หลังจากที่เมล็ดพันธุ์ถูกฝังในแก่นวิญญาณของจอมมารเรียบร้อยแล้ว ความทรงจำที่อู๋เยว่ชิงมีต่อเขาในฐานะคนรักของหลินซีเวยจึงพรั่งพรูเข้าหา
สวีลู่ชิงใช้พลังเทพบรรพกาลทำให้เขารับความรู้สึกของนางแม้จะยืนยาวได้ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจแต่ก็พอทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบชั่วขณะ
ความรักของนางที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องลวงหลอก ดูเหมือนจอมมารจะสัมผัสได้ว่านางเอ่ยความจริงจากก้นบึ้งในใจ แต่มันกลับทำได้แค่เพียงสะกิดความรู้สึกแล้วจางหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย
นางไม่ได้หวังอันใดไปมากกว่านี้ ขอแค่ให้เขาได้รับรู้บ้างเผื่อจอมมารจะรู้สำนึกว่าได้ทำอันใดลงไป
แม้สวีลู่ชิงจะไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์ดวงสุดท้ายที่แตกร้าวจะทำให้ดวงอื่น ๆ ที่เคยถูกฝังในร่างจอมมารปริแตกหยั่งรากลึกก่อนเวลาอันควรจนความรู้สึกทั้งปวงก่อตัวขึ้นในแก่นวิญญาณของเขา
ความรักที่ควรจะพัดผ่านหัวใจของกงจื่อเย่เพียงชั่วครู่ จึงฝังแน่นไม่อาจลบเลือน
ภาพต่าง ๆ ที่เขามองเห็นยามอยู่ในร่างของหลินซีเวยทะลักราวน้ำไหลหลากจนกระอักเลือด
ภาพที่มาพร้อมกับความรู้สึกที่ก่อตัวจากเมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวงทำให้เขารับรู้ว่ามีอะไรที่แปลกไปจากเดิม
“นายท่าน เกิดอันใดขึ้น” โจวเหวินหลงเห็นเจ้านายสีหน้าไม่ดีจึงถามไถ่
“เหตุใด... นางทำอันใดกับข้า” เขาไม่เข้าใจตัวเอง สายตาพยายามมองหาสวีลู่ชิงกลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยเพราะนางสลายร่างในชาตินี้ไปจนหมดสิ้น
ความทรงจำหลอมรวมกับความรู้สึกใหม่ ๆ สิ่งเหล่านั้นเด่นชัดขึ้นในหัวใจของจอมมาร
“องค์ชายสาม คืนนี้มีงานเฉลิมฉลอง ไปดูดอกไม้ไฟกันหรือไม่เพคะ” อู๋เยว่ชิงวัยเยาว์เอ่ยปากถาม
“อย่ามายุ่งกับข้า” หลินซีเวยตัวน้อยสะบัดหน้าหนี
“องค์ชาย ทรงประชวรหรือเพคะ เจ็บที่ใดหรือไม่”
“ไปไกล ๆ ให้พ้นหน้าข้า ชิ่ว ๆ” เด็กน้อยยังคงทำเช่นเดิม ผลักไสนาง ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี
จนกระทั่งต้องเข้าพิธีอภิเษกแก้เคล็ด แม้แรกเริ่มจะรังเกียจ หากแต่เวลาต่อมาแกล้งทำเป็นมอบความรักให้นางเพื่อจะทำลายในภายหลัง
ทว่า ภาพความทรงจำในครั้งนี้กลับให้ความรู้สึกที่แปลกไป กงจื่อเย่จับหัวใจรู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่เขาพ่นคำพูดใจร้ายกับอู๋เยว่ชิง หรือแม้แต่ตอนที่แกล้งทำเป็นรักนางทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร สิ่งที่แสดงออกมาทั้งหมดเพียงแค่เลียนแบบตัวละครในหนังสือเพียงเท่านั้น
