Войти“เจ้าค่ะ” เอ่ยจบ หญิงสาวก็เดินออกไป แม้จะไม่พอใจฮูหยินใหญ่สักเท่าใดนัก แต่ก็หาขัดอันใดได้
“ท่านพี่ ถึงเวลาแล้วที่ต้องรับเหม่ยเหรินกลับจวน”
“สี่ปีก่อนมิใช่นางหรอกหรือที่เป็นคนปฏิเสธที่จะกลับมาเมืองหลวง แล้วเหตุใดนางถึงเปลี่ยนใจ”
“ท่านพูดเช่นนี้ออกมาได้เยี่ยงไร นางเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของท่านนะเจ้าคะ”
“ข้ารู้ แต่ถึงจะเป็นดังที่เจ้าว่าแต่นางไม่ได้เติบโตข้างกายพวกเรา”
“ที่เป็นเช่นนี้สาเหตุก็เพราะท่าน นางถึงต้องเติบโตมากับผู้อื่น”
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้เสียหน่อย ข้าแค่กลัวว่าคนแซ่เสี่ยวผู้นั้นจะอบรมสั่งสอนนางได้ดีหรือไม่” อี้เฉียวลู่พูดพลางถอนหายใจ
“หากนางมาถึงประเดี๋ยวคงรู้เองนั่นแหละเจ้าค่ะ อีกอย่างนางถึงวัยออกเรือนแล้ว ถึงเวลาที่พวกเราจะหาคู่ครองให้นางเสียที”
“พูดถึงเรื่องออกเรือน อี้เซินก็ถึงวัยที่ต้องแต่งงานแล้วเช่นกัน” เขาพูดถึงลูกสาวอีกคน
“หากท่านพี่ไม่ว่าอะไร ข้าจะให้คนส่งจดหมายตอบกลับไปยังลั่วหยาง เหม่ยเหรินจะได้ออกเดินทางมาที่นี่”
“เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเองคนเดียวไม่ได้ อย่างที่เจ้ารู้ท่านแม่อาจไม่ยินยอมก็ได้”
“ครั้งก่อนเพราะท่านแม่ป่วยหนัก ข้าถึงได้จำใจให้พรากลูกไป ทว่าบัดนี้ข้าจะไม่เป็นฝ่ายยินยอมแล้วเจ้าค่ะ ลูกสาวของข้าจะต้องได้กลับเข้าตระกูลอี้” นางบอกสามีด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ครานี้นางมิมีวันถอยหลังให้แน่ สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ฟู่ซิวจำต้องกัดฟันทนกับทุกอย่างเพราะชางสือยังเล็ก แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วถึงเวลาที่นางต้องใช้อำนาจที่ตนมีเพื่อทวงสิ่งสำคัญคืน
อี้เซินแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่อยู่หน้าห้อง เมื่อได้ยินว