“ขอฉันเข้าไปข้างในหน่อยเถอะค่ะ”
วัชรมัยในสภาพผมฟูกระเซิง ใบหน้าแห้งกรังไปด้วยคราบน้ำตากำลังอ้อนวอนคนงานที่ป้อมหน้าสวน
“ขอร้องล่ะ หรือต้องการเงิน ฉันก็ให้ได้นะคะ”
หญิงสาวล้วงกระเป๋าสตางค์ หยิบธนบัตรใบละพันขึ้นมาชูสามใบ
“กลับไปเถอะครับคุณผู้หญิง”
คนงานชายที่ลากเธอมาในทีแรกส่ายหน้า ขณะเพื่อนอีกสามสี่คนส่งสายตาวอกแวก ลังเลเมื่อเห็นธนบัตรส่ายยั่วใจอยู่ไหว ๆ
“หลอกเอาเงินจากอีนี่ก่อนก็ได้...แล้วแกล้งทำเป็นปล่อยให้เข้ามา ค่อยจับกลับอีกที”
หนึ่งในนั้นกระซิบแผนการอันชั่วร้าย
“มึงรู้ไหม ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”
หนุ่มหุ่นสันทัดกระซิบบอกเพื่อน เล่าตัวตนที่ที่แท้จริงของเธอ เมื่อได้ฟังหนุ่ม ๆ ถึงกับหน้าซีดเผือด
“ตะ...แต่นายหัวไล่ออกมาเองนะเว้ย”
“ยังไงเธอก็เป็นแม่คุณปราบ มึงกล้าเหรอ”
หลายคนคอหด ไผทนั้นดุก็จริง แต่สกลกันต์ก็ใช่ย่อย ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น วีรกรรมแกล้งปล่อยหมาพิตบลูไล่คนงานในสวน จนต้องวิ่งหนีกันตับแทบแล่บยังตราตรึงใจอยู่มิรู้ลืม
“ว่าไง เงินน่ะจะเอาไหม”
วัชรมัยเสนอสิ่งที่เธอไม่ขาด ตอนนี้มีมากกว่าสิบล้านด้วยซ้ำ
“พวกผมไม่ทรยศนายหัวหรอก เก็บเงินของคุณเอาไว้เถอะ”
หญิงสาวหน้าสลด สมองแล่นเร็วจี๋ คิดจะทำอย่างไรดี อยากกลับไปอยู่กับสกลกันต์ อยากกอดลูกอีก ผิวนุ่มนิ่มละมุนมือ กลิ่นหอมนมผงยังติดตรึงจมูก
ทันใดนั้นเสียงมือถือดังลั่นขึ้น
“อยู่ไหนอ่ะแก ฉันโทรไปก็ไม่รับ เมื่อกี้โทรไปโรงแรมฟร้อนท์บอกแกยังไม่กลับ”
ศรัญญาเป็นห่วงเพื่อนมาก หายไปจากคาเฟ่พร้อมอดีตสามีกับลูกตั้งหลายชั่วโมง ไม่ส่งข่าวจนต้องโทรไปตามที่โรงแรมที่พักของวัชรมัยซึ่งอยู่ในเครือกิจการบ้านศรัญญาเอง
“อยู่สวนพี่ป้อง”
“นี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะแก พี่ป้องยอมให้ค้างเหรอ”
วัชรมัยเม้มริมฝีปาก สมองหาคำแก้ตัวเพื่อไม่ให้เพื่อนเป็นห่วง เธออยากอยู่กับลูกมากกว่า อยากอยู่ด้วยเหลือเกิน เธอไม่ยอมไปไหนเด็ดขาด
“อือ...ก็ทำนองนั้นแหละ” ปลายสายเงียบลงไป
“รู้ตัวไหม เวลาแกโกหกเสียงจะเบาลง”
คนรู้ทันถอนหายใจยาว เดาสถานการณ์ออกทันที คนรับสายตกที่นั่งลำบากอีกเป็นแน่