ครานี้รู้สึกได้ว่ามันช่างหนักหน่วงยิ่งนัก “เหตุใดข้าจึงทำเช่นนั้นกับนาง” เขาเอ่ยความในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
ภาพความทรงจำยังคงฉายต่อเนื่องพร้อมกับความรู้สึกจากเมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวง
“เสด็จพี่ ข้ารักพระองค์ยิ่งกว่าผู้ใด” น้ำเสียงของอู๋เยว่ชิงดังขึ้นในใจของเขา
“ลูกของเรา ข้าจะตั้งชื่อให้เขาว่า อีนั่ว” หลินซีเวยเอ่ยปากในตอนนั้น พูดจาส่งเดชเพราะเลียนแบบมนุษย์ “เพราะว่าอีนั่วคือคำสัญญาจากข้าว่าจะรักเจ้าไปตลอดชีวิต ให้ลูกของเราเป็นพยาน”
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เขากลับทำลายสัญญานั้นลงไปอย่างง่ายดาย
พลันคำพูดของอู๋เยว่ชิงผุดขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น อีนั่วจะเป็นคำสัญญาจากหม่อมฉันว่าจะรักพระองค์จนลมหายใจสุดท้ายเพคะ”
กงจื่อเย่แสยะยิ้ม บัดนี้ไม่เหลือแล้วทั้งนางและอีนั่ว แต่เหตุใดเขาจึงยังไม่สามารถควบคุมตนเองได้ และคำพูดสุดท้ายของนางหวนกลับมาอีกครา
“พบกันครั้งหน้าอย่าได้ข้องเกี่ยวกันอีกเลย เราสองคนจะได้จบสิ้นชะตาผูกพันกันเสียที”
น้ำใสไหลหยดจากดวงตาสีม่วงแดงทั้งสองข้างของจอมมาร
“นายท่านร้องไห้หรือ” โจวเหวินหลงไม่เชื่อสายตาของตัวเอง หันมองหน้าเฉินซือหยางเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด
“เฮอะ เหตุใดข้าจึงรู้สึกเจ็บตรงนี้นัก นางทำอันใดกับข้า” มือสองข้างกุมหัวใจ น้ำตายังคงไหลรินโดยไม่รู้สาเหตุ “ทำไมเห็นนางร้องไห้ ข้าจึงรู้สึกอย่างนั้นด้วย”
โจวเหวินหลงครุ่นคิดแล้วนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น “นายท่าน เวลานี้เมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวงอยู่ในแก่นวิญญาณแล้ว รีบกำจัดมันก่อนเถิด”
ลูกน้องจอมมารเร่งให้เจ้านายลงมือก่อนที่เทพดาราจะฟื้นคืนแล้วใช้พลังอสนีบาตสิบเก้าครั้งสังหารเขา
ทว่า กงจื่อเย่ยังคงนิ่งเฉย “ข้าทำไม่ได้” จอมมารราวกับตกอยู่ในภวังค์ ภาพและคำพูดของอู๋เยว่ชิงวนเวียนกลับไปกลับมา
“...” โจวเหวินหลงจนปัญญา “นายท่านรีบทำลายมันตั้งแต่ตอนนี้เสียเถิด”
“ข้าทำไม่ได้” เขายังคงปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสก่อนที่สวีลู่ชิงจะฟื้นตัวแล้วแท้ ๆ แต่เขากลับไม่ทำ
เดิมทีเมล็ดพันธุ์ไม่ควรหยั่งรากลึกจนกว่าจะถึงเวลาที่เทพดาราได้พลังอสนีบาต นับว่าเป็นโชคดีของจอมมารโดยแท้แต่เขากลับจมดิ่งในความมืดมิดจนไม่อาจถอนตัว
