LOGIN“คุณชาย ท่านมาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“ข้ามาตั้งแต่เห็นเจ้ากระชากตัวอวี่ซินแล้ว ทำไมเจ้าถึงได้ใช้กำลังเช่นนี้ ไม่เหมือนเจ้าที่ข้ารู้จักสักนิด”
“ทะ...ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
“นับแต่นี้อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก แต่ก่อนข้ารักใคร่เจ้าโดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้น...”
“มิเช่นนั้นอะไรหรือ”
“มิเช่นนั้น ข้าคงไม่ก้มตัวลงต่ำคบหากับบุตรสาวพ่อค้าอย่างเจ้า อวี่ซิน เจ้าเจ็บตรงไหนรึไม่” พูดจบ เขาก็หันไปถามสตรีอีกคนทันที ไม่แยแสสักนิดว่านางจะรู้สึกเช่นไร
หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป ทุกวันเหม่ยเหรินพยายามขอเข้าพบเขาหลายครา ทว่าชายหนุ่มไม่ยอมออกมาพบหน้าเขาเพียงให้บ่าวรับใช้ในจวนเอ่ยไล่กลาย ๆ เท่านั้น
“คุณหนู จะไปที่ใดหรือเจ้าคะ”
“ข้าจะไปหาคุณชายหวัง”
“เช่นนั้นให้บ่าวไปเป็นเพื่อน...”
“ข้าอยากไปคนเดียว เจ้าให้คนเตรียมรถม้าให้ข้าที”
“เจ้าค่ะ”
สุดท้ายแล้วเล่อจินมิอาจขัดความต้องการของคุณหนูได้จำต้องให้หญิงสาวนั่งรถม้าไปที่จวนหวังเพียงผู้เดียว
“ตามรถม้าคันหน้าไป” เหม่ยเหรินสั่งคนขับรถม้า หลังเห็นหวังหย่งกับอวี่ซินขึ้นรถม้าไปด้วยกัน กระทั่งรถม้าคันข้างหน้าหยุด ลงตรงเรือนแสนคุ้นตาที่ชายหนุ่มเคยบอกนางในอดีตว่าเรือนหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเรือนหอระหว่างนางกับเขา ทว่าเหตุใดเข้าถึงพาคู่หมั้นสาวมาที่แห่งนี้ด้วยกัน คิดได้เช่นนั้นเหม่ยเหรินก้าวเท้าเดินตามหลังทั้งคู่ไปอย่างเงียบ ๆ
“ท่านพี่ ท่านพาข้ามาที่นี่ทำไมหรือ”
“ที่ข้าพาเจ้ามาที่นี่ เพราะอยากให้เจ้ามั่นใจว่าข้าตัดสินใจตัดขาดจากสตรีผู้นั้นแล้ว” น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำที่เปล่งออกจากปากชายคนรัก ทำให้น้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม
“พวกเจ้าราดน้ำมันเสร็จแล้วรึยัง” เขาถามคนงานหลายคนที่กำลังราดของเหลวบางอย่างทั่วเรือนหลังใหญ่
“เสร็จแล้วขอรับ”
หวังหย่งโยนคบเพลิงไปยังเรือนตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ไม่นานนักไฟจึงเริ่มโหมกระหน่ำเผ้าไหม้เรือนหลังงามจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน
“พวกเรากลับกันเถิด” เขาหันไปพูดกับอวี่ซิน
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มเยาะในใจ เมื่อทุกอย่างที่ตนปรารถนาเป็นไปตามดั่งใจแทบทุกอย่าง แม้ชายคู่หมั้นจะเกลียดชังเสี่ยวเหม่ยเหริน แต่นางหาได้วางใจจึงได้คิดกำจัดเสี้ยนหนามชิ้นนี้ทิ้งเสีย เพื่อไม่ให้ชายหนุ่มกลับมารู้สึกหวั่นไหวอีกเป็นครั้งที่สอง
สองชั่วยามก่อน
ฟางอวี่ซินจ้างนักฆ่าจากเมืองข้าง ๆ เพื่อลอบฆ่าเหม่ยเหริน โดยนางได้ให้เงินจำนวนมากถึงหนึ่งพันตำลึงเงินในการจ้างวานครั้งนี้
“จำไว้ต้องทำให้เป็นเหมือนอุบัติเหตุให้มากที่สุด ข้าไม่อยากให้มีปัญหาตามมาภายหลัง”
“ขอรับ คุณหนู”
นักฆ่าจำนวนห้าคนแอบตามรถม้าหญิงสาวมาจนกระทั่งรถม้ากำลังเคลื่อนผ่านสะพานไม้โดยที่เบื้องล่างมีน้ำไหลเชี่ยวกรากไหลวนอยู่ ตัวของหัวหน้าได้สั่งให้ลูกน้องตนยิงธนูใส่ม้าจนทำให้ม้าตื่นตระหนกพลัดตกลงแม่น้ำทั้งคนทั้งรถม้า
ตัวเหม่ยเหรินเองก็เช่นกัน ทันทีที่รถม้าที่ตนนั่งอยู่ตกน้ำหญิงสาวกระเสือกกระสนพยายามออกจากรถม้า ทว่ากลับไม่เป็นผลเพราะน้ำจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาข้างในจนท้ายที่สุดนางจึงสิ้นลมด้วยการขาดอากาศหายใจพร้อมกับใจที่แตกสลาย...
ขณะที่ดวงจิตของนางลอยล่องอยู่ท่ามกลางความมืดมิด หญิงสาวได้ยินเสียงร่ำไห้ดังไม่ขาดสายราวกับว่ามีเรื่องเศร้าโศกเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับเปลือกตาแสนหนักอึ้งค่อย ๆ เปิดออก
“คุณหนู ท่านฟื้นแล้ว!” เล่อจินเอ่ยด้วยความดีใจ
“เหม่ยเหริน ค่อยยังชั่วที่เจ้าปลอดภัย” เสี่ยวอวี้เดินเข้ามาใกล้พลางใช้มือลูบหัวบุตรสาวแผ่วเบา
“ต้องโทษบ่าวที่ดูแลท่านไม่ดี ท่านถึงล้มป่วยเช่นนี้” สาวใช้โทษตัวเอง เหตุเพราะคลาดสายตาจากคุณหนูของตนเพียงเสี้ยววินาทีหญิงสาวก็ลื่นตกทะเลสาบไป ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของต้นฤดูหนาว
“เล่อจิน ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่านพ่อ เจ้าช่วยออกไปก่อนได้รึไม่” เสียงแหบแห้งบอกความต้องการ แม้จะตกใจที่ตนยังมีชีวิตอยู่ทั้งยังย้อนเวลากลับมา ในช่วงเวลาหลังจากผ่านพ้นวัยปักปิ่นได้ไม่กี่เดือน ทว่านางมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการ
“เช่นนั้นบ่าวขอตัวก่อน”
“เจ้ามีเรื่องอะไรอยากคุยกับพ่องั้นรึ”
“ข้าจะกลับเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
“เจ้าบอกพ่อได้หรือไม่ ว่าทำไมถึงคิดอยากกลับไปที่นั่น”
“หากไม่ได้เป็นดังที่ข้าคิด แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้เอามือมาลูบปากข้ากัน” เขายกยิ้มไปพลางถามไปพลาง จนคนใต้ร่างเริ่มรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย “ข้าแค่อยากรู้ว่าริมฝีปากของบุรุษจะอ่อนนุ่มหรือหยาบกร้านถึงได้เผลอไผลทำเรื่องเช่นนั้นไป” “งั้นหรือ” เขาแสร้งเห็นด้วย จากนั้นค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมาเรื่อย ๆ จนลมหายใจเป่ารดหน้านางเข้า “ท่านจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” ว่าพลางดันหน้าอกชายหนุ่มให้ออกห่าง แต่ทว่ากายแกร่งไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว “เจ้าอยากรู้นักไม่ใช่หรือว่าริมฝีปากข้าจะอ่อนนุ่มหรือไม่ แทนที่จะใช้มือ มิสู้ใช้ปากไม่ดีกว่าหรือ” เอ่ยจบก็ทาบทับริมฝีปากลงไปแผ่วเบา ก่อนขบเม้มเข้าที่ริมฝีปากล่างของนางเพื่อหยอกล้อ “อื้อ” ซ่งอันเว่ยพร่ำจูบนางจนพอใจถึงได้ปล่อยริมฝีปากของนางให้เป็นอิสระ ขณะที่มืออีกข้างปลดเปลื้องอาภรณ์จนร่างของหญิงสาวเปลือยเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใด ไม่นานนักร่างกายของเขาก็เปลือยเปล่าไม่ต่างจากนาง... อี้ชางสือมองภาพเบื้องหน้าทั้งรอยยิ้ม ยามเห็นภาพคู่สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว “ท่านพี่ ท่านฝึกซ้อมมาหลายชั่วยามแ
ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่าที่อาการป่วยทรุดลงเรื่อย ๆ จนไม่อาจลุกจากเตียงได้แต่นอนเป็นผักเท่านั้น “อาการของท่านแม่ เป็นเช่นไรบ้าง” เขาถามสาวใช้ข้างกายมารดา “อาการของฮูหยินผู้เฒ่าแย่ลงเรื่อย ๆ เลยเจ้าค่ะ” “ไปตามท่านหมอมาเร็วเข้า” “ตามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ ท่านหมอเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เอง ทั้งยังบอกว่าอาการของฮูหยินผู้เฒ่าไร้หนทางรักษาแล้ว” อนุเมิ่งบอกสามี “จะ...เจ้า นางคนเนรคุณ” เสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวแรงพูดขึ้น “พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลท่านเอง” นอกจากนางจะไม่โกรธแล้ว นางยังส่งยิ้มให้หญิงชราด้วยซ้ำไป ฝั่งของฟู่ซิวแวะมาเยี่ยมมารดาสามีบ้างบางครั้ง เพราะอนุเมิ่งขอเป็นคนดูแลเอง “ฮูหยิน ตั้งแต่อนุเมิ่งไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่าอาการของนางก็แย่ลงเรื่อย ๆ เลยนะเจ้าคะ หรือว่านางจะ...” “เจ้าอย่าได้เสียงดังไป เพราะถ้าหากนางไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงคนที่เดือดร้อนคงกลายเป็นพวกเราแทน” นางบอกเสียงเบา ทั้งที่ในใจรู้อยู่แล้วว่าเมิ่งไป่ซูวางยาพิษฮูหยินผู้เฒ่า แต่นางไม่คิดเปิดโปงเรื่องนี้ เพราะเห็นสมควรว่าสตรีว
ชายหนุ่มถอดรองเท้าของนางออกหนึ่งข้าง ซึ่งเป็นข้างที่นางได้รับบาดเจ็บ แล้วฉีกชายเสื้อของตัวเองมาพันข้อเท้านางไว้ ก่อนอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดด้วยความหวงแหน จากนั้นเดินกลับกระโจมไป แม่ทัพซ่งวางร่างของนางลงบนเก้าอี้ด้วยความทนุถนอม ก่อนออกไปสั่งให้คนสนิทเรียกท่านหมอมาดูอาการ ทว่าไม่ทันจะได้ทำเช่นนั้นเขาถูกมือของหญิงสาวชุดรั้งแขนไว้เสียก่อน “จะไปไหนหรือเจ้าคะ” “ข้าจะให้คนไปตามท่านหมอมารักษาเจ้า” “ข้าไม่ต้องการหมอ” “ถ้าไม่ต้องการหมอ แล้วเจ้าต้องการอะไร” “ข้าต้องการท่าน” นางบอกทั้งใบหน้าแดงซ่านอย่างปิดไม่มิด “…” “ทำไมไม่ตอบข้าล่ะเจ้าคะ” “ปล่อยก่อน” “ท่านอยากรู้ใช่รึไม่ว่าคนที่ข้ารักคือใคร เช่นนั้นข้าจะบอก” “ไม่ต้อง ข้าไม่อยากรู้” เขาปฏิเสธทันควัน เพราะยังไม่พร้อมรับฟัง “ซ่งอันเว่ย ท่านฟังข้าพูดให้ดี ๆ ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว” “ข้าไม่....” “คนที่ข้ารักคือท่าน ไม่ใช่ใครอื่น” นางแทรกขึ้น พร้อมกับลุกขึ้นสวมกอดจากด้านหลัง “ที่เจ้าพูด...จริงหรือ ไม่ใช่เ
“น้องพี่ ใครเป็นคนทำให้เจ้าอารมณ์เสียหรือถึงได้ทำสีหน้าบึ้งตึงเช่นนี้” “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร” “เจ้าปิดบังพี่ไม่ได้หรอก เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้าของตระกูลซ่งมาส่งเจ้า ดูทีว่าต้นเหตุคงเป็นซ่งอันเว่ย พี่จะไปจัดการเขาให้เอง” “พี่ชางสือ ท่านจะทำอะไรเขางั้นหรือ” “ข้าจะเตะเขาสักสิบครั้ง ต่อยสักหมัดสองหมัด ให้คนผู้นั้นรู้เสียบ้างว่าอย่าริอาจมารังแกน้องสาวของข้า” “ท่านพี่ จะทำเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ อีกไม่นานข้ากับท่านแม่ทัพต้องแต่งงานแล้ว หากใบหน้าเขาบอบช้ำ ข้าคงทนเห็นไม่ได้” “เจ้านี่ช่างเป็นห่วงเขาเสียเหลือเกิน ไหนเจ้าบอกพี่ว่าไม่ได้คิดอันใดกับเขาเล่า” “ขะ...ข้าแค่เป็นห่วงเท่านั้น อีกอย่างท่านแม่ทัพไม่ได้รักข้าเช่นกัน” “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้รักเจ้า” “อะ...เอ่อ” “ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง เจ้าคิดว่าคนเย็นชาอย่างซ่งอันเว่ยจะเสียเวลาไปรับสตรีที่ไม่รู้จักกลับเมืองหลวงด้วยตัวเองงั้นหรือ ทั้งยังคอยคุ้มกันจนถึงจวนอีก” “เรื่องนั้นท่านแม่ทัพบอกข้าว่า เป็นเพราะท่านไหว้ว
“สรุปว่าท่านจะให้ข้าอยู่เรือนรับรองหรือ” “ใครบอกเจ้ากัน เรือนใหญ่ออกจะกว้างขวาง อีกอย่างพวกเราเป็นสามีภรรยากันอยู่เรือนหลังเดียวกันก็สะดวกสบายดี หรือเจ้าไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกับข้างั้นหรือ” “มีผู้ใดบ้างที่ทำเช่นนี้ ปกติแม้เป็นคู่สามีภรรยากัน แต่ยังต้องแยกเรือนกันอยู่เลยนะเจ้าคะ” นางถาม เพราะตามปกติแล้วสามีจะอยู่เรือนใหญ่เพียงคนเดียว “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้นสักนิด” “แต่ถ้าท่านมีอนุคงไม่สะดวก หากอยู่เรือนหลังเดียวกัน” “ข้าไม่เคยคิดอยากมีอนุ ข้าจะมีเจ้าเป็นฮูหยินเพียงผู้เดียวเท่านั้น” เขาบอกเสียงจริงจัง จนนางเริ่มรู้สึกหวั่นไหว ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาเป็นคนชัดเจนตลอดมา ไม่เคยมีสักครั้งที่ทำให้นางต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง “เช่นนั้นห้องนอนของข้า” “ที่เรือนนี้ไม่มีห้องนอนของเจ้า มีแต่ห้องนอนของเรา” ท้ายประโยคเขาเอื้อนเอ่ยเบา ๆ ราวกับสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านยอดหญ้า ไหนจะท่าทีเก้เก้อดูก็รู้ว่าคนพูดรู้สึกเช่นไร “วันนี้เจ้าพอมีเวลาว่างให้ข้าทั้งวันรึไม่” “ถามทำไมหรือเจ้าคะ” “เย็นนี้ในเมืองจัดง
หลังจากส่งบุตรสาวอีกคนแต่งออกไปถึงเมืองเป่ยโจว ก็ถึงคราวของอี้เหม่ยเหรินหมั้นหมายกับแม่ทัพหนุ่ม ผู้ซึ่งเป็นที่หมายปองของสตรีทั้งเมืองหลวง นอกจากเขาจะรูปโฉมงดงามราวเทพเซียนแล้ว ยังมากด้วยความสามารถและอนาคตไกล จนพวกขุนนางในราชสำนักต่างยกลูกสาวของตัวเองใส่พานมาถวายอยู่ไม่ขาด ทว่าเขากลับไม่สนใจสักนิด ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวคือนาง หญิงสาวธรรมดาที่เขาเคยพบเจอเมื่อสี่ปีก่อน นางเป็นบุตรสาวพ่อค้าชื่อดังของเมืองลั่วหยาง เวลาเห็นนางยิ้มทีไรทำให้หัวใจหยาบกระด้างของชายหนุ่มอ่อนระทวยลงราวกับถูกไฟลน ยามนึกถึงคราแรกที่พานพบพลันทำให้ใจสั่นไหวรัวเร็ว “คุณหนู รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” “เล่อจิน เจ้ารีบตามข้ามาเร็วเข้า” หญิงสาววัยแรกแย้มกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ก่อนหันมาบอกสาวใช้คนสนิท “โอ๊ย” สุดท้ายนางสะดุดล้มเข้าจนได้ “แงง” เสียงเด็กชายร้องไห้เสียงดัง เพราะหมั่นโถวที่ตนถืออยู่ตกพื้น “เด็กน้อย ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาด้วยความรู้สึกผิดเต็มอก “หมั่นโถวลูกนี้ ข้าลำบากลำบนกว่าจะทำงานหาเงินซื้อได้” เด็กน้อยเอ่ยทั้งน้