“เดี๋ยวฉันไปรับ”
“ไม่ต้องหรอกเก๋ ขอบใจมาก ฉันโอเค”
“โอเคกับผีน่ะสิ ตอนบ่ายนายหัวป้องจ้องแกอย่างกับจะหักคอจิ้มน้ำชุบ ไม่ใช่ตอนนี้จับแกถ่วงทะเลไปแล้วหรือไง”
ศรัญญาลูบแขนตนเองด้วยความขนลุกขนพอง
“เว่อร์ไปแก ฉันดูแลตัวเองได้น่า อยู่คนเดียวมาตั้งห้าปีเลยนะ”
วัชรมัยหัวเราะขื่น
“คนร้าย ๆ แบบเสือสิงห์ กระทิงแร่ด ก็เจอมาหมดแล้ว แค่พี่ป้องคนเดียว สบายมาก”
พยายามเหลือเกินที่จะคงเสียงให้สบายเหมือนปากบอก ทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังเกรอะกรังด้วยน้ำตา
“เดี๋ยวฉันก็กลับแล้ว ไม่กวนแกหรอก รีบนอนเถอะพรุ่งนี้ไหนว่ามีออร์เดอร์ขนมล็อตใหญ่ไง”
วัชรมัยเอ่ยหันเหความสนใจเพื่อน ศรัญญาทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ
“เออ...รู้แล้ว มีอะไรโทรมานะแก จะกี่ทุ่ม จะตีไหนก็ตาม ฉันจะไปหา”
สุดท้ายจำต้องยอม ศรัญญารู้ดี เพื่อนเห็นดูนุ่มนิ่มใส ๆ ไม่มีพิษ ไม่ภัย แต่ความจริงนั้นดื้อนัก ไม่เช่นนั้นเมื่อห้าปีก่อนคงไม่ตัดสินใจจากไผทกับลูกไป
“ขอบใจ”
นิ้วอันสั่นเทากดตัดสาย พร้อมน้ำตาพรั่งพรู ในชีวิตที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงเลว ยังมีศรัญญานี่แหละ ที่ยังคอยเป็นเพื่อน ช่วยให้กำลังใจเสมอ
คนงานจากป้อมเมียงมองร่างผอมบางที่ยืนนิ่งอยู่บนถนนหน้าประตู ตามองตรงเข้าไปในสวน
หากไม่ได้เห็นวัชรมัยโดนลากมากับตา คงคิดว่าเธอเป็นภูตผี เพราะผมยาวรุ่ยร่ายกระเซอะกระเซิง ผิวขาวซีดตัดความมืดยามราตรี ร่างอรชรปักหลักไม่ไปไหน
เมื่ออีกฝ่ายเพียงยืนนิ่ง หนุ่ม ๆ คนงานก็วางใจ เล่นมือถือบ้าง เปิดวิทยุฟังแก้เหงาระหว่างค่ำคืนบ้าง
วัชรมัยจะรออยู่ตรงนี้ รอพบลูก พรุ่งนี้สกลกันต์ต้องไปโรงเรียน มีแต่เส้นทางนี้เท่านั้นที่เชื่อมกับถนนใหญ่ พออยู่ต่อหน้าลูกแล้วไผทไม่กล้าไล่เธอแน่ เขาแคร์ความรู้สึกลูกมาก
ขอแค่เธออยู่รอ อย่างใจเย็น ไม่มีความทรมานไหนเจ็บปวดเท่าโดนพรากจากลูก วัชรมัยรู้ซึ้งแล้ว
เธอเมื่อห้าปีก่อนยังเยาว์ ช่างเขลานัก
อิสระใดก็ไม่รู้สึกดีเท่าอ้อมกอดเล็ก ๆ ของสกลกันต์
เพราะฉะนั้นวัชรมัยจะรอ...รอพบลูกอีกครั้ง
รออย่างใจเย็น ไม่ให้ร่างกายผุ ๆ พัง ๆ นี้เป็นอุปสรรคในการพบกัน
วัชรมัยจะรอ...