แม้แต่ร่างมารอีกส่วนหนึ่งที่ต่อสู้อยู่บนภพสวรรค์ยังรู้สึกเฉกเช่นเดียวกันจนพลาดท่าถูกคมดาบของเทพวายุแทงทะลุร่างก่อนที่แก่นวิญญาณสองส่วนจะกลับมารวมเป็นหนึ่ง
ทัพมารถอนตัวจากสงครามหลังจากยืดเยื้อมาหลายวันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นแต่ก็พลันโล่งใจที่จะได้หยุดพักหายใจบ้าง
จู่ ๆ กงจื่อเย่หายตัวกลับมายังวังหลวง ภาพร่างไร้วิญญาณของผู้คนในเมืองไท่หยางเกลื่อนกลาด ตำหนักจันทราถูกไฟไหม้เหลือเพียงเสาต้นใหญ่
ความรู้สึกเจ็บปวดถาโถมเข้ามาในใจของเขาไม่มีปรานี สาสมกับสิ่งที่เขาได้กระทำกับผู้อื่น
“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เจ้ากำลังใช้เล่ห์กลหลอกลวงข้า” จอมมารปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อนาง “รอข้ากำจัดมันเสียก่อนเถอะ”
แม้จะกล่าวเช่นนั้นแต่เขายังคงนั่งนิ่งไม่ลงมือ หากแต่น้ำตาไม่เชื่อฟังคำสั่งของตัวเขาเอง “ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย”
กงจื่อเย่ส่ายหน้าพูดพึมพำพยายามที่จะทำลายเมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวง ถอนรากถอนโคนมันออกมาจะได้กลับมาเป็นคนไร้หัวใจดังเดิม
“เหตุใดข้าจึงทำไม่ได้” น้ำเสียงของเขาเศร้าสร้อย
เสียงหนึ่งแว่วผ่านสายลม “ซีเวย” เขาหันกลับไปมองทางต้นเสียง นึกดีใจที่ได้ยินเสียงนางแต่กลับไม่พบใครที่อยู่ตรงนั้น พึมพำเพียงลำพัง “นางจากข้าไปแล้ว เหตุใดจึงทิ้งข้าไป ไม่รักข้าแล้วหรือ”
จอมมารกวาดตามองไปรอบสถานที่ที่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกัน พลันหยิบถุงหอมที่นางเคยให้ไว้ออกมาดูต่างหน้า พึมพำถึงคนที่ล่วงลับไปแล้ว
น้ำเสียงเศร้าสร้อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้จะไม่ยอมรับแต่กลับค้านความรู้สึกของตนเองไม่ได้
“ทำไม จู่ ๆ ข้าจึงรู้สึก...ว่าข้ารักเจ้ามากเพียงนี้” หยดน้ำตาที่ไม่เคยมีพรั่งพรู
ทรมานเหมือนอย่างที่อู๋เยว่ชิงรู้สึก ปวดร้าวราวกับจะแตกสลายตามนางไปด้วย
------------------------------------
ขอบคุณที่ติดตามจนจบเล่ม 1 นะคะ รายตอนของเล่ม 2 จะเริ่มลงวันเว้นวันตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2568 เป็นต้นไปค่ะ
สปอยล์เล็กน้อย เนื้อเรื่องเล่มสอง กงจื่อเย่จะเปลี่ยนเป็นคนละคน กลายเป็นมารที่มีหัวใจและความรู้สึก ยอมทำทุกอย่างเพื่อได้เห็นรอยยิ้มของสวีลู่ชิงและแก้ไขสิ่งที่เขาทำผิดพลาดไปค่ะ จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ใช้ความพยายามอย่างสูงเพื่อง้อภรรยาเพียงคนเดียวและลูกชายของเขา!!!
