้อนรุม ๆ
“เป็นยังไงบ้างคะ ปวดหัวหรือเปล่า หิวไหม”
หญิงสาวกะพริบตาถี่ ๆ คนเฝ้าคุ้นหน้ามาก ก่อนนึกออก นางคือป้านิด คนที่ตอนยังอยู่สวน เดาว่าเธอมีอาการโรคซึมเศร้า จนพาไปโรงพยาบาล ทว่าตรวจเจอตั้งครรภ์เสียก่อน
“ปราบล่ะคะ”
หันซ้ายหันขวามองทั่วห้อง พื้นบ้านเป็นไม้แบบนี้ เธอกลับมาอยู่ในสวนแล้วแน่ ๆ
“ป้าให้ไปอ่านหนังสือค่ะ กลัวอยู่ใกล้คุณแล้วจะติดหวัด”
วัชรมัยถอนหายใจโล่งอก ลูกไม่ได้จากเธอไปไหน ห่างเพียงผนังห้องกั้น
“อ้าว นายหัว”
จู่ ๆ เจ้าของบ้านก็ก้าวเข้ามาในห้อง วัชรมัยเลียริมฝีปากอันแห้งผาก เรียกสติอันลุ่ม ๆ ดอน ๆ จากพิษไข้ เตรียมรับวาจาเชือดเฉือน ความเย็นชาใจร้ายจากเขา
“ผมมีอะไรจะพูดกับเขาหน่อยครับ ป้านิดช่วยไปดูปราบให้ที”
ผู้มากวัย ยอมออกไปตามคำสั่ง ไม่วายทิ้งคำกระซิบกับผู้เป็นนาย
“คุยกันดี ๆ นะคะ ใจเย็น ๆ”
ประตูห้องพักรับรองแขกปิดลง พร้อมอุณหภูมิลดต่ำ ตามความกดดันที่แผ่มาจากร่างสูง
ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง ราวเป็นช่วงเวลาดูเชิงกันระหว่างไก่ชนเจนสนามสองตัว
“ฉันจะยอมให้เธออยู่กับลูก”
ไผทเปิดก่อน วัชรมัยยิ้มร่า ลดเชิงลงทันที
“แต่เธอต้องมาเป็นอีตัวของฉัน”
ใบหน้าคนบนเตียงที่ซีดอยู่แล้ว ยิ่งเผือดขาวเป็นกระดาษ ไผทแสยะยิ้มสะใจกับกิริยานั้น
“ถ้าทำไม่ได้ก็ไสหัวออกไป”
พักนี้มักมีข่าวลือเกี่ยวกับนายหัวไผทกับเมียแปลก ๆ อย่างเช่นเขาเลี้ยงเมียอด ๆ อยาก ๆ ไม่ค่อยยอมให้กินเนื้อสัตว์ ผู้เห็นเหตุการณ์คนที่หนึ่งเล่าว่า“วันก่อนฉันไปซูเปอร์มาร์เก็ต นายหัวอ่ะนะ พอเห็นเมียหยิบไส้กรอกเยอรมันกับแฮมสเปนใส่รถเข็นปุ๊บก็หยิบออกปั๊บ เมียหน้าบึ้งหน้างอบอกว่าอยากกินเท่าไรก็ไม่ให้กิน”ผู้เล่าจีบปากจีบคอทำตาเล็กตาน้อยสมใจ เมื่อในกลุ่มเม้าท์เงียบกัน ท่าทางตั้งใจฟังมาก“แต่พอลูกอ้อนเท่านั้นแหละ รีบหยิบกลับมาใส่ทันที”“ว่าแล้ว...นายหัวยอมรับกลับมาเป็นเมียแค่อยากให้กลับมาเป็นแม่ของลูก อยากแค่ให้ครอบครัวสมบูรณ์”คนตั้งใจฟังตบเข่าฉาด“ใช่ ๆ นายหัวน่ะขี้เหนียว ตอนไปรับลูกฉันเคยได้ยินว่าเมียบอกอยากไปกินข้าวนอกบ้าน แกดุเมียใหญ่ว่าไม่ต้องไป ให้กินที่บ้านน่ะดีแล้ว อยากกินอะไรก็ทำกิน”ผู้ปกครองนักเรียนอนุบาลท่านหนึ่งรีบเสริม“ใช่ ๆ ฉันเคยเจอที่ร้านคาเฟ่น้องเก๋ นายหัวไม่ให้เงินเมียใช้สักบาท อยากกินอะไรก็ต้องแบมือขอผัว”“เมียที่ผัวไม่รักชัด ๆ”เสียงถอดถอนหายใจ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้ม ตาสั่นระริก“แต่แกก็ไม่มีใครนอกจากเมียนี่”สาวนางหนึ่งรีบใส่ไฟ“ที่ไม่ยอมมีใครเพราะนายหัวเห็นแก่ลูก ทำตั
การประชุมสมาชิกหอการค้าจังหวัด เริ่มต้นอย่างน่าเบื่อ นักการเมืองท้องถิ่นขึ้นมาพล่ามไร้สาระขายฝันเพื่อหาเสียง ก่อนนายกสมาคมจะกลับมาครองไมค์ได้เข้าสู่ช่วงการประชุมที่แท้จริงหลัก ๆ เป็นการพูดถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจของภาคและจังหวัดนายกสมาคมไม่ใช่คนหัวโบราณ แต่ยังกลัวนักธุรกิจรุ่นเดียวกันตามไม่ทัน จึงมีทั้งคลิปพรีเซนเทชั่น ทั้งกราฟให้ดูไม่ใช่การประชุมที่แย่นักในสายตาไผท ช่วงพักเบรกนักธุรกิจแยกนั่งคุยเป็นกลุ่ม ๆ เขายังเลือกนั่งกับเถ้าแก่ฮงและหนุ่มสถาปนิกเถ้าแก่ฮงวิดีโอคอลกับหลาน ๆ ของลูกอีกคนที่อยู่ในอเมริกา เสียงสองเสียงสามแสดงความเป็นอากงใจดีเรียกรอยยิ้มจากสมาชิกร่วมโต๊ะได้“ลูกเฮียนี่เก่งจริง ๆ ได้เรียนต่อถึงเมืองนอกเมืองนา แถมยังได้เมียฝรั่ง มีหลานลูกครึ่งน่ารัก”ผู้พูดเป็นเจ้าสัวภัตตาคารอาหารจีนขึ้นชื่อของจังหวัด“มันกระตือรือร้นของมันเอง ใครจะไปคิดล่ะว่าแค่เรียนถ่ายรูปก๊อกแก๊ก ๆ เผลอแป๊บเดียวมันได้ทุนเรียนต่อเมืองนอก เรียนจบมันบอกได้ทำงานในฮอลลีวูด ผมก็ไม่รู้อะไรหรอก รู้จักแต่ชอว์บราเธอร์หนังฮ่องกง ฮาร์ตมันพาเข้าโรงไปดูหนังพี่มันถ่ายภาพ ถึงรู้ว่ามันเก่ง ทำงานดี นี่หลานก็บอกพ่อมันไปถ
“แม่คร้าบ...พ่อเหมือนหมีแพนด้าเลย”สกลกันต์ชี้ไปยังใต้ตาบิดาที่สีคล้ำ บ่งบอกอาการอดนอน มื้อเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มกุ้งฝีมือไผท“หรือว่าตาพ่อเลอะร่า ๆ เหมือนแม่เกล”นิ้วป้อมชี้ นึกถึงสภาพหน้าแม่เพื่อนที่เคยเห็นตอนเปียกฝน เกลบอกเปื้อนอะไรสักอย่างชื่อร่า ๆ“มาสคาร่าหรือเปล่าครับ”วัชรมัยรินน้ำส้มผสมน้ำสับปะรด เอาใจลูกและเขาที่ส่งบรรยากาศมาคุอึมครึม“พ่อเขาไม่ได้ใช้มาสคาร่าหรอก”“แต่ตาพ่อดำเหมือนแพนด้า” เจ้าตัวย้ำ ขมวดคิ้วจ้องเขม็ง“กังฟูแพนด้า”สกลกันต์ไม่ได้ชอบเจ้าฮีโร่อ้วนตุ้ยนุ้ยนี่นะ แค่ตอนเด็ก ๆ บิดากับวิเชียรเปิดให้ดูบ่อย แถมฟัดแก้มนุ่มนิ่มจนแดงเขาชอบฮีโร่ตัวสูงปราดเปรียวปีนป่ายเก่งแล้วก็มีชุดเท่ ๆ อย่างสไปเดอร์แมนมากกว่า“กินข้าวไป อย่าพูดมากเดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”บิดาตักกุ้งยัดปากช่างจ้อ เมื่อลิ้นสัมผัสกุ้งเนื้อเด้ง รสหวานกระจายทั่วปาก สกลกันต์กลับมาสนใจการเคี้ยวอาหารทันทีไผทจ้องเขม็งมายังเธอ ส่งสายตาข่มขู่ ขุ่นเคืองอารมณ์ค้างคาเรื่องเมื่อคืน วัชรมัยแกล้งไม่สนใจ ยกน้ำส้มขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์“เตเต้ปราบไปโรงเรียนก่อนนะ เป็นเด็กดีอยู่เฝ้าบ้าน ถ้ามีขโมยมาก็กัดตูดไล่มันลงทะเลเลย”ลูกพ
เพราะวัชรมัยมัวแต่มุ่งมั่นกับตำมะขาม สามีจึงทำไก่ทอดเกลือ กับต้มกระดูกหมูผักกาดดองให้“ไหนพี่ป้องไม่ให้กินโปรเซสเซ่นฟูดส์ไง”เธอหมายถึงอาหารแปรรูป ที่รวมของหมักดองด้วย“ผักดองมีพรีไบโอติกส์ ดีต่อลำไล้”ไผทซื้อหนังสือเกี่ยวกับการดูแลคนเป็นโรคมะเร็งมาหลายเล่ม เขาอ่านซ้ำจนจำขึ้นใจ ต้องการจะดูแลเธอให้ดีที่สุด“หมูที่ใช้ก็เป็นหมูคุโรบุตะ เจ้าของเลี้ยงแบบปล่อย มันจะไม่เครียด ไม่เพิ่มสารก่อมะเร็ง”เพิ่งรู้ว่ามีการเลี้ยงหมูให้ไม่เครียดด้วย วัชรมัยเคยได้ยินแต่การเลี้ยงวัวทะนุถนอมแบบฟาร์มญี่ปุ่น เปิดเพลงให้ฟัง มีนวดตัว ให้วัวกินเบียร์ สร้างอารมณ์วัวให้ดี เพื่อกลายเป็นเนื้อคุณภาพเยี่ยมกิโลกรัมละเป็นหมื่นไผทไปหาเนื้อหมูพวกนี้มาจากไหน“มิ้งรู้สึกตัวเองเป็นภาระพี่ป้องจัง”เธอรำพึงพลางตักตำมะขามเข้าปาก รสคล้ายกับที่วารีเคยทำ ความเศร้าเพราะคิดว่าตนช่างอ่อนแอเหลือเกินกลับมาเกาะกุมในอกโดยพลัน“พี่เป็นผัวเธอนะ เมียตัวแค่นี้ดูแลได้สบายมาก”มือสีเข้มตักไก่ทอดใส่จานเธอ“กินเยอะ ๆ จะได้มีเนื้อมีหนัง ตอนกอดจะได้นุ่มนิ่ม เต็มไม้เต็มมือ”สายตาคมวับวาวพราว วัชรมัยรู้ได้ทันที นายหัวไม่หยุดแค่กอดอย่างเดียวแน่“ห
