ขณะเดียวกันนั้นเอง ร่างของเย่เทียนหยู่ก็เคลื่อนย้ายไปอย่างรวดเร็วราวกับภูตผี แทบจะเหมือนกับการใช้เวทเคลื่อนที่พริบตาเลยด้วยซ้ำ ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่ขอบของหลุมลึกความเร็วของเขาค่อนข้างที่จะเร็วมาก เร็วเสียจนคนธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนซึ่งก็มีเพียงผู้ที่อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเท่านั้น บางทีพวกเขาเองก็อาจจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จึงจะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้สักนิดสักหน่อย แต่ก็เท่านั้นฉากนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงกันอีกครั้งพวกเขาต่างจ้องมองด้วยดวงตาเบิกโพลง แทบจะไม่อยากเชื่อกับฉากที่อยู่ตรงหน้า เพราะมันอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปมากจริง ๆสีหน้าเจวี๋ยเทียนที่เดิมทีก็ดูแย่เพราะอาการบาดเจ็บอยู่แล้ว ตอนนี้กลับซีดหนักกว่าเดิม ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้!”แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ พลังของเจ้าตำหนักหยู่นั้นเกินกว่าที่เขาจิตนาการเอาไว้เสียอีก เกรงว่าเขาคงทะลวงเข้าสู่ระดับเทพยดาแดนดินไปตั้งนานแล้วในเวลานี้ เจวี๋ยเทียนก็นึกถึงคำที่เย่เทียนหยู่เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมา บอกว่าเขามาที่นี่ก็เพื่อขึ้นนั่งบ
เมื่อได้ยินคำนี้ ทุกคนต่างก็พากันรู้สึกตกตะลึงอีกครั้งหมายความว่ายังไง หรือที่เห็นว่าการเคลื่อนไหวของบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงนิ่งไป ที่แท้คือเขากำลังแกล้งตายเพื่อที่จะหลบอยู่ในหลุมลึกอย่างนั้นเหรอเมื่อบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงได้ยินประโยคนี้ สีหน้าก็ขาวซีดทันที เขามีทักษะหนึ่งที่เรียกว่าวิชาเต่าหายใจ หลังจากที่เขาถูกโจมตี เขาก็จะสามารถใช้วิชานี้ได้ทันที ซึ่งวิชานี้จะทำให้เขาสามารถปกปิดลมหายใจทั้งหมดได้ ปกปิดได้กระทั่งการเต้นของหัวใจเมื่อเทียบกับการแกล้งตายแล้ว ก็แทบจะไม่สามารถตรวจสอบอะไรได้เลยแต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า วิธีนี้อีกฝ่ายก็ยังมองออกได้อยู่ดี“แก แกรู้ได้ยังไง?” บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงยืนขึ้นด้วยความสั่นเทา เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการต่อสู้แรกที่เจอหลังจากการเลื่อนระดับจะมีผลลัพธ์เช่นนี้“ถ้าจะให้พูดจริง ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก แค่ทุกครั้งที่ผมเป็นคนลงมือ ผมใช้พลังไปมากแค่ไหนตัวผมนั้นรู้ดี หมัดนั้น ยังไม่สามารถเอาชีวิตคุณได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดด้วยท่าทีราบเรียบหลังจากที่คำนี้ถูกพูดออกมา บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก กระบวนท่าทั้งสองครั้งนั้นทำให้เขาแทบช็อค เกรงว่าครั้งต่อไ
“เอ่อ เช่นนั้นผู้อาวุโสยังมีเรื่องอะไรที่ต้องการอีกไหมครับ?” บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงรีบถามขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ตัวเขาได้มีการคาดการณ์ผลลัพธ์นี้เอาไว้แล้วแต่แรก ไม่เช่นนั้น เมื่อกี้สิ่งแรกที่ทำคงไม่ใช่การตั้งท่าเตรียมหนีแบบนั้นหรอกผู้ฝึกวรยุทธ์อย่างพวกเรา แต่ไหนแต่ไรก็เป็นพวกที่มีแค้นต้องชำระ หากเป็นตัวเขา เกรงว่าก็คงจะกำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซากเหมือนกัน ไม่ก็ให้อีกฝ่ายมาเป็นทาสรับใช้ และทำตามคำสั่งของตนเสียเย่เทียนหยู่เหลือบมองอีกฝ่าย เมื่อพิจารณาถึงอายุของเขา กับความจริงที่ว่าเขาอยู่ในระดับเทพยดาแดนดินเพียงคนเดียวแล้ว เกรงว่าคงจะมีของสะสมอยู่ไม่น้อย เขาจึงพูดอย่างเย็นชาขึ้นว่า “ฮึ สิ่งที่ผมต้องการนั้นง่ายมาก ก็ให้คุณชดใช้ด้วยชีวิตยังไงล่ะ”ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ยกมือขวาขึ้น จากนั้นแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมา และเนื่องจากการควบคุมของเขาค่อนข้างละเอียดอ่อนและแยบยลมาก เขาจึงสามารถควบคุมพลังให้พุ่งเป้าไปที่บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงแค่คนเดียวได้บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่น่ากลัวกำลังพุ่งตรงเข้ามาที่เขา สีหน้าขาวซีด ร่างกายสั่นเทาไปหมด “ช้าก่อน ช้าก่อนครับ ผมมีของดีอยู่ ขอผู้
สีหน้าบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงดูขัดแย้งกันอย่างมาก สำหรับเขาแล้ว จี้หยกนี้คือสมบัติล้ำค่ามากสำหรับเขา ที่สำคัญเลยก็คือ ปัจจุบันยังไม่มีใครร่วงรู้เรื่องที่เขาเป็นผู้ครอบครองจี้หยกหนึ่งในสองชิ้นนั้นเลยสักคนแม้ว่าตอนนี้จะมีเพียงชิ้นเดียว แต่เขาก็พอจะใช้ประโยชน์จากมันได้เพราะไม่อย่างนั้น เขาก็แทบจะไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับเทพยดาแดนดินได้เลยแม้ว่าแหวนเองก็เป็นสมบัติล้ำค่า แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่สิ่งของที่มีมูลค่าเท่านั้น ไม่มีก็ไม่เป็นไรแต่หากตนสามารถตามหาจี้หยกอีกชิ้นจนพบ และสามารถบรรลุพลังของมันได้ บางทีสักวันตนอาจจะแข็งแกร่งจนสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ จากนั้นจึงค่อยแย่งทุกอย่างกลับคืนมาอันที่จริง เหตุผลที่ส่งสองพี่น้องเจวี๋ยเทียนเจวี๋ยซินมาจัดการเรื่องรวมสำนักศักดิ์สิทธิ์ ก็เพื่อเตรียมตัวสำหรับการค้นหาจี้หยกในอนาคตได้อย่างสะดวกนั่นเองอย่างไรก็ตาม หากพึ่งแค่พลังของตัวเอง ก็เกรงว่าคงไม่มีทางแย่งจี้หยกจากมือของผู้อารักขาเฟยหลงมาได้แน่จากการที่เขาทำการศึกษาค้นคว้ามาหลายปี ก็พบว่า หากต้องการเปิดเผยความลับของจี้หยก เกรงว่าคงต้องหาจี้หยกอีกชิ้นให้พบเสียก่อน เขาถึงจะพอมีหวังใ
สิ่งนี้ทำให้เย่เทียนหยู่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย ตามที่แม่เคยพูดเอาไว้ จี้หยกนี้ได้ซ่อนความลับที่น่าตกใจเอาไว้อยู่ และมันจะต้องเป็นประโยชน์กับผู้ฝึกฝนมากอย่างแน่นอนเพราะไม่อย่างนั้น พ่อของเขาก็คงไม่ได้รับประโยชน์มากมายขนาดนี้หรือที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้ เป็นเพราะยังขาดอีกชิ้นไป ต้องรวมเข้าด้วยกันงั้นเหรอ?นี่ทำให้ในใจของเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ว่าอย่างไร เย่เทียนหยู่ก็ไม่คิดที่จะนำมันออกมาลองในทันที แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบออกมาแทนว่า “จับแล้วเนื้อสัมผัสก็ดูไม่เลวเลยจริง ๆ เหมือนจะเป็นหยกที่ค่อนข้างมีอายุพอสมควร แล้วของชิ้นนี้มันมีประโยชน์ยังไง?”บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบอธิบายออกไปว่า “ของชิ้นนี้ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ตัวผมเองก็ไม่รู้ว่ามันใช้ยังไงครับ”“แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ จี้หยกมันเคยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับร่างกายของผม เพราะไม่อย่างนั้น ผมก็แทบจะทะลวงเข้าสู่ระดับเทพยดาแดนดินไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”“โอ้ ขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น คุณศึกษามานานมากขนาดนี้ก็ยังไม่ได้อะไรเลยงั้นเหรอ?”“ไม่ครับ ครั้
หลังจากที่ข้อมูลทำการหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเย่เทียนหยู่ ทันใดนั้นพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา โดยมีความยาวและความกว้างมากถึงสิบเมตรแหวนมีพื้นที่จัดเก็บมากขนาดนี้ นั่นจึงไม่แปลกใจเลยที่เย่เทียนหยู่จะตกใจต้องเข้าใจก่อนว่า แหวนมิติอวกาศของเขาก่อนหน้านี้ มีพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งลูกบาศก์เมตรเลยด้วยซ้ำ มันจึงทำให้เขารู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างมาก บนโลกใบนี้ก็ใช่ว่าจะหาเจอได้ง่าย ๆและสิ่งที่ทำให้เย่เทียนหยู่ประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ ด้านในมีสมุนไพรสดสีเขียวชอุ่มอยู่ด้วยเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “สมุนไพรที่อยู่ในนี้จะไม่มีวันเหี่ยวเฉางั้นเหรอ?”บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงรู้สึกตกใจนิดหน่อย มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นไม่ใช่รึไง หรือว่าแหวนมิติอวกาศวงอื่นจะทำแบบนี้ไม่ได้ เขาเริ่มรู้สึกได้อย่างเลือนลางแล้วว่า ตนคงต้องเสียสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไปแล้วจริง ๆแต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังตอบตามความจริงออกไปอยู่ดี “ใช่ครับ สิ่งมีชีวิตเป็น ๆ เองก็สามารถอยู่ในนั้นได้โดยที่ไม่ตายครับ รวมถึงคนเองก็ด้วย นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งเขตการจัดเก็บตามความคิดได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วยครับ”“แต่น่าเสียดาย พื้นที่ด้านในค
เดิมทีคิดว่าการเรียนรู้ทักษะนี้คงจะยุ่งยากมากแน่ ๆ แต่เย่เทียนหยู่ก็กลับพบว่า พลังวิญญาณของเขามีความมั่นคงอย่างมาก พลังจิตเองก็แข็งแกร่งขึ้น การเรียนรู้ทักษะจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากกระดูกศักดิ์สิทธิ์โบราณรึเปล่า แต่ไม่ว่ายังไง ภายในเวลาไม่กี่นาที เขาก็สามารถทำความเข้าใจกับทักษะเหล่านั้นได้จริง ๆถึงขั้นสามารถใช้พลังจิตในการควบคุมความเป็นความตายของคนอื่นได้เลยด้วยซ้ำ ช่างน่าอัศจรรย์มากจริง ๆหลังจากที่เย่เทียนหยู่เรียนรู้ทักษะสำเร็จ เขาก็รีบกลับออกมาในทันที ในตอนที่หันไปมองบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงอีกครั้ง เขาก็ได้แสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา ตอนนี้เขามีวิธีแก้ไขปัญหาแล้วแน่นอน ว่าหากต้องการใช้เวทควบคุมวิญญาณควบคุมอีกฝ่าย เขาก็จะต้องมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายเสียก่อน นอกจากนี้ จำนวนคนที่เขาสามารถควบคุมได้ก็ค่อนข้างจำกัดอีกทั้งยังต้องให้อีกฝ่ายยอมรับการควบคุมอย่างเชื่อฟัง เพราะไม่อย่างนั้น อาจจะทำให้พลังจิตที่ส่งเข้าไปเกิดความเสียหายเอาได้เมื่อเห็นแววตาของเย่เทียนหยู่ บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงก็เกิดรู้สึกหนาวสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกเหมือนมีบางสิ่
เมื่อเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เย่เทียนหยู่จึงสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบออกไปว่า “เอาล่ะ เกี่ยวกับเรื่องที่เราสองคนพูดคุยกันในวันนี้ ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด เข้าใจไหม?”“ครับ นายท่าน!”บรรพจารย์เจวี๋ยฉิงตอบรับด้วยท่าทีเคารพ เพียงแต่หลังจากที่เขาพูดจบก็รู้สึกงงอยู่นิดหน่อย ทำไมตนถึงต้องเรียกอีกฝ่ายว่านายท่านด้วยแต่เมื่อลองย้อนคิดอีกที ถึงยังไงตอนนี้ชีวิตตนก็ตกอยู่ในมือของเขา จะเรียกอีกฝ่ายว่าอะไรก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วเย่เทียนหยู่ก็ชะงักไปชั่วขณะ แต่ถ้าอีกฝ่ายอยากจะเรียกก็เรียกไปเถอะ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็โบกมือขวาขึ้น และถอนม่านพลังโดยรอบออกทันทีตั้งแต่ตอนที่เย่เทียนหยู่และบรรพจารย์เจวี๋ยฉิงหายเข้าไปในนั้น เวลาก็ได้ผ่านไปราว ๆ ยี่สิบนาทีแล้ว คนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ในใจต่างก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาแต่พวกเขาก็กลัวว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นก็ได้ สุดท้ายจึงไม่กล้าจากไป“คุณผู้หญิง คงไม่เกิดเรื่องขึ้นกับคุณชายหรอกใช่ไหมคะ?”จูเก่อหลิวหลีอดไม่ได้ที่จะกระซิบถาม“คิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก”มู่หรงอินเองก็ไม่ได้มั่นใจมากนัก แม้ว่าพลังข
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป