Masuk“เดิมทีข้าพอใจที่ข้าเป็นเพียงบุตรสาวของท่านพ่อ เป็นเพียงเสี่ยวเหม่ยเหรินที่เป็นเพียงสตรีธรรมดา ทว่าพอผ่านพ้นความตายมาได้ ข้าถึงได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่หลงลืมไป ในเมื่อข้ามีสายเลือดตระกูลอี้ ข้าควรใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เพื่อตัวเอง เพื่อไม่ให้ชีวิตของข้าต้องตายตกเพราะน้ำมือผู้อื่น” ประโยคสุดท้ายนางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงความแค้นเคืองอยู่เนือง ๆ ดูท่าแล้วคนที่ลอบทำร้ายนางจนตกน้ำตายในชาติก่อนคงไม่พ้นฝีมือของฟางอวี่ซินผู้นั้นแน่
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้พ่อคงไม่มีอะไรจะคัดค้าน เพียงแต่เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะกลับเข้าตระกูลอี้ เจ้าก็รู้ดีว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นย่าของเจ้าหาได้ชอบพอมารดาของเจ้านัก หากกลับไปจะทนรับมือไหวงั้นหรือ” เขาถามย้ำด้วยความเป็นห่วง เมื่อสี่ปีก่อนฟู่ซิวต้องการให้ลูกสาวเพียงคนเดียวกลับไป ทว่าเหม่ยเหรินนาง ปฏิเสธเสียงท่าเดียว
“ท่านพ่อย่อมรู้จักข้าดี ข้าไม่ใช่คนที่ตัดสินใจทำอันใดโดยที่ไม่วางแผนล่วงหน้า” มีเพียงเรื่องความรักเท่านั้นที่นางไม่เคยวางแผนอันใด แต่เพราะเรื่องนี้ด้วยเช่นกันที่ทำให้เผลอไผลหลงรักบุรุษใจโลเลอย่างหวังหย่งผู้นั้น ในเมื่อนางมีโอกาสได้หวนคืนครานี้นางไม่มีทางเลือกคนเช่นนั้นเป็นชายคนรักอีก พบกันชาติเดียวก็เพียงพอ!
“เช่นนั้นพ่อจะส่งจดหมายบอกแม่เจ้าที่อยู่เมืองหลวง นางจะได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า”
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งนางหายป่วยจึงได้ทยอยจัดเตรียมข้าวของต่าง ๆ ของตัวเอง
“คุณหนู คุณชายหวังหย่งมาขอพบเจ้าค่ะ”
“เขามาที่นี่ทำไมกัน” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ เพราะตั้งแต่ย้อนเวลากลับมานางปฏิเสธที่จะพบหน้าชายหนุ่ม
“คุณหนูเปลี่ยนไปนะเจ้าคะ เมื่อก่อนท่านไม่เคยหมางเมินคุณชายตระกูลหวังผู้นั้น ทว่าตั้งแต่ท่านป่วย...”
“บอกเขาให้รอข้าที่เรือนรับรองก็แล้วกัน” ท้ายที่สุดเหม่ย เหรินได้ตัดสินใจไม่หลบหน้าอีกต่อไป ครั้งนี้นางตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะตัดความสัมพันธ์กับเขา
“ในที่สุดเจ้าก็ยอมพบหน้าข้า” คำทักทายแรกดังออกจากปากเขา หลังจากเห็นสตรีที่ตนรอเดินเข้ามายังเรือนรับรอง
“ท่านมีเรื่องอันใดอยากคุยกับข้างั้นหรือ”
“เหม่ยเหริน เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงพูดจาห่างเหินกับข้าเช่นนี้”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ ถ้าคุณชายมาหาข้าเพื่อถามเรื่องแค่นี้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวสิ ข้าอยากพาเจ้าไปดูเรือนหอของเราด้วยกัน ตอนนี้เรือนหลังนั้นสร้างเสร็จแล้ว” เขาคว้ามือนางไว้ได้ทัน ก่อนบอกความประสงค์ของตนเอง
“แค่นี้ใช่ไหมเจ้าคะ”
“ใช่”
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปกันเถิด”