ไผทรีบพาเมียออกจากตลาดนัด ก่อนที่เธอจะหาอะไรมาเป็นงานทำมากกว่านี้ วัชรมัยหยิบเครื่องประดับทำจากกะลามะพร้าวมาชื่นชม สมองคิดจะมิกซ์แอนด์แมทกับชุด หรือออกแบบเครื่องประดับแบบไหนดีถ้าผสมกับสตอรี่เรื่องความยั่งยืน เป็นของธรรมชาติผลิตจากชุมชน ไม่มีการใช้ส่วนไหนจากสัตว์ยิ่งน่าสนใจ มันขายได้ในต่างประเทศ หรือจะชิมลางแตกแบรนด์เล็ก ๆ ขายแต่ทางออนไลน์ดีสมองการค้าวัชรมัยคิดไปเรื่อย กระทั่งรถคันโตหยุดที่สวน เธอหันซ้ายหันขวา โน่นก็คนงาน นั่นก็ต้นปาล์ม ภูเขาสีเขียวห่างอยู่ลิบ ๆ มีหมอกยามเช้าคลอเคลียคลุมวิวสวยดีอยู่หรอก แต่เขาเอาเธอมาทำไม“มิ้งขอกลับบ้านได้ไหมคะ”“อยู่นี่แหละ ใกล้ตาฉัน เกิดล้มไปจะยุ่ง ป้านิดลาไปเยี่ยมญาติ ไม่มีใครดูเธอ อยู่นี่ดูแลได้ดีกว่า”ไผทประกาศบอกคนสนิทถึงอาการป่วยของวัชรมัย ไม่ทันไรก็รู้กันทั้งสวน เขาขี้เกียจหาต้นตอว่าใครปูดข่าว ดีเสียอีกจะได้มีคนเพิ่มช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลเธอให้“อยู่ในรถ ฉันจะติดเครื่องไว้ให้”แอร์เย็นก็จริง แต่วัชรมัยนั่งนิ่งนาน ๆ ชักเบื่อ มองออกไปเห็นต้นมะขามแผ่กิ่งก้านแตกใบในสวน มันคงอยู่มานานเพราะมีกิ่งห้อยย้อยจนต้องเอาไม้มาค้ำไม่ไห้ต้นล้มฝักดิบสีน้ำตาลอ
“แม่คร๊าบ มีโฮมเลสมานอนในสนามบ้านเราด้วย”ไผทหยีตาขึ้นเพราะเสียงแจ้ว ๆ นอกเต็นท์มีแสงสว่างลอดเข้ามา“ไม่ใช่โฮมเลสครับ”วัชรมัยปรามเจ้าตัวกลม ที่เดินเข้าไปเกาะเต็นท์สนามสีเขียวเข้ม เมื่อคืนเธอนอนกอดลูกสบายมาก สดชื่นอารมณ์ดีจนลงมาทำมื้อเช้า ปล่อยสกลกันต์นอนต่อแป๊บเดียว ไม่คิดลูกจะตื่นเร็วขนาดนี้“ก็เขาไม่มีบ้านไม่ใช่เหรอ ถึงนอนเต็นท์”ปากเล็กยู่ยืนยันความคิดตัวเอง“เหมือนข่าวโฮมเลสในทีวีที่ปราบเคยดูในโรงอาหาร”“พ่อไม่ใช่โฮมเลส”เต็นท์เปิดมาพร้อมหน้าตึง ๆ ของคนนอนไม่พอ มือสางผมผมสีดำยุ่งตกระหน้าผาก ไผทขมวดคิ้ว เมื่อเห็นแม่กับลูกใส่ชุดนอนหมีน้อยเข้ากัน ...แล้วชุดเขาล่ะแม่งเอ๊ย! ไม่ยุติธรรมสักนิด ปรกติไผทไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ทว่าตั้งแต่มีเมียนี่เขาเหมือนโดนลูกทิ้ง กลายเป็นหมาหัวเน่า เป็นคนนอกโดยสมบูรณ์แบ่งแยกกันชัดเจนก็เสื้อทีมนี่แหละ มีเขาแตกต่างอยู่คนเดียว“ทำไมพ่อมานอนเต็นท์ล่ะ”สกลกันต์เคยไปกางเต็นท์เที่ยวป่าชมธรรมชาติกับบิดาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว จำได้ว่าสนุกมาก ...หมายถึงขี่หลังบิดาสนุก“อยากเปลี่ยนบรรยากาศ”เขาสลัดศีรษะไล่ความง่วงงุน“หลับสบายไหมคะพี่ป้อง”ไผทหงุดหงิดกับรอยยิ้