แปะ...แปะ...แปะ
เสียงฝนกระทบหลังคากระเบื้องของป้อมยาม หนุ่ม ๆ คนงานโผล่หน้าออกไปดูท้องฟ้าที่มืดสนิท ลมกระโชกแรงพัดต้นไม้ในสวนไหวเผยิบผยาบ
“คืนนี้ข่าวว่าพายุจะเข้านี่หว่า”
หนุ่มเล่นมือถือพึมพำ คนงานที่ลากเธอมามองไปยังบนถนน ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำวัชรมัยยังยืนนิ่ง
“โหย! ดื้อด้านว่ะ”
ตอนนี้กลายเป็นหนุ่มคนงานหันมาสนใจหญิงสาวหมด
“รู้เลยว่าคุณปราบได้นิสัยใครมา”
คนงานหุ่นสันทัดทนไม่ไหว กางร่มออกไปหา
“คุณกลับไปเถอะ อย่าตากฝนเดี๋ยวไม่สบาย”
“ฉันจะรอเจอลูก ฉันจะรอปราบ”
วัชรมัยพึมพำเรื่องเดียวที่ยึดเหนี่ยวในใจ
“คุณผู้หญิง”
มือสากจับข้อแขนนิ่ม วัชรมัยกระชากกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะรอเจอลูก”
ขณะคนงานละล้าละลังคิดไม่ตกจะเอาอย่างไรดี เพื่อนก็มาดึงแขนไป
“ปล่อยเขาไปเถอะว่ะ เพราะดื้อด้านร้ายกาจแบบนี้ไง นายหัวถึงไล่ออกมา”
หนุ่มร่างสันทัดโดนเพื่อนลากกลับไปอยู่ในป้อม ตายังมองหญิงสาวที่ยืนตัวสั่นท่ามกลางสายฝน เต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่ไม่อาจช่วยอะไรได้
ด้วยคิดว่าเป็นเรื่องของเจ้านาย ลูกน้องอย่างเขาไม่ควรเข้าไปแส่
สกลกันต์ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ไม่สดใส เมื่อเด็กน้อยพบตนอยู่เพียงลำพังในห้องนอน
“ยายพุดเห็นแม่หรือเปล่าครับ”
เจ้านายตัวน้อยของบ้านลงมาชั้นทั้งชุดนอน หัวฟูผมชี้โด่เด่
“ไม่เห็นนะคะ”
แม่ครัวเห็นใบหน้าหงอยแล้วก็สงสาร
“วันนี้อิฉันทำแซนด์วิชหมูหย็องน้ำสลัดด้วยนะคะ ของคุณปราบจะเพิ่มหมูหย็องให้สองเท่าเลย”
นางเอาของกินมาล่อ
“รีบไปอาบน้ำแปรงฟันเร็วสิคะ”
สกลกันต์พยักหน้าเนือย ๆ กลับขึ้นห้องไปจัดการกิจวัตรประจำวัน แล้วรีบไปหาไผทถึงในห้องนอน บิดาต้องรู้แน่ว่ามารดาอยู่ที่ไหน
“แม่กลับไปทำหน้าที่นางฟ้าแล้ว”
คำตอบทำเอาเด็กชายหน้าเสีย
“ไหนแม่บอกจะเวิร์คฟอร์มโฮมไง”
“งานบางอย่างทำที่บ้านไม่ได้หรอก”
หลังจากสุมหัวไป ร่ำสุราไปกับวิเชียรเมื่อคืน เจ้านายกับลูกน้องตกลงปลงใจใช้คำโกหกแบบเดิม รอสกลกันต์โตมากกว่านี้สักหน่อย ค่อยเล่าความจริงให้ฟัง