ทั้งสองคนใช้เวลาเดินทางไม่นานนักก็เดินทางมาถึงปลายทางที่เรือนหลังใหญ่ตั้งอยู่ ครั้งก่อนที่เขาพานางมาดูเรือนหลังนี้ยังสร้างไม่เสร็จ
“เหม่ยเหริน เจ้าจำได้รึไม่เรือนหลังนี้ข้าสร้างไว้ให้เจ้า” น้ำเสียงที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมาฟุ้งเจือด้วยความดีใจเสียเต็มประดา พลันทำให้นางหวนคิดถึงอดีตเมื่อชาติก่อนขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“ไม่ ข้าจำไม่ได้” แม้ปากจะเอ่ยเช่นนั้นทว่าในใจกลับจดจำทุกสิ่งอย่างชัดแจ้ง เหตุใดนางจะจำไม่ได้เล่าในเมื่อบุรุษคนที่เผาเรือนหลังนี้ด้วยน้ำมือตัวเองก็คือตัวเขาเอง
“รอให้ตำแหน่งของข้ามั่นคงเสียก่อน เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะมาสู่ขอเจ้าเป็นฮูหยิน”
“ข้าว่าพวกเราจบความสัมพันธ์ลงแค่นี้เถิด”
“ข้าทำอันใดผิดไปงั้นหรือ”
“ท่านไม่ผิด คนที่ผิดคือข้าเอง” นางเอ่ยทิ้งท้าย ในใจยึดมั่นกับตัวเองว่าจะไม่กลับไปเป็นสตรีโง่งมที่มัวเมาหลงอยู่ในห้วงแห่งความรักอีกแล้ว เพราะผลสุดท้ายสิ่งตอบแทนที่ได้กลับคืนมามีเพียงความเกลียดชังและหมางเมินจากเขาเท่านั้น
หลังจากหวังหย่งถูกหญิงคนรักตัดความสัมพันธ์ เขายังไม่ลดละความพยายามขอโอกาสจากนาง ทว่าเหม่ยเหรินมิได้ติดต่อกับเขาอีก
เมืองหลวง
ฟู่ซิวได้รับจดหมายจากเสี่ยวอวี้ว่าบุตรสาวของตนต้องการกลับเมืองหลวง นางดีใจเป็นอย่างมากที่ในที่สุดจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาครบทั้งพ่อแม่ลูกเสียที
“ท่านพี่ ข้ามีเรื่องสำคัญอยากพูดด้วยเจ้าค่ะ” นางเข้าไปหาสามีที่ห้องทำงาน ขณะที่อี้เซินนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“เจ้ามีอะไรก็พูดมาเถิด”
“อี้เซิน เจ้าออกไปก่อนได้รึไม่” นางหันไปบอกแกมสั่งลูกสาวของอนุเมิ่งที่อายุน้อยกว่าเหม่ยเหรินเพียงหนึ่งปี
“หากไม่ได้เป็นดังที่ข้าคิด แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้เอามือมาลูบปากข้ากัน” เขายกยิ้มไปพลางถามไปพลาง จนคนใต้ร่างเริ่มรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย “ข้าแค่อยากรู้ว่าริมฝีปากของบุรุษจะอ่อนนุ่มหรือหยาบกร้านถึงได้เผลอไผลทำเรื่องเช่นนั้นไป” “งั้นหรือ” เขาแสร้งเห็นด้วย จากนั้นค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมาเรื่อย ๆ จนลมหายใจเป่ารดหน้านางเข้า “ท่านจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” ว่าพลางดันหน้าอกชายหนุ่มให้ออกห่าง แต่ทว่ากายแกร่งไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว “เจ้าอยากรู้นักไม่ใช่หรือว่าริมฝีปากข้าจะอ่อนนุ่มหรือไม่ แทนที่จะใช้มือ มิสู้ใช้ปากไม่ดีกว่าหรือ” เอ่ยจบก็ทาบทับริมฝีปากลงไปแผ่วเบา ก่อนขบเม้มเข้าที่ริมฝีปากล่างของนางเพื่อหยอกล้อ “อื้อ” ซ่งอันเว่ยพร่ำจูบนางจนพอใจถึงได้ปล่อยริมฝีปากของนางให้เป็นอิสระ ขณะที่มืออีกข้างปลดเปลื้องอาภรณ์จนร่างของหญิงสาวเปลือยเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใด ไม่นานนักร่างกายของเขาก็เปลือยเปล่าไม่ต่างจากนาง... อี้ชางสือมองภาพเบื้องหน้าทั้งรอยยิ้ม ยามเห็นภาพคู่สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว “ท่านพี่ ท่านฝึกซ้อมมาหลายชั่วยามแ
ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่าที่อาการป่วยทรุดลงเรื่อย ๆ จนไม่อาจลุกจากเตียงได้แต่นอนเป็นผักเท่านั้น “อาการของท่านแม่ เป็นเช่นไรบ้าง” เขาถามสาวใช้ข้างกายมารดา “อาการของฮูหยินผู้เฒ่าแย่ลงเรื่อย ๆ เลยเจ้าค่ะ” “ไปตามท่านหมอมาเร็วเข้า” “ตามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ ท่านหมอเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เอง ทั้งยังบอกว่าอาการของฮูหยินผู้เฒ่าไร้หนทางรักษาแล้ว” อนุเมิ่งบอกสามี “จะ...เจ้า นางคนเนรคุณ” เสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวแรงพูดขึ้น “พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลท่านเอง” นอกจากนางจะไม่โกรธแล้ว นางยังส่งยิ้มให้หญิงชราด้วยซ้ำไป ฝั่งของฟู่ซิวแวะมาเยี่ยมมารดาสามีบ้างบางครั้ง เพราะอนุเมิ่งขอเป็นคนดูแลเอง “ฮูหยิน ตั้งแต่อนุเมิ่งไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่าอาการของนางก็แย่ลงเรื่อย ๆ เลยนะเจ้าคะ หรือว่านางจะ...” “เจ้าอย่าได้เสียงดังไป เพราะถ้าหากนางไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงคนที่เดือดร้อนคงกลายเป็นพวกเราแทน” นางบอกเสียงเบา ทั้งที่ในใจรู้อยู่แล้วว่าเมิ่งไป่ซูวางยาพิษฮูหยินผู้เฒ่า แต่นางไม่คิดเปิดโปงเรื่องนี้ เพราะเห็นสมควรว่าสตรีว
ชายหนุ่มถอดรองเท้าของนางออกหนึ่งข้าง ซึ่งเป็นข้างที่นางได้รับบาดเจ็บ แล้วฉีกชายเสื้อของตัวเองมาพันข้อเท้านางไว้ ก่อนอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดด้วยความหวงแหน จากนั้นเดินกลับกระโจมไป แม่ทัพซ่งวางร่างของนางลงบนเก้าอี้ด้วยความทนุถนอม ก่อนออกไปสั่งให้คนสนิทเรียกท่านหมอมาดูอาการ ทว่าไม่ทันจะได้ทำเช่นนั้นเขาถูกมือของหญิงสาวชุดรั้งแขนไว้เสียก่อน “จะไปไหนหรือเจ้าคะ” “ข้าจะให้คนไปตามท่านหมอมารักษาเจ้า” “ข้าไม่ต้องการหมอ” “ถ้าไม่ต้องการหมอ แล้วเจ้าต้องการอะไร” “ข้าต้องการท่าน” นางบอกทั้งใบหน้าแดงซ่านอย่างปิดไม่มิด “…” “ทำไมไม่ตอบข้าล่ะเจ้าคะ” “ปล่อยก่อน” “ท่านอยากรู้ใช่รึไม่ว่าคนที่ข้ารักคือใคร เช่นนั้นข้าจะบอก” “ไม่ต้อง ข้าไม่อยากรู้” เขาปฏิเสธทันควัน เพราะยังไม่พร้อมรับฟัง “ซ่งอันเว่ย ท่านฟังข้าพูดให้ดี ๆ ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว” “ข้าไม่....” “คนที่ข้ารักคือท่าน ไม่ใช่ใครอื่น” นางแทรกขึ้น พร้อมกับลุกขึ้นสวมกอดจากด้านหลัง “ที่เจ้าพูด...จริงหรือ ไม่ใช่เ
“น้องพี่ ใครเป็นคนทำให้เจ้าอารมณ์เสียหรือถึงได้ทำสีหน้าบึ้งตึงเช่นนี้” “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร” “เจ้าปิดบังพี่ไม่ได้หรอก เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้าของตระกูลซ่งมาส่งเจ้า ดูทีว่าต้นเหตุคงเป็นซ่งอันเว่ย พี่จะไปจัดการเขาให้เอง” “พี่ชางสือ ท่านจะทำอะไรเขางั้นหรือ” “ข้าจะเตะเขาสักสิบครั้ง ต่อยสักหมัดสองหมัด ให้คนผู้นั้นรู้เสียบ้างว่าอย่าริอาจมารังแกน้องสาวของข้า” “ท่านพี่ จะทำเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ อีกไม่นานข้ากับท่านแม่ทัพต้องแต่งงานแล้ว หากใบหน้าเขาบอบช้ำ ข้าคงทนเห็นไม่ได้” “เจ้านี่ช่างเป็นห่วงเขาเสียเหลือเกิน ไหนเจ้าบอกพี่ว่าไม่ได้คิดอันใดกับเขาเล่า” “ขะ...ข้าแค่เป็นห่วงเท่านั้น อีกอย่างท่านแม่ทัพไม่ได้รักข้าเช่นกัน” “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้รักเจ้า” “อะ...เอ่อ” “ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง เจ้าคิดว่าคนเย็นชาอย่างซ่งอันเว่ยจะเสียเวลาไปรับสตรีที่ไม่รู้จักกลับเมืองหลวงด้วยตัวเองงั้นหรือ ทั้งยังคอยคุ้มกันจนถึงจวนอีก” “เรื่องนั้นท่านแม่ทัพบอกข้าว่า เป็นเพราะท่านไหว้ว
“สรุปว่าท่านจะให้ข้าอยู่เรือนรับรองหรือ” “ใครบอกเจ้ากัน เรือนใหญ่ออกจะกว้างขวาง อีกอย่างพวกเราเป็นสามีภรรยากันอยู่เรือนหลังเดียวกันก็สะดวกสบายดี หรือเจ้าไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกับข้างั้นหรือ” “มีผู้ใดบ้างที่ทำเช่นนี้ ปกติแม้เป็นคู่สามีภรรยากัน แต่ยังต้องแยกเรือนกันอยู่เลยนะเจ้าคะ” นางถาม เพราะตามปกติแล้วสามีจะอยู่เรือนใหญ่เพียงคนเดียว “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้นสักนิด” “แต่ถ้าท่านมีอนุคงไม่สะดวก หากอยู่เรือนหลังเดียวกัน” “ข้าไม่เคยคิดอยากมีอนุ ข้าจะมีเจ้าเป็นฮูหยินเพียงผู้เดียวเท่านั้น” เขาบอกเสียงจริงจัง จนนางเริ่มรู้สึกหวั่นไหว ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาเป็นคนชัดเจนตลอดมา ไม่เคยมีสักครั้งที่ทำให้นางต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง “เช่นนั้นห้องนอนของข้า” “ที่เรือนนี้ไม่มีห้องนอนของเจ้า มีแต่ห้องนอนของเรา” ท้ายประโยคเขาเอื้อนเอ่ยเบา ๆ ราวกับสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านยอดหญ้า ไหนจะท่าทีเก้เก้อดูก็รู้ว่าคนพูดรู้สึกเช่นไร “วันนี้เจ้าพอมีเวลาว่างให้ข้าทั้งวันรึไม่” “ถามทำไมหรือเจ้าคะ” “เย็นนี้ในเมืองจัดง
หลังจากส่งบุตรสาวอีกคนแต่งออกไปถึงเมืองเป่ยโจว ก็ถึงคราวของอี้เหม่ยเหรินหมั้นหมายกับแม่ทัพหนุ่ม ผู้ซึ่งเป็นที่หมายปองของสตรีทั้งเมืองหลวง นอกจากเขาจะรูปโฉมงดงามราวเทพเซียนแล้ว ยังมากด้วยความสามารถและอนาคตไกล จนพวกขุนนางในราชสำนักต่างยกลูกสาวของตัวเองใส่พานมาถวายอยู่ไม่ขาด ทว่าเขากลับไม่สนใจสักนิด ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวคือนาง หญิงสาวธรรมดาที่เขาเคยพบเจอเมื่อสี่ปีก่อน นางเป็นบุตรสาวพ่อค้าชื่อดังของเมืองลั่วหยาง เวลาเห็นนางยิ้มทีไรทำให้หัวใจหยาบกระด้างของชายหนุ่มอ่อนระทวยลงราวกับถูกไฟลน ยามนึกถึงคราแรกที่พานพบพลันทำให้ใจสั่นไหวรัวเร็ว “คุณหนู รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” “เล่อจิน เจ้ารีบตามข้ามาเร็วเข้า” หญิงสาววัยแรกแย้มกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ก่อนหันมาบอกสาวใช้คนสนิท “โอ๊ย” สุดท้ายนางสะดุดล้มเข้าจนได้ “แงง” เสียงเด็กชายร้องไห้เสียงดัง เพราะหมั่นโถวที่ตนถืออยู่ตกพื้น “เด็กน้อย ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาด้วยความรู้สึกผิดเต็มอก “หมั่นโถวลูกนี้ ข้าลำบากลำบนกว่าจะทำงานหาเงินซื้อได้” เด็กน้อยเอ่ยทั้งน้







