ปัง! เพล้ง!
"เหลวไหล!" เสียงข้าวของภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าซ่ง ผู้มีนามว่าหรูเซ่อ ความพิโรธของโอรสสวรรค์ในครานี้นับว่าร้ายแรงกว่าทุกครั้ง เมื่อได้ทราบข่าวจากโอรสองค์โต
"ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงโปรดรักษาพลานามัยด้วย"
"หึ แม้ว่าเจิ้นจะรู้ว่าเสด็จแม่มีแค้นฝังลึกกับตระกูลเมิ่ง แต่ไม่คิดว่านางจะเลอะเลือนถึงขนาดคิดสังหารเหลนของตนเองเช่นนี้ หากตู๋กูรั่วหวาเป็นอันใดไปแล้วของวิเศษของตระกูลเมิ่งจะตกเป็นของผู้ใด? จะใช้งานก็ไม่ได้เหตุใดจึงได้..." โอรสสวรรค์ทรงมีโทสะอย่างถึงที่สุดหากให้ย้อนกลับไปเรื่องราวแต่หนหลังถึงต้นเหตุของความแค้นจะมีผู้ใดต้องการกล่าวถึง
เป็นเพราะพี่สาวที่โง่งมของเขาองค์หญิงใหญ่ที่แต่งไปกับทายาทสายหลักของตระกูลเมิ่งผู้นั้น หากนางไม่นำความลับของตระกูลเมิ่งมาเปิดเผยให้เสด็จพ่อได้รู้ทุกคนย่อมไม่ต้องตาย แม้แต่นางและสามีของนางก็ไม่อาจรอดพ้นสัญญาเลือดที่ว่านั้นไปได้! แม้ว่าเขาเองจะอยากรู้อยู่มากหากแต่ไม่คิดเสี่ยงแม้แต่น้อยและย่อมต้องให้ทายาทตระกูลเมิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์เช่นนี้ตลอดไปย่อมดีกว่า สิ่งที่น่ากลัวคือการไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง มันคือฝันร้ายทั้งชีวิตของราชวงศ์ตู๋กูอย่างแท้จริง
ต่อให้ตระกูลเมิ่งจะมีบุญคุณต่อแคว้นแล้วอย่างไร สิ่งที่ไม่สามารถครอบครองได้ย่อมเป็นภัยในภายหน้า
ณ ค่ายพยัคฆ์คำราม
"คารวะท่านอ๋อง คนร้ายปลิดชีพตนเองแล้วขอรับ"
"ช่างเถอะ เปิ่นหวางเองก็พอรู้อยู่แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลัง"
"ท่านอ๋องจะทรงทำเช่นไรต่อไปขอรับ"
"ปกปิดเรื่องที่นางยังไม่ตายเอาไว้ อย่าให้คนของผู้นั้นสืบความได้"
"ข้าน้อยทราบแล้ว"
ในวันที่เมิ่งจิ่วซือถูกลอบสังหารเป็นเขาที่ช้าไปก้าวหนึ่ง และเมื่อไปถึงก็พบว่ามีองครักษ์ของคนผู้นั้นซุ่มอยู่ไม่ไกล จึงทำให้ชายหนุ่มปฏิเสธที่จะช่วยเหลือนางก่อนจะส่งคนลงไปอีกครั้งในภายหลัง ตู๋กูหรงเซ่อรู้ดีว่าเสด็จย่าของเขาผู้นั้นมักหวาดระแวงเป็นอย่างมากทั้งยังมีความแค้นที่ฝังลึกกับตระกูลเมิ่ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงคิดลงมือกับเมิ่งจิ่วซือในครั้งนี้หรือว่าจะถูกยุยงจากผู้ใดและเสด็จพ่อของเขารับรู้เรื่องนี้หรือไม่? ย่อมเป็นเรื่องที่เขาไม่คิดที่จะค้นหาคำตอบ ก่อนจะปล่อยให้เรื่องราวทุกอย่างเป็นไปราวกับไม่ใช่เรื่องของตนเองทั้งสิ้น
หากจะถามหาคนผิดก็ย่อมเป็นเมิ่งจิ่วซือที่ดันเกิดมาเป็นคนตระกูลเมิ่ง ทั้ง ๆ ที่เดิมทีแล้วท่านปู่ของนางและนางเป็นเพียงทายาทสายรองเท่านั้น ผู้ที่ครอบครองของวิเศษเดิมทีก็เป็นท่านปู่ใหญ่ผู้นั้นของนางแต่ผู้ใดใช้ให้ท่านลุงใหญ่ของนางแต่งงานกับเสด็จป้าผู้โง่งมคนนั้นของเขากัน เรื่องมันจึงได้กลายเป็นพังพินาศเช่นนี้
คนในตระกูลเมิ่งทั้งหมดในจวนล้วนแล้วแต่ตายตกเพราะโรคระบาดในสามวัน รวมถึงเสด็จปู่ของเขาที่หมอหลวงแจ้งว่าติดเชื้อโรคระบาดจากพระธิดา แต่คนในราชวงศ์เช่นพวกเขาย่อมรู้ดีว่าไม่ใช่แต่เพราะถูกคำสาปของตระกูลเมิ่งต่างหากคนภายนอกที่ไม่ใช่ทายาทที่แท้จริงหากเปิดเผยเรื่องราวความลับนี้ย่อมต้องมีอันเป็นไปด้วยสัญญาเลือด นับแต่นั้นมาราชวงศ์ตู๋กูก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวตระกูลเมิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
ณ หมู่บ้านตระกูลเสิ่น
รถม้าคันหนึ่งพาร่างของหญิงชราท่าทางทรุดโทรมผู้หนึ่งมาทิ้งเอาไว้หน้าจวน ก่อนที่จะได้รับความช่วยเหลือจากไห่หมัวมัว อาฉือรีบเข้าไปรายงานนายหญิงในเรื่องนี้ทันที และเมื่อเมิ่งจิ่วซือมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องรับรองก็พบกับคนที่คุ้นเคยที่นางคิดว่าได้ตายไปแล้ว ภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับคนตรงหน้าหลั่งไหลผ่านความทรงจำของนางมาเรื่อย ๆ จนรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้านั้นคือผู้ใด
"เกาหมัวมัว!" เกาเจิ้งที่ได้ยินเสียงคุ้นหูพยายามเงยหน้าขึ้นมองดูก่อนจะพบใบหน้างดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองของเมิ่งจิ่วซือ หญิงชราก็ร่ำไห้ออกมาพร้อมกับคลานเข่าเข้ามากอดขาของหญิงสาว
"ฮือ ๆ นายหญิง นายหญิงของบ่าว ท่านยังไม่ตาย ท่านยังไม่ตายจริง ๆ ด้วย ฮือ ๆ"
"เกิดอันใดขึ้น! เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้?"
"เป็นท่านอ๋องเพคะ ท่านอ๋องให้คนของเขาส่งบ่าวมาที่นี่" เกาเจิ้งที่มัวแต่ยินดีเผลอหลุดปากพูดออกมา หากแต่จะปิดบังก็ไม่ทันเสียแล้ว ในตอนที่ทั้งเมืองหลวงต่างมีข่าวลือว่าพระชายาเป่ยติ้งหรงอ๋องสิ้นพระชนม์เพราะโจรป่า นางเองก็ถูกเฉดหัวออกจากจวนอ๋อง ก่อนจะเร่ร่อนอยู่นานนับเดือนแล้วพบกับองครักษ์ของเป่ยติ้งหรงอ๋องพาขึ้นรถม้ามาแล้วนำนางมาทิ้งไว้ยังหน้าเรือนแห่งนี้และเมื่อได้พบหน้านายหญิงนางก็เข้าใจในทันที
หว่านหว่านได้ยินที่เกาหมัวมัวกล่าวหญิงสาวก็ขมวดคิ้วทันที เหตุใดเขาจึงรู้ว่านางอยู่ที่นี่! หญิงสาวเกิดความหวาดระแวงหากแต่ก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ในเมื่อเขารู้ว่านางอยู่ที่นี่หากแต่ไม่คิดทำอันใดหรือว่าคนที่สั่งการให้สังหารนางจะไม่ใช่เขา
"ช่างเถอะ ต่อไปท่านไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องนี้อีก รบกวนไห่หมัวมัวช่วยดูแลแม่นมของข้าด้วย นางแก่แล้วอาจจะพูดจาเลอะเลือนไปบ้าง"
"เจ้าค่ะ"
"เชิญแม่นมเกาทางด้านนี้เจ้าค่ะ" เกาเจิ้งมองดูนายหญิงที่เปลี่ยนไปไม่น้อยของนาง หญิงชรารับรู้ได้ทันทีจากสายตาของนาง หากแต่นางไม่รู้ว่านายหญิงของตนนั้นเปลี่ยนไปเช่นไรหรืออาจจะเพราะพึ่งผ่านความเป็นความตายมาได้ จึงทำให้เป็นเช่นนี้ก็เป็นได้
หว่านหว่านมาอยู่ในร่างของเมิ่งจิ่วซือผู้นี้หากนับเวลาก็เกือบสามเดือนแล้ว หญิงสาวไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกมากนักเป็นเพราะยังหวาดระแวงอยู่มาก หากแต่เมื่อได้ลองศึกษาแผนที่และประวัติของแคว้นจนแน่ชัดจึงได้เริ่มเข้าใจว่าที่นี่ห่างจากเมืองหลวงแคว้นต้าซ่งนับพันลี้ เจียงหนานแห่งนี้นับว่าเป็นพื้นที่ปิดมีอ๋องผู้ครองเมืองผู้หนึ่ง มีกองทัพของตนเองและไม่ยุ่งเกี่ยวสุงสิงกับราชวงศ์และหมู่บ้านแห่งนี้ก็นับว่าเงียบสงบอยู่มาก หากจะกล่าวไปแล้วหากตู๋กูหรงเซ่อต้องการสังหารนางจริง ๆ ก็คงจะลงมือไปนานแล้วในเมื่อเขารู้แล้วว่านางอยู่ที่นี่หากแต่ก็ไม่มาวุ่นวายเช่นนั้นก็นับว่าเป็นการดี นางและเขาไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก
"อ๊ะ คุณหนูของบ่าว เริ่มเดินเก่งแล้วเจ้าค่ะ เก่งที่สุดเจ้าค่ะ" เสียงของอาเป่าที่วัน ๆ เอาแต่ชื่นชมคุณหนูน้อยเพิ่มมากขึ้น หวาหวาเองก็เดินเก่งขึ้นทุกวัน ทั้งยังเริ่มหัดพูดได้อีกหลายคำแล้ว ในเมื่อนางเริ่มโตก็ควรจะมีของเล่นที่เสริมพัฒนาการให้กับนางอยู่บ้าง หญิงสาวคิดวางแผนทำเครื่องเล่นให้กับบุตรสาวในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าที่เรือนของนางจะมีคนมาเยี่ยมเยือนอีกแล้ว
เสียงวุ่นวายทำให้อาฉือต้องรีบเดินออกไปดูก่อนจะพบกับบรรดาหญิงสาวในหมู่บ้านที่เหมือนรวมตัวกันมาที่นี่โดยเฉพาะ
"พวกท่านมีสิ่งใดหรือเจ้าคะ" อาฉือเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะมองประเมินหญิงสาวเหล่านั้น ดูเหมือนว่าพวกนางจะผลักให้กัวอวิ๋นเป็นผู้นำในเรื่องวันนี้
"เอ่อ! แม่นางอาฉือไม่ทราบว่าเมิ่งฮูหยินอยู่ที่เรือนหรือไม่"
"พวกท่านมีธุระอันใดกับนายหญิงงั้นหรือ" อาฉือคือสาวใช้ขั้นหนึ่งที่ถูกฝึกมาให้ดูแลเมิ่งจิ่วซือโดยเฉพาะ นางไม่จำเป็นต้องไว้หน้าผู้ใดหรือกระทั่งไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมต่อเหล่าสตรีตรงหน้า
"เกิดอันใดขึ้นหรือ?" เมิ่งจิ่วซือที่มองดูเหตุการณ์วุ่นวายอยู่นานจึงได้ก้าวออกมา ความงดงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสองของหญิงสาวทำเอาสตรีที่รวมตัวกันอยู่บริเวณด้านหน้าเรือนถึงกับหายใจสะดุด ใบหน้าเรียวเล็ก มือเรียวและผิวขาวราวหิมะ ความงามเช่นนี้สามารถสังหารผู้คนให้ตายตกได้เพียงเพราะเฝ้ามองนางได้จริง ๆ เดิมทีพวกนางต้องการมาเชิญหญิงสาวให้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองของหมู่บ้านเท่านั้น แต่ที่แห่แหนกันมาเยอะแยะก็เพียงแค่ต้องการเห็นใบหน้าของหญิงงาม
"เรียนนายหญิง ท่านป้ากัวกล่าวว่าจะขอพบท่านเจ้าค่ะ"
"พวกท่านมีธุระอันใดกับข้างั้นหรือ" เหล่าสตรีทั้งหลายต่างพากันมองหน้ากันไปมาไม่กล้าเอ่ย อาจเพราะรู้สึกเกรงใจหรือว่าเกรงกลัวก็มิรู้ได้
"เมิ่งฮูหยิน พรุ่งนี้ที่หมู่บ้านของเราจะมีงานเลี้ยง ท่านสนใจอยากเข้าร่วมหรือไม่?"
"ได้ ข้าจะไป ขอบคุณพวกท่านมากที่นึกถึงข้า"
"มิได้ ๆ เห็นท่านอยู่แต่ในเรือน พวกข้าก็กลัวว่าท่านจะเหงา อย่างไรพรุ่งนี้ก็ไปร่วมสนุกด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ" สตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นบ้าง
"ข้าจะไปอย่างแน่นอน" หญิงสาวรับปากอีกครั้ง
"ดียิ่ง ๆ เช่นนั้นพวกข้าขอลากลับก่อน" กัวอวิ๋นผู้นำเหล่าสตรีส่งยิ้มกลับมาให้เมิ่งจิ่วซือก่อนจะดันหลังสตรีเหล่านั้นให้กลับไปพร้อม ๆ กันอย่าได้อยู่รบกวนเมิ่งจิ่วซืออีก
หลังจากอาฉือปิดประตูหน้าเรือนแล้วก็หันมาเอ่ยกับนายหญิงของตน
"นายหญิงจะไปร่วมงานจริง ๆ หรือเจ้าคะ"
"ใช่ พวกเจ้าก็ไปเสียด้วยกัน อย่างไรก็ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักพักใหญ่ หากว่าปลอดภัยก็อาจจะอยู่นานหน่อย ไม่ต้องระวังตัวมากเพียงนั้น ควรใช้ชีวิตให้มีความสุขเสียบ้าง"
"เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว"
หลังจากที่สตรีเหล่านั้นเดินจากมาไม่ไกลใครคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ
"จะว่างามก็งามอยู่หรอก แต่นางจะทำตัวสูงส่งเกินไปหรือไม่เหตุใดต้องให้พวกเรามาเชิญนางถึงเรือนเช่นนี้ด้วย" นางคือชุยฟางเป็นหลานสาวของท่านผู้เฒ่าผู้นำหมู่บ้าน มารดาของนางคือบุตรสาวเพียงคนเดียวของลู่ถง ที่ติดตามสตรีเหล่านี้มาเรือนสกุลเมิ่งก็เพื่อต้องการอยากจะเห็นใบหน้าที่ผู้คนร่ำลือหนักหนาว่างดงามล่มเมืองของเมิ่งจิ่วซือ แต่งดงามแล้วอย่างไรมิใช่ว่านางแต่งงานมีบุตรแล้วหรอกหรือ หาได้เป็นบุปผาเยาว์วัยเช่นนางไม่หากจะกล่าวชุยฟางนับได้ว่าเป็นหญิงงามแห่งหมู่บ้านตระกูลเสิ่น นางมักมั่นใจในความงามของตนเองเป็นอย่างยิ่ง จนกระทั่งเมิ่งจิ่วซือได้ปรากฏตัวขึ้นความงามของนางก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเพียงบุปผาริมทางเท่านั้น
"แต่เมิ่งฮูหยินก็งดงามมากจริง ๆ แม้ว่าเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ในวันนี้จะดูเรียบง่ายแต่ก็ยังมิอาจบดบังความงามที่เป็นเลิศนี้ได้แม้แต่น้อย"
"ใช่ ๆ ทั้งยังใจดี มักจะส่งขนมมาฝากให้บุตรสาวของข้าบ่อย ๆ" สตรีผู้หนึ่งที่เรือนของนางอยู่ไม่ไกลจากเรือนของเมิ่งจิ่วซือเอ่ยขึ้น นางมีบุตรสาวที่ยังเล็กอายุไล่เลี่ยกับบุตรสาวของเมิ่งจิ่วซือ
"หึ! ก็แค่ธรรมดา ๆ ดาษดื่นพวกเจ้าอดอยากมาจากที่ใดกันไม่เคยกินของดี ๆ กันงั้นหรือจึงได้ตื่นเต้นดีใจถึงเพียงนั้น!" กล่าวจบชุยฟางก็สะบัดตัวจากไปด้วยความริษยา
"นางเป็นอันใดของนางกัน?" สตรีผู้หนึ่งกล่าว
"เป็นโรคริษยาน่ะสิ! จะอะไรเสียอีก" กัวอวิ๋นที่มักได้รับขนมจากเมิ่งจิ่วซือเอ่ยขึ้นอย่างหมั่นไส้ เดิมทีชุยฟางมักจะคิดว่าตนสูงส่งมาตลอดจึงไม่เคยเห็นหัวผู้ใด มาวันนี้พบสตรีที่สูงส่งกว่านางทุกด้านต้องรู้สึกหงุดหงิดเป็นธรรมดาอยู่แล้ว หึ สมน้ำหน้านางนัก
ทางด้านหรูเจิ้งหยวนและซิ่วจื่อหลิงก็เดินมาถึงตำหนักบรรทมของเสวียนอู่ฮ่องเต้โดยที่มีคนของเขาที่ปลอมเป็นขันทีอยู่ที่ตำหนักรอต้อนรับอยู่ ทั้งคู่เพียงส่งสัญญาณด้วยสายตาก็เป็นที่รับรู้ได้ในทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะแสร้งทำเป็นให้คนมาคอยควบคุมโดยรอบตำหนักในทันที ซึ่งคนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นคนของหรูเจิ้งหยวนทั้งหมด ก่อนที่ตนจะเป็นผู้นำทางชายหนุ่มเข้าไปยังด้านในเสวียนอู่ฮ่องเต้ทรงบรรทมอยู่บนเตียงโดยที่ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย เป็นซิ่วจื่อหลิงที่เดินเข้าไปหยุดอยู่ที่หน้าเตียงก่อนที่จะหยิบเข็มเงินของนางออกมาจากห่อผ้าพร้อมกับจิ้มลงไปบนหน้าของของเขาแล้วค่อย ๆ ดึงออกมาแล้วพบว่าเข็มเงินของนางได้เปลี่ยนเป็นสีดำในเวลาต่อมา"จะ เจ้าเป็นผู้ใด" เสียงแหบแห้งของเสวียนอู่ฮ่องเต้ที่ในตอนแรกนอนนิ่งเป็นผักอยู่นั้นดังขึ้นเบา ๆ"เสด็จพ่อ... " หรูเจิ้งหยวนก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียง และเมื่อเสวียนอู่ฮ่องเต้ได้เห็นหน้าโอรสของเขาอีกครั้งก็ได้แต่หลั่งน้ำตาออกมา"หยวนเอ๋อ...""เสด็จพ่อนางเป็นคนรักของลูกเอง องค์หญิงใหญ่ซิ่วจื่อหลิงที่ลูกเคยเล่าให้ท่านฟัง" เสวียนอู่ฮ่องเต้หันไปมองหน้าซิ่วจื่อหล