“พ่อก็ทำให้แม่ทำงานที่บ้านได้ทุกอย่างสิ เกลบอกพ่อรวยนี่”
ไผทขมวดคิ้ว นิสัยดื้อดึงดันอย่างนี้มาจากใครนะ ไม่ใช่จากเขาแน่
“ลูกจะเชื่อผู้หญิง แค่ก! เพื่อนทุกอย่างไม่ได้นะ”
เด็กผู้หญิงชื่อเกลนี่เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ต้องให้คนไปสืบดูเสียหน่อย กลัวจะทำลูกเขานิสัยเสีย
“ปราบอยากเจอแม่ พ่อพามาแม่มาหาปราบอีกได้ไหม”
สกลกันต์ส่งสายตาอ้อนวอน ไผทเห็นแล้วนึกถึงเจ้าหมาพิตบลูท้ายสวน ลูกเขานี่ยังไงนะ เลียนแบบได้กระทั่งหมา
“อืม”
ไผทใช้คำตอบรับสั้น ๆ เหมือนเคย
“รีบลงไปกินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”
สองพ่อลูกจัดการกิจวัตรประจำวันและมื้อเช้าเสร็จ ก็เข้าไปนั่งในรถ ไม่นานวิเชียรที่หน้าตาไม่สู้ดีก็เข้ามานั่งข้างคนขับ
รถแล่นไปจนถึงประตูสวน เมื่อเปิดประตูมา สกลกันต์ก็ร้องลั่น
“แม่!”
ลูกชายดิ้นรนขืนตัวจากเข็มขัดนิรภัยจะไปหาร่างเปียก ๆ ที่นั่งคุดคู้ราวกับกองขยะอยู่กลางถนน
พักนี้มักมีข่าวลือเกี่ยวกับนายหัวไผทกับเมียแปลก ๆ อย่างเช่นเขาเลี้ยงเมียอด ๆ อยาก ๆ ไม่ค่อยยอมให้กินเนื้อสัตว์ ผู้เห็นเหตุการณ์คนที่หนึ่งเล่าว่า“วันก่อนฉันไปซูเปอร์มาร์เก็ต นายหัวอ่ะนะ พอเห็นเมียหยิบไส้กรอกเยอรมันกับแฮมสเปนใส่รถเข็นปุ๊บก็หยิบออกปั๊บ เมียหน้าบึ้งหน้างอบอกว่าอยากกินเท่าไรก็ไม่ให้กิน”ผู้เล่าจีบปากจีบคอทำตาเล็กตาน้อยสมใจ เมื่อในกลุ่มเม้าท์เงียบกัน ท่าทางตั้งใจฟังมาก“แต่พอลูกอ้อนเท่านั้นแหละ รีบหยิบกลับมาใส่ทันที”“ว่าแล้ว...นายหัวยอมรับกลับมาเป็นเมียแค่อยากให้กลับมาเป็นแม่ของลูก อยากแค่ให้ครอบครัวสมบูรณ์”คนตั้งใจฟังตบเข่าฉาด“ใช่ ๆ นายหัวน่ะขี้เหนียว ตอนไปรับลูกฉันเคยได้ยินว่าเมียบอกอยากไปกินข้าวนอกบ้าน แกดุเมียใหญ่ว่าไม่ต้องไป ให้กินที่บ้านน่ะดีแล้ว อยากกินอะไรก็ทำกิน”ผู้ปกครองนักเรียนอนุบาลท่านหนึ่งรีบเสริม“ใช่ ๆ ฉันเคยเจอที่ร้านคาเฟ่น้องเก๋ นายหัวไม่ให้เงินเมียใช้สักบาท อยากกินอะไรก็ต้องแบมือขอผัว”“เมียที่ผัวไม่รักชัด ๆ”เสียงถอดถอนหายใจ แต่ริมฝีปากกลับยกยิ้ม ตาสั่นระริก“แต่แกก็ไม่มีใครนอกจากเมียนี่”สาวนางหนึ่งรีบใส่ไฟ“ที่ไม่ยอมมีใครเพราะนายหัวเห็นแก่ลูก ทำตั
การประชุมสมาชิกหอการค้าจังหวัด เริ่มต้นอย่างน่าเบื่อ นักการเมืองท้องถิ่นขึ้นมาพล่ามไร้สาระขายฝันเพื่อหาเสียง ก่อนนายกสมาคมจะกลับมาครองไมค์ได้เข้าสู่ช่วงการประชุมที่แท้จริงหลัก ๆ เป็นการพูดถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจของภาคและจังหวัดนายกสมาคมไม่ใช่คนหัวโบราณ แต่ยังกลัวนักธุรกิจรุ่นเดียวกันตามไม่ทัน จึงมีทั้งคลิปพรีเซนเทชั่น ทั้งกราฟให้ดูไม่ใช่การประชุมที่แย่นักในสายตาไผท ช่วงพักเบรกนักธุรกิจแยกนั่งคุยเป็นกลุ่ม ๆ เขายังเลือกนั่งกับเถ้าแก่ฮงและหนุ่มสถาปนิกเถ้าแก่ฮงวิดีโอคอลกับหลาน ๆ ของลูกอีกคนที่อยู่ในอเมริกา เสียงสองเสียงสามแสดงความเป็นอากงใจดีเรียกรอยยิ้มจากสมาชิกร่วมโต๊ะได้“ลูกเฮียนี่เก่งจริง ๆ ได้เรียนต่อถึงเมืองนอกเมืองนา แถมยังได้เมียฝรั่ง มีหลานลูกครึ่งน่ารัก”ผู้พูดเป็นเจ้าสัวภัตตาคารอาหารจีนขึ้นชื่อของจังหวัด“มันกระตือรือร้นของมันเอง ใครจะไปคิดล่ะว่าแค่เรียนถ่ายรูปก๊อกแก๊ก ๆ เผลอแป๊บเดียวมันได้ทุนเรียนต่อเมืองนอก เรียนจบมันบอกได้ทำงานในฮอลลีวูด ผมก็ไม่รู้อะไรหรอก รู้จักแต่ชอว์บราเธอร์หนังฮ่องกง ฮาร์ตมันพาเข้าโรงไปดูหนังพี่มันถ่ายภาพ ถึงรู้ว่ามันเก่ง ทำงานดี นี่หลานก็บอกพ่อมันไปถ
“แม่คร้าบ...พ่อเหมือนหมีแพนด้าเลย”สกลกันต์ชี้ไปยังใต้ตาบิดาที่สีคล้ำ บ่งบอกอาการอดนอน มื้อเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มกุ้งฝีมือไผท“หรือว่าตาพ่อเลอะร่า ๆ เหมือนแม่เกล”นิ้วป้อมชี้ นึกถึงสภาพหน้าแม่เพื่อนที่เคยเห็นตอนเปียกฝน เกลบอกเปื้อนอะไรสักอย่างชื่อร่า ๆ“มาสคาร่าหรือเปล่าครับ”วัชรมัยรินน้ำส้มผสมน้ำสับปะรด เอาใจลูกและเขาที่ส่งบรรยากาศมาคุอึมครึม“พ่อเขาไม่ได้ใช้มาสคาร่าหรอก”“แต่ตาพ่อดำเหมือนแพนด้า” เจ้าตัวย้ำ ขมวดคิ้วจ้องเขม็ง“กังฟูแพนด้า”สกลกันต์ไม่ได้ชอบเจ้าฮีโร่อ้วนตุ้ยนุ้ยนี่นะ แค่ตอนเด็ก ๆ บิดากับวิเชียรเปิดให้ดูบ่อย แถมฟัดแก้มนุ่มนิ่มจนแดงเขาชอบฮีโร่ตัวสูงปราดเปรียวปีนป่ายเก่งแล้วก็มีชุดเท่ ๆ อย่างสไปเดอร์แมนมากกว่า“กินข้าวไป อย่าพูดมากเดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”บิดาตักกุ้งยัดปากช่างจ้อ เมื่อลิ้นสัมผัสกุ้งเนื้อเด้ง รสหวานกระจายทั่วปาก สกลกันต์กลับมาสนใจการเคี้ยวอาหารทันทีไผทจ้องเขม็งมายังเธอ ส่งสายตาข่มขู่ ขุ่นเคืองอารมณ์ค้างคาเรื่องเมื่อคืน วัชรมัยแกล้งไม่สนใจ ยกน้ำส้มขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์“เตเต้ปราบไปโรงเรียนก่อนนะ เป็นเด็กดีอยู่เฝ้าบ้าน ถ้ามีขโมยมาก็กัดตูดไล่มันลงทะเลเลย”ลูกพ
เพราะวัชรมัยมัวแต่มุ่งมั่นกับตำมะขาม สามีจึงทำไก่ทอดเกลือ กับต้มกระดูกหมูผักกาดดองให้“ไหนพี่ป้องไม่ให้กินโปรเซสเซ่นฟูดส์ไง”เธอหมายถึงอาหารแปรรูป ที่รวมของหมักดองด้วย“ผักดองมีพรีไบโอติกส์ ดีต่อลำไล้”ไผทซื้อหนังสือเกี่ยวกับการดูแลคนเป็นโรคมะเร็งมาหลายเล่ม เขาอ่านซ้ำจนจำขึ้นใจ ต้องการจะดูแลเธอให้ดีที่สุด“หมูที่ใช้ก็เป็นหมูคุโรบุตะ เจ้าของเลี้ยงแบบปล่อย มันจะไม่เครียด ไม่เพิ่มสารก่อมะเร็ง”เพิ่งรู้ว่ามีการเลี้ยงหมูให้ไม่เครียดด้วย วัชรมัยเคยได้ยินแต่การเลี้ยงวัวทะนุถนอมแบบฟาร์มญี่ปุ่น เปิดเพลงให้ฟัง มีนวดตัว ให้วัวกินเบียร์ สร้างอารมณ์วัวให้ดี เพื่อกลายเป็นเนื้อคุณภาพเยี่ยมกิโลกรัมละเป็นหมื่นไผทไปหาเนื้อหมูพวกนี้มาจากไหน“มิ้งรู้สึกตัวเองเป็นภาระพี่ป้องจัง”เธอรำพึงพลางตักตำมะขามเข้าปาก รสคล้ายกับที่วารีเคยทำ ความเศร้าเพราะคิดว่าตนช่างอ่อนแอเหลือเกินกลับมาเกาะกุมในอกโดยพลัน“พี่เป็นผัวเธอนะ เมียตัวแค่นี้ดูแลได้สบายมาก”มือสีเข้มตักไก่ทอดใส่จานเธอ“กินเยอะ ๆ จะได้มีเนื้อมีหนัง ตอนกอดจะได้นุ่มนิ่ม เต็มไม้เต็มมือ”สายตาคมวับวาวพราว วัชรมัยรู้ได้ทันที นายหัวไม่หยุดแค่กอดอย่างเดียวแน่“ห
ไผทรีบพาเมียออกจากตลาดนัด ก่อนที่เธอจะหาอะไรมาเป็นงานทำมากกว่านี้ วัชรมัยหยิบเครื่องประดับทำจากกะลามะพร้าวมาชื่นชม สมองคิดจะมิกซ์แอนด์แมทกับชุด หรือออกแบบเครื่องประดับแบบไหนดีถ้าผสมกับสตอรี่เรื่องความยั่งยืน เป็นของธรรมชาติผลิตจากชุมชน ไม่มีการใช้ส่วนไหนจากสัตว์ยิ่งน่าสนใจ มันขายได้ในต่างประเทศ หรือจะชิมลางแตกแบรนด์เล็ก ๆ ขายแต่ทางออนไลน์ดีสมองการค้าวัชรมัยคิดไปเรื่อย กระทั่งรถคันโตหยุดที่สวน เธอหันซ้ายหันขวา โน่นก็คนงาน นั่นก็ต้นปาล์ม ภูเขาสีเขียวห่างอยู่ลิบ ๆ มีหมอกยามเช้าคลอเคลียคลุมวิวสวยดีอยู่หรอก แต่เขาเอาเธอมาทำไม“มิ้งขอกลับบ้านได้ไหมคะ”“อยู่นี่แหละ ใกล้ตาฉัน เกิดล้มไปจะยุ่ง ป้านิดลาไปเยี่ยมญาติ ไม่มีใครดูเธอ อยู่นี่ดูแลได้ดีกว่า”ไผทประกาศบอกคนสนิทถึงอาการป่วยของวัชรมัย ไม่ทันไรก็รู้กันทั้งสวน เขาขี้เกียจหาต้นตอว่าใครปูดข่าว ดีเสียอีกจะได้มีคนเพิ่มช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลเธอให้“อยู่ในรถ ฉันจะติดเครื่องไว้ให้”แอร์เย็นก็จริง แต่วัชรมัยนั่งนิ่งนาน ๆ ชักเบื่อ มองออกไปเห็นต้นมะขามแผ่กิ่งก้านแตกใบในสวน มันคงอยู่มานานเพราะมีกิ่งห้อยย้อยจนต้องเอาไม้มาค้ำไม่ไห้ต้นล้มฝักดิบสีน้ำตาลอ
“แม่คร๊าบ มีโฮมเลสมานอนในสนามบ้านเราด้วย”ไผทหยีตาขึ้นเพราะเสียงแจ้ว ๆ นอกเต็นท์มีแสงสว่างลอดเข้ามา“ไม่ใช่โฮมเลสครับ”วัชรมัยปรามเจ้าตัวกลม ที่เดินเข้าไปเกาะเต็นท์สนามสีเขียวเข้ม เมื่อคืนเธอนอนกอดลูกสบายมาก สดชื่นอารมณ์ดีจนลงมาทำมื้อเช้า ปล่อยสกลกันต์นอนต่อแป๊บเดียว ไม่คิดลูกจะตื่นเร็วขนาดนี้“ก็เขาไม่มีบ้านไม่ใช่เหรอ ถึงนอนเต็นท์”ปากเล็กยู่ยืนยันความคิดตัวเอง“เหมือนข่าวโฮมเลสในทีวีที่ปราบเคยดูในโรงอาหาร”“พ่อไม่ใช่โฮมเลส”เต็นท์เปิดมาพร้อมหน้าตึง ๆ ของคนนอนไม่พอ มือสางผมผมสีดำยุ่งตกระหน้าผาก ไผทขมวดคิ้ว เมื่อเห็นแม่กับลูกใส่ชุดนอนหมีน้อยเข้ากัน ...แล้วชุดเขาล่ะแม่งเอ๊ย! ไม่ยุติธรรมสักนิด ปรกติไผทไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ทว่าตั้งแต่มีเมียนี่เขาเหมือนโดนลูกทิ้ง กลายเป็นหมาหัวเน่า เป็นคนนอกโดยสมบูรณ์แบ่งแยกกันชัดเจนก็เสื้อทีมนี่แหละ มีเขาแตกต่างอยู่คนเดียว“ทำไมพ่อมานอนเต็นท์ล่ะ”สกลกันต์เคยไปกางเต็นท์เที่ยวป่าชมธรรมชาติกับบิดาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว จำได้ว่าสนุกมาก ...หมายถึงขี่หลังบิดาสนุก“อยากเปลี่ยนบรรยากาศ”เขาสลัดศีรษะไล่ความง่วงงุน“หลับสบายไหมคะพี่ป้อง”ไผทหงุดหงิดกับรอยยิ้