LOGIN“ทั้งหล่อทั้งนิสัยดีอะแก” เสียงของใบเฟิร์นปลุกให้ชาลิสาหลุดออกจากภวังคจิต
ชาลิสาหันหน้าไปมองเพื่อนของตัวเองเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะก้มลงมามองเสื้อนักศึกษาของเธอที่เลอะเป็นวงกว้าง มือเล็กกระชับเสื้อสูทขึ้นมาปกปิดอกอวบอิ่มเอาไว้
“ซักไม่ออกแน่เลย รีบไปห้องน้ำก่อนเถอะ” ใบเฟิร์นเอ่ยต่อ ชาลิสาจึงพยักหน้าให้เพื่อนรักเบาๆ จากนั้นทั้งสองสาวจึงก้าวเดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ทันที
ชาลิสาวางเสื้อสูทไว้บนอ่างล้างมืออย่างเบามือ เธอเปิดน้ำและพยายามใช้มือล้างน้ำให้เปียกเล็กน้อยตรงก๊อกตรงอ่างล้างมือ และเอาขึ้นมาแตะๆ ที่เสื้อของเธอทีละนิด เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เสื้อนักศึกษามันเปียกจนแนบเนื้อเกินไปและไม่ต้องการให้ใครมาเห็นอะไรต่อมิอะไรของเธอไปมากกว่านี้
“ออกไหมแก” ใบเฟิร์นที่ยืนอยู่ข้างๆ ชาลิสาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เธอช่วยดึงกระดาษชำระมายื่นให้เพื่อน เพื่อให้ชาลิสาใช้กระดาษชำระซับน้ำที่จะไหลเปียกเสื้อของเพื่อนไปมากกว่านี้
“ไม่ออกเลย” ชาลิสาตอบกลับไป เธอพยายามจะล้างคราบน้ำหวานอยู่ชั่วครู่ แต่ทว่าหญิงสาวก็ไม่เห็นวี่แววที่คราบน้ำชานมไข่มุกจะออกจากเสื้อขาวของเธอเลยสักนิด
“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ” เธอจึงตัดสินใจที่จะไม่ล้างน้ำหวานต่อแล้ว เพราะดูท่าแล้ว ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรมันก็ไม่ออกอยู่ดี
“แก โอเคใช่ไหม” ใบเฟิร์นเอ่ยถามพร้อมกับช่วยซับน้ำที่เสื้อของชาลิสาไปด้วย
“โอเคสิ..กลับกันเถอะ” หญิงสาวไม่ลืมที่จะคว้าเสื้อสูทของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามาสวมใส่ปกปิดร่างกายเอาไว้ และด้วยขนาดตัวที่ใหญ่กว่าเธอหลายเท่าของชายหนุ่ม จึงทำให้พอหญิงสาวสวมใส่เข้าไปแล้ว ราวกับว่าเธอสวมใส่ชุดเดรสสั้นที่ปกปิดลงมาจนมิดกระโปรงทรงเอสั้นของเธอ
“ปะ..กลับๆ” เพื่อนสนิทส่งยิ้มให้ชาลิสาเพื่อเป็นการปลอบประโลมเธอ ก่อนที่ทั้งสองสาวจะเดินออกมาจากห้องน้ำ
นักศึกษาสาวทั้งสองคนเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าและแยกย้ายกันไปขึ้นแท็กซี่เพื่อกลับบ้านของใครของมัน ชาลิสามาถึงบ้านหลังใหญ่ในเวลาต่อมา กลิ่นหอมจากเสื้อสูทของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณหนู..แล้วชุดนักศึกษาไปโดนอะไรมาคะ” เสียงของสาวใช้แก่ที่ดูแลชาลิสามาตั้งแต่เด็กเอ่ยถามขึ้นมาทันที เมื่อหญิงสาวก้าวเดินเข้ามาภายในบ้านหลังใหญ่ ณัฐวดี หญิงแก่ที่เลี้ยงดูคุณหนูมาและรักชาลิสาเหมือนดั่งลูกแท้ๆ ของเธอ
“อุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ” มือเล็กกอดอกเอาไว้พลางตอบกลับสาวใช้ที่เธอเคารพรักเหมือนคนในครอบครัวของเธอ
ตระกูลเจริญวัฒนาวรรณไม่ได้เป็นตระกูลที่ร่ำรวยถึงขนาดระดับมหาเศรษฐกิจ แต่พ่อของเธอก็พยายามทำอสังหาริมทรัพย์เลี้ยงดูเธอมาได้จนเติบโตได้ขนาดนี้ แต่ทว่าตอนนี้ชาลิสากลับไม่เหลือทั้งพ่อและแม่แล้ว บิดาของหญิงสาวได้จากไปด้วยโลกร้ายเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา แต่ด้วยความที่ท่านป่วยมาตลอดสองปีแล้ว หญิงสาวจึงทำใจไว้บ้างแล้ว
“คุณป้ากับพี่ชายไปไหนคะ” ชาลิสาเอ่ยถามต่อ ซึ่งแน่นอนว่าคุณป้าที่เธอหมายถึงก็คือแม่เลี้ยงของเธอ ส่วนพี่ชายก็คือลูกติดแม่เลี้ยงนั่นเอง
“เอ่ออ” ณัฐวดีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ชาลิสาจึงรู้ได้ทันที
“ไปกาสิโนอีกแล้วใช่ไหมคะ”
“ค่ะคุณหนู” สาวแก่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ตั้งแต่ที่พ่อของเธอจากไปเมื่อช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ท่านก็ได้เขียนพินัยกรรมไว้ให้อย่างชัดเจนว่าทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่เป็นของพ่อ ยกให้กับชาลิสาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ในคราแรกแม่เลี้ยงของเธอก็โวยวายและดุด่าชาลิสาอย่างหนัก และด้วยความที่พ่อกับแม่เลี้ยงไม่ได้จดทะเบียนกัน แม่เลี้ยงจึงไม่ได้มีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของพวกเธอเลยสักนิด
แต่ด้วยความที่ชาลิสาเป็นคนขี้สงสารคนและเห็นใจแม่เลี้ยงที่ดูแลบิดาของตัวเองมาโดยตลอด หญิงสาวจึงพยายามที่จะให้เงินเดือนกับแม่เลี้ยงและลูกชายของแม่เลี้ยงตลอดในทุกครั้งที่สองแม่ลูกมาขอเธอ อีกทั้งทุกอย่างในบ้านเธอก็ต้องเป็นคนจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วยตัวเอง
ในระหว่างที่หญิงสาวครุ่นคิดอยู่นั่นเอง แม่เลี้ยงและลูกชายของเขาก็เดินเข้ามาในบ้านอยู่ด้านหลังของหญิงสาว ชาลิสาได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกำลังเดิน เธอจึงหันหลังกลับมามอง
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณป้า..พี่ชาย” หญิงสาวเอ่ยทักทายแม่เลี้ยงกับลูกติดของสาวแก่ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
กนกนุช แม่เลี้ยงของชาลิสาปรายตามองเด็กสาวด้วยแววตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่ ก่อนที่เธอจะพยักหน้าให้ชาลิสาเบาๆ ด้วยใบหน้าที่หงุดหงิด
“คุณป้าคะ” ชาลิสาพยายามใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุดกับแม่เลี้ยง
“ว่าไง” ทว่าผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยคิดที่จะพูดดีกับเด็กสาวเลยสักครั้ง
“คุณป้าพักเรื่องเล่นการพนันไปก่อนได้ไหมคะช่วงนี้”
“ทำไม” กนกนุชขมวดคิ้วเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เมื่อได้ยินดังนั้นณัฐวดีจึงรีบปรี่เข้ามาโอบประคองคุณหนูเอาไว้ทันที
“ตั้งแต่พ่อเสียไป พวกเราก็เริ่มไม่มีรายได้แล้วนะคะ” หญิงสาวเลือกที่จะเอาน้ำเย็นเข้าลูบเพราะไม่อยากให้แม่เลี้ยงโวยวายใส่เธออีก
“ถ้าคุณป้ากับพี่ชายยังเล่นอยู่แบบนี้ สาเกรงว่าเงินที่เรามีอยู่มันจะหมดได้ค่ะ” ชาลิสาเอ่ยต่อ
“นี่ยัยสา! แกกล้ามาสอนฉันกับแม่เหรอ” เป็นเสียงของ ฉัตรพล ลูกชายของแม่เลี้ยงที่ตะคอกใส่หญิงสาวขึ้นมา ฉัตรพลอายุย่างเข้าเลขสามแล้ว แต่เขาก็ยังไม่คิดจะทำการทำงาน อีกทั้งยังติดการพนันไม่ต่างจากแม่ของเขาเลยสักนิด
“สาไม่ได้สอนค่ะ สาแค่อยากให้พวกเราหาทางออกร่วมกันนะคะ”
“แกก็ได้สมบัติไปทุกอย่างแล้วไม่ใช่หรือไง พวกเราสองแม่ลูกก็แค่ไปเล่นสนุกๆ แก้เบื่อก็เท่านั้น” กนกนุชยกแขนขึ้นมากอดอกเอาไว้พลางตอบกลับอย่างกระแทกกระทั้น
“ไปกันเถอะแม่ คุยกัยยัยสาไปก็ไม่รู้เรื่องหรอก เด็กน้อย!” ฉัตรพลเอ่ยต่อ
“พรุ่งนี้เอาเงินมาให้พวกฉันด้วยหนึ่งแสน” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่เลี้ยงเอ่ยขอเงินเธอเช่นนี้
“แต่ว่า…” ชาลิสากำลังจะอ้าปากเอ่ยคัดค้านแม่เลี้ยง เนื่องจากเมื่อสองวันก่อนเธอเพิ่งจะให้เงินสองแม่ลูกไปแสนหนึ่ง พอมาวันนี้แม่เลี้ยงกลับมาขอเพิ่มอีก
“ทำไม? แค่แสนเดียวมันจะตายเลยหรือไง”
“มะ..ไม่ค่ะ” สุดท้ายชาลิสาก็ไม่สามารถที่จะโต้เถียงกับแม่เลี้ยงได้อยู่ดี เธอไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าเธอเป็นเด็กก้าวร้าวที่พอได้ทรัพย์สมบัติทุกอย่างมาครอบครองก็ไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น หญิงสาวจึงพยายามที่จะทำตัวให้ดีและเห็นอกเห็นใจแม่เลี้ยงมากที่สุกเท่าที่เธอจะทำได้
สองแม่ลูกเดินปลีกตัวเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ทันที โดยไม่สนใจชาลิสาเลยสักนิด และแน่นอนว่าที่ผ่านมาพวกเขาก็เป็นแบบนี้มาตลอดระยะเวลาเกือบสิบปีที่แม่เลี้ยงย้ายเข้ามาอยู่บ้าน
ชาลิสาจำวันแรกที่พวกเขาทั้งสองคนเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ดี ต่อหน้าบิดาของเธอ ทั้งสองคนแม่ลูกก็พยายามทำตัวเป็นคนดี แต่พอลับหลังก็ดุด่าว่ากล่าวและแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบชาลิสา ถึงขั้นที่ไม่ยอมให้เด็กสาวเรียกตัวเองว่าแม่ แต่ให้เรียกว่าน้าหรือป้าแทน และกนกนุชก็ไปบอกพ่อของชาลิสาว่าเด็กสาวไม่อยากเรียกเธอว่าแม่ อีกทั้งยังโยนความผิดมาให้เธออีก แต่บิดาของหญิงสาวก็ไม่ได้บังคับชาลิสาสักเท่าไหร่เพราะอย่างไรบิดาก็เห็นเด็กสาวสำคัญที่สุดอยู่แล้ว
“คุณหนู” สาวใช้ลูบไหล่แบบบางของชาลิสาผ่านเสื้อสูทตัวใหญ่อย่างแผ่วเบา
“ไม่เป็นไรค่ะ สาจะพยายามจัดการเรื่องเงินภายในบ้านให้ดีที่สุดเท่าที่สาจะทำได้เลยค่ะ”
หญิงสาวได้แต่พยายามอดทนเอาไว้ให้ได้มากที่สุด อีกสามเดือนเธอก็เรียนจบแล้ว หลังจากที่เธอเรียนจบเธอจะต้องรีบทำงานทันที เพื่อจะได้มีเงินมาเลี้ยงดูทุกคนในบ้านนี้ ถึงแม้ว่าทรัพย์สมบัติของบิดาเธอที่ทิ้งเอาไว้ให้จะมากพอให้เธออยู่ได้ไปอีกหลายปี แต่ถ้าคุณป้ากับพี่ชายถลุงกันทุกวันแบบนี้ สักวันมันก็ต้องหมดลงอย่างแน่นอน
เมื่อลูคัสพูดคุยโทรศัพท์กับมารดาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มเดินกลับมาหาชาลิสาด้วยใบหน้าที่ดูกังวลเล็กน้อย หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะเอ่ยถามขึ้นมา“มีอะไรหรือเปล่าคะ” “แม่ของพี่โทรมาบอกว่าพ่อเข้าโรงพยาบาลนะ” เสียงทุ้มตอบกลับไปพลางเลื่อนมือมาโอบเอวบางเอาไว้ แน่นอนว่าเขาติดสกินชิพกับหญิงสาวไปแล้ว ถ้าได้อยู่ใกล้เธอ เขาจะต้องจับไหล่หรือเอวบางเอาไว้ตลอดเวลา“ท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง“สาเป็นห่วงพวกเขาด้วยเหรอ” ไม่ว่าพ่อของเขาจะทำไม่ดีหรือดูถูกกับชาลิสาขนาดไหน แต่เธอยังคงไม่โกรธเกลียดใครทั้งนั้น เขาเลือกคนไม่ผิดจริงๆ หลังจากเกิดเรื่องที่ห้างสรรพสินค้าในวันนั้น ลูคัสต่อสายตรงไปหาโนอาห์และบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่โอลิเวียมาอาละวาดใส่ชาลิสากลางห้าง ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างโนอาห์ต้องโกรธลูกสาวที่ทำเรื่องน่าอายกลางที่สาธารณะเช่นนั้นอยู่แล้ว โนอาห์จึงให้โอลิเวียบินกลับไปเรียนต่อที่อังกฤษทันที “ยังไงพวกท่านก็เป็นพ่อแม่ของพี่นะคะ” ชาลิสาตอบกลับด้วยเสียงหวาน“แต่เขาก็ทำไม่ดีกับสานะ” สายตาของชายหนุ่มที่มองมายังชาลิสา มันทั้งอบอุ่นและเอ็นดูเธอในเวลาเดียว
หนึ่งเดือนต่อมาในที่สุดช่วงเวลาแห่งความสุขของเหล่าบรรดานักศึกษาก็มาถึง ทุกคนเหน็บเหนื่อยกันมามากกับโปรเจคจบสำหรับนักศึกษาปีที่สาม พิธีช่วงเช้าในหอประชุมใหญ่เสร็จสิ้นลงไปเรียบร้อย เหล่าบรรดาบัณฑิตที่สวมชุดครุยสีดำจึงแยกย้ายกันไปถ่ายรูปตรงหน้าตึกคณะของใครของมัน ทุกคณะต่างก็จัดซุ้มอยู่ด้านหน้าของตึกของตัวเองบัณฑิตทุกคนและครอบครัวต่างก็ยิ้มแย้มด้วยความปลื้มปีติกับวันดีๆ เช่นนี้ เสียงเจื้อยแจ้ว เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ ทำให้บรรยากาศในวันนี้ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ ญาติผู้ใหญ่ต่างก็มาแสดงความยินดีกับลูกหลานของตัวเองชาลิสายืนอยู่หน้าตึกคณะบริหารธุรกิจพร้อมกับใบเฟิร์นที่แต่งตัวทำผมดูเรียบร้อยกว่าปกติ และก็มีกลุ่มเพื่อนที่เรียนในห้องเดียวกันอีกหลายคน บางคนแยกไปถ่ายรูปกับครอบครัวของตัวเอง“ถ่ายรูปกันสา” ใบเฟิร์นจ้างช่างภาพประจำตัวมาเพื่อถ่ายรูปตัวเองและเพื่อน ชาลิสาชะเง้อคอมองหาบางอย่างอยู่“ชาลิสา ถ่ายรูปกัน” เพื่อนอีกคนจึงเอ่ยเรียกต่อชาลิสาจึงส่งยิ้มให้พวกเพื่อนจางๆ ก่อนที่เธอจะเดินมาหาเพื่อนที่ยืนอยู
หลายวันต่อมาภายในห้างสรรพสินค้าสุดหรูหราใจกลางเมืองกรุง ชาลิสากับเพื่อนสนิทของเธออย่างใบเฟิร์นกำลังเดินเล่นกันอยู่ในโซนที่เป็นกระเป๋าและเสื้อผ้าแฟชั่น ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มากมาย เนื่องจากอยู่ใจกลางเมืองกรุงและใกล้กับมหาวิทยาลัย จึงมีนักศึกษาที่เลิกเรียนมาแวะเดินเล่นก่อนกลับบ้าน“ร้านนั้นกระเป๋าน่ารักมากเลย” ใบเฟิร์นเดินคล้องแขนชาลิสาพลางชี้ไปยังร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนมร้านหนึ่งที่มีกระเป๋าสีสันสดใสน่ารักตั้งเรียงรายอยู่มากมาย“น่ารักดี แต่แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบของแบรนด์เนม” ชาลิสาตอบกลับเพื่อน ก่อนที่เธอจะชะเง้อมองหาลูคัส เนื่องจากว่าเธอบอกกล่าวเขาไปว่าเธอจะมาเดินห้างกับใบเฟิร์น ชายหนุ่มจึงอยากตามมาด้วย แต่เพราะห้างสรรพสินค้ากับมหาวิทยาลัยห่างกันไม่ไกลสักเท่าไหร่ หญิงสาวกับเพื่อนจึงมารอที่ห้าง แล้วให้ชายหนุ่มตามมาหาที่นี่เลย“มองหาคุณลูคัสเหรอ” ใบเฟิร์นเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ชะเง้อคอไม่หยุด“อือ” ชาลิสาหันหน้ามาหาเพื่อนและพยักหน้าเล็กน้อย&ld
หลังจากที่จัดการเรื่องของแม่เลี้ยงกับลูกชายของกนกนุชเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชาลิสาก็ไปพูดคุยกับคนงานภายในบ้านอยู่สักพักหนึ่ง จึงได้ข้อสรุปมาแล้วว่าเธอจะกลับมาตรวจตราที่บ้านทุกสัปดาห์ หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว ลูคัสกับชาลิสาก็กลับมาที่เพนท์เฮาส์กันต่อในเวลาต่อมาหนุ่มสาวเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นของเพนท์เฮาส์พร้อมกับ มือแกร่งโอบไหล่หญิงสาวมาตลอดจนกระทั่งถึงในห้องนั่งเล่น เขาก็ไม่ยอมปล่อยเธอ“ดีขึ้นหรือยัง” ชายหนุ่มก้มลงมาเอ่ยถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขารู้ว่าเธอยังรู้สึกไม่ดีกับเรื่องแม่เลี้ยงของเธออยู่“ก็…นิดหน่อยค่ะ” เสียงหวานตอบกลับ“ฟังพี่นะ…ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เราไม่สามารถช่วยใครไปได้ตลอดชีวิต ทุกคนมีทางของตัวเอง” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ในน้ำเสียงนั้น“ค่ะ” ใบหน้าสวยคมพยักหน้าให้ชายหนุ่มเบาๆ“คนดีของพี่” ลูคัสหันมาหาหญิงสาว มือสากเลื่อนมาจับแก้มเนียนพลางใช้ปลายนิ้วลูบแก้มเธออย่างแผ่วเบา“ขอบคุณนะคะ”&
ลูคัสกับชาลิสาใช้ชีวิตกันมาตามปกติ จนกระทั่งหลายวันผ่านไป มารดาของลูคัสมาหาชายหนุ่มเมื่อสองวันที่แล้วเพื่อที่จะคุยเรื่องพ่อของเขา แต่ลูคัสก็ไม่คิดที่จะคุยและบอกให้มารดากลับไป ส่วนเรื่องของแม่เลี้ยงชาลิสา ฟีลิกซ์ก็โทรมารายงานพวกเขาเป็นระยะๆวันนี้เป็นสุดสัปดาห์ ลูคัสกับชาลิสาจึงไม่ได้ออกไปไหนกัน ทั้งสองคนนอนกอดกันดูโทรทัศน์อยู่ภายในห้องนั่งเล่นของเพนท์เฮาส์ ร่างอรชรนอนเกยอยู่กับอกแกร่งบนโซฟา วงแขนแกร่งสอดใต้ลำคงระหงพลางใช้มือสากสัมผัสเรือนผมคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบาทว่าในขณะที่ทั้งสองคนนอนกกกอดกันอยู่นั่นเอง เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา ลูคัสเลื่อนมือสากไปล้วงหยิบโทรศัพท์ในกางเกงของตัวเองออกมาและกดรับสาย เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูเอาไว้ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ“อือ…ว่าไง…โอเค” เสียงทุ้มคุยโทรศัพท์อยู่ ซึ่งชาลิสาก็นอนอยู่บนอกแกร่งเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะยกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วกดวางสายไป
พวกเขาทั้งสามคนนั่งลงบนโซฟาใหญ่ที่มีโต๊ะกระจกตั้งอยู่ตรงกลางห้องวีไอพี ชาลิสากับลูคัสเดินไปย่อตัวนั่งลงตรงข้ามกับฟีลิกซ์“วันนี้ที่พี่เลือกจะบอกเรื่องกาสิโนกับสา ก็เพราะพี่คิดว่ามันถึงเวลาแล้ว” ลูคัสเอ่ยขึ้นมาทันทีที่พวกเขานั่งลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว“ถึงเวลาอะไรเหรอคะ” ชาลิสาหันมามองหน้าชายหนุ่มพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย“พี่คิดว่ามันถึงเวลาที่เราต้องจัดการสองแม่ลูกนั้นอย่างจริงจังแล้วนะ”“หมายถึงแม่เลี้ยงกับพี่ชายเหรอคะ”“ใช่” ลูคัสตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ยังไงคะ”“ตอนนี้พวกมันก็เริ่มติดหนี้แล้ว แต่ยังไม่มากสักเท่าไหร่”“กูให้คนจับตามองพวกมันอยู่ เวลาที่พวกมันเข้าไปเล่นที่กาสิโน” ฟีลิกซ์พูดขึ้นมา“คนอย่างพวกนั้น ก็แค่ให้ได้เงินเยอะๆ ไปสักก้อนก่อน เดี๋ยวพวกมันก็กลับมาเล่นอีก แล้วหลังจากนั้นเราก็ค่อยให้มันเสียคืนเป็นสิบเท่าเลย” ลูคัสหันไปมองหน้าเพื่อน ชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมานานมาก แค่พวกเขามองตาก