หลายวันต่อมาซิ่วจื่อหลิงลุกขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นางได้เตรียมมาด้วย นางตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะปลอมตัวเป็นสาวใช้ของหรูเจิ้งหยวน เมื่อตอนที่ยังเล็กมารดามักชอบเล่านิทานประโลมโลกให้นางกับน้องชายฟัง เคยมีเรื่องราวของคุณหนูผู้ร่ำรวยคนหนึ่งต้องการตามหารักแท้จึงได้ปลอมตัวเป็นสาวใช้หน้าตาอัปลักษณ์เข้าไปอยู่ในจวนท่านแม่ทัพผู้หนึ่ง นางเองก็อยากจะลองเล่นสนุกเช่นนั้นดูบ้าง ครั้งนี้ก็นับว่าได้มีโอกาสแล้วหญิงสาวลงทุนทาตัวด้วยยางไม้ชนิดหนึ่งเพื่อให้สีผิวที่ขาวนวลกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำ ก่อนที่จะทาไปบนใบหน้าและติดเม็ดไฝสักสองสามเม็ดบนหน้าของนางให้ดูสมจริงมากขึ้น เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของสาวใช้ สำเนียงที่พูดก็เปลี่ยนให้เหน่อเล็กน้อย เมื่อแต่งตัวเสร็จจึงได้เดินออกมาจากห้องในขณะที่ชายหนุ่มเองก็นั่งรออยู่เมื่อเห็นซิ่วจื่อหลิงที่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างชัดเจน หรูเจิ้งหยวนที่กำลังยกชาขึ้นดื่มก็ถึงกับสำลักและไอออกมาเสียงดังแค่ก ! แค่ก ! แค่ก !"นี่ข้างามมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ ?" ซิ่วจื่อหลิงเอ่ย
หลังจากที่พูดคุยกันแล้วซิ่วจื่อหลิงก็ลงมือรักษาชายหนุ่มในทันที ฝีมือการรักษาพิษแม้ว่านางจะไม่เก่งกาจเท่ากับมารดาหากแต่เมื่อเทียบกับหมอหลวงโดยทั่วไปย่อมเหนือชั้นกว่า อีกอย่างนางมีของวิเศษและการมาในครั้งนี้ก็พาเจ้าจิ้งจอกน้อยมาด้วย ซิ่วจื่อหลิงนำเจ้าจิ้งจอกน้อยออกมาจากช่องว่างในมิติของวิเศษก่อนจะให้มันดูดซับพลังไม่ดีจากร่างกายเขา ก่อนที่นางจะลงมือฝังเข็มนับร้อยเล่มบนร่างกายของชายหนุ่มพิษที่ชายหนุ่มได้รับนั้นเป็นพิษของทางชนเผ่าหน้าด่านที่ไม่ค่อยพบเห็นมากนัก ทำให้หมอทั่วไปมิอาจรักษาได้ หากแต่ไม่ใช่กับวิชาเข็มพิฆาตพิษที่เป็นวิชาตกทอดมาจากท่านตาทวดของนางอย่างแน่นอนในยามที่ฝีเข็มถูกทิ่มแทงลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนังเพียงไม่กี่อึดใจก็มีเลือดสีดำซึมออกมาในทุกรูขุมขนที
ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน"อาเป่า ช่วงนี้ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับคุณชายเสิ่นส่งกลับมาบ้างเลยหรือ ?" ซิ่วจื่อหลิงเอ่ยกับนางกำนัลคนสนิท"ไม่มีเลยเพคะ จะว่าไปก็แปลกยิ่งนักเหตุใดจึงได้เงียบไปเช่นนี้""นั่นสิ แล้วข่าวเกี่ยวกับวังหลวงแคว้นหนานเฉินเล่า ?""ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะคุกรุ่นอยู่ไม่น้อยเลยเพคะ"
วังหลวงแคว้นหนานเฉินกำลังจะลุกเป็นไฟหลังจากที่คนของตระกูลหวังของหวังฮองเฮาถูกคนเล่นงานอยู่หลายครั้งจนกระทั่งอำนาจเริ่มเสื่อมถอย เสวียนอู่ฮ่องเต้เองก็ป่วยกระเสาะกระแสะมานานหลายเดือน ในยามที่หรูเจิ้งหยวนส่งคนของเขาไปตรวจร่างกายพระองค์ก็ดูเหมือนจะปกติ เพียงแต่อาการนั้นไม่ปกติยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้ต้องไม่เป็นการดีแน่ในขณะที่ในช่วงค่ำคืนหนึ่งที่ทุกอย่างดูเหมือนจะเงียบสงบอย่างผิดปกติ อยู่ ๆ ตำหนักบรรทมของเสวียนอู่ฮ่องเต้ก็ถูกล้อมด้วยคนของไท่จื่อหรูโจว แน่นอนว่าการก่อกบฏในครั้งนี้มีคนที่ร่วมมือกับเขาอยู่ไม่มาก ขุนนางเหล่านั้นอยู่ฝั่งเดียวกับตระกูลหวังทั้งยังสนับสนุนให้ไท่จื่อหรูโจวกระทำการช่วงชิงราชบัลลังก์จากเสวียนอู่ฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าฝ่าบาทมิอาจออกว่าราชกิจได้เนื่องจากทรงพระชวรหนัก จึงจำเป็นจะต้องให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเช่นองค์รัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์แทนหลังจากที่พวกเขาบุกยึดวังหลวงได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวังฮองเฮาที่สวมอาภรณ์สีแดงงดงามก็เดินเข้ามาในห้องบรรทมของผู้เป็นสามี นางมองเสวียนอู่ฮ่องเต้ด้วยแววตาสมเพช เดิมทีนางนั้นหลงรักเขาหมดหัวใจ เพียงแต่อีกฝ่า
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นด้วยความดุเดือด ก่อนที่ซิ่วจื่อหลิงจะหันไปเห็นหลิวอี้หลันที่กำลังเดินเข้ามาในบริเวณสนามฝึกแห่งนี้ ได้ข่าวว่านางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปได้ไม่นานก็รีบออกมาแสดงตัวเสียแล้วหลิวอี้หลันเดินมาพร้อมกับท่านหญิงซูฉี ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันมากกว่าที่เคย อาจเพราะพระชายาเจิ้งอ๋องผู้เป็นมารดาของหลิวอี้หลันได้แต่งเข้าตำหนักเจิ้งอ๋องทำให้หลิวอี้หลันเองก็เปรียบเป็นคนในราชวงศ์กึ่งหนึ่ง เพราะเจิ้งอ๋องนั้นรับนางและน้องชายเป็นบุตรบุญธรรม แต่จะชูคอได้นานอีกสักเท่าใดก็ต้องคอยดูกันต่อไป ทั้งคู่เดินเข้ามาในกระโจมที่นางและน้องชายนั่งอยู่ก่อนทั้งสองจะยอบกายคารวะนางและน้องชายแล้วหันไปมองจินเยว่ที่นั่งข้าง ๆ"เหตุใดคุณหนูจินจึงมานั่งในกระโจมนี้ได้เล่า" เป็นท่า