หลังจากอู๋เยว่ชิงผนึกเมล็ดพันธุ์ทั้งสามดวงได้แล้ว ร่างมนุษย์ของนางจึงแตกสลาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ววิญญาณเทพดาราควรกลับแดนสวรรค์เพราะนางได้ผ่านด่านเคราะห์อันแสนสาหัสไปเรียบร้อยหากแต่เวลานี้ยังไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าวิญญาณของเทพดาราหายไปอยู่ที่ใดราวกับนางไม่มีตัวตนสิ่งที่นางหลงเหลือไว้มีเพียงความทรงจำและความเจ็บปวดที่ฝังลึกในเมล็ดพันธุ์ที่ปริแตกในแก่นวิญญาณของจอมมาร คนที่กำลังทรมานกับสิ่งที่ตนเองกระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมากงจื่อเย่เพิ่งสัมผัสได้ว่านางทุกข์ทน ผิดหวังและเศร้าโศกมากเพียงใด เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงไม่อาจกำจัดความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงออกไปได้“นายท่าน เหตุใดจึงไม่ทำลายมันทิ้งไป พลังของนายท่านยังไม่สมบูรณ์ดีหรือขอรับ” โจวเหวินหลงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัยเพราะเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นไม่ได้มีกำลังมากมายที่
กาลเวลาผันผ่านจากหนึ่งเดือนเป็นหนึ่งปีเหมันตฤดูเวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง กงจื่อเย่ยังคงเป็นดังเช่นวันวาน นัยน์ตาสีม่วงแดงของจอมมารเหม่อมองสรรพสิ่งรอบตัวถวิลหาคนที่จากไปอย่างไร้ร่องรอยแม้พยายามลบเลือนนางออกไปจากใจแต่สุดท้ายกลับทำไม่ได้อย่างที่คิดจึงได้รู้ซึ้งความทรมานที่ฝังลึกถึงแก่นวิญญาณ โหยหาอยากพบเจอนางอีกครั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการกลับมาพบกันในครานี้นางมีหน้าที่ต้องสังหารมารปีศาจอย่างเขาขณะปล่อยความทรงจำโลดแล่นราวกับยินดีติดอยู่ในอดีตของช่วงเวลาที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าคือความสุขหนึ่งเดียว“เสด็จพี่ เทศกาลชมจันทร์ค่ำคืนนี้ เราสองคนออกไปนอกวังได้หรือไม่เพคะ”เสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบกงจื่อเย่หันไปมองทางด้านหลังแต่กลับไม่พบเจอใครเพราะที่แห่งนั้นมีเพียง
นับตั้งแต่นั้นมากงจื่อเย่จึงไม่ออกไปที่ไหนอีกติดอยู่ในภพมารเพื่อกระทำบางอย่างด้วยความตั้งใจจนไม่รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าใดแล้วเมื่อผู้ปกครองละเว้นหน้าที่ ความวุ่นวายในภพมารจึงเริ่มบังเกิดทีละส่วน หากแต่ลูกน้องทั้งสามยังคงใช้อำนาจของเขาคอยจัดการได้อยู่แม้จะแลกมาด้วยความเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวก็ตามครั้งนี้เช่นเดียวกัน ไอมารปีศาจชั่วร้ายก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เดิมทีกงจื่อเย่จะคอยดูดซับพลังพวกนั้นมาเป็นอาหารของตนเองแต่เวลานี้สิ่งที่เขาให้ความสนใจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พวกปีศาจและสัตว์อสูรจึงได้ทีฉกฉวยมันมาเป็นของตัวเองจึงทำให้มีพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นแต่บางขณะ ไอมารปีศาจที่แข็งแกร่งย่อมปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเดียวกันและเป็นฝ่ายกัดกินมารปีศาจพวกนั้นแทนที่จนสามารถหล่อหลอมรูปลักษณ์สร้างตัวตนขึ้นมาได้&n
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมากงจื่อเย่ออกเดินทางตามหาร่องรอยของอู๋เยว่ชิงทุกหนแห่ง ยามคิดถึงหรือเหนื่อยล้าหัวใจมักจะหยิบถุงหอมและปิ่นปักผมที่เคยมอบให้นางมาดูเขาเริ่มฟื้นฟูตำหนักจันทราให้เป็นเหมือนเดิมแล้วใช้เป็นสถานที่พักผ่อนยามค่ำคืน กลิ่นอายเก่า ๆ หวนกลับมาทุกครั้งจนเขานึกอยากย้อนวันเวลากลับไป“เจ้าอยู่ที่ใดหรือเยว่ชิง” จอมมารกวาดสายตามองไปรอบตำหนักที่เวลานี้เริ่มมีต้นไม้ดอกไม้ผลิบานตามฤดู “ดอกไม้งดงามปานนี้แล้ว เจ้าไม่อยากเห็นหรือ”คำถามของเขาไม่มีเสียงตอบกลับมา ความว่างเปล่าเกาะกุมหัวใจจนทรมานในเมื่อตามหาทุกหนทุกแห่งแล้วยังไม่พบเจอ คงจะเหลือเพียงสถานที่สุดท้าย หากเสี้ยววิญญาณของนางยังคงอยู่ บางทีนางอาจจะยังอยู่ที่แห่งนั้น
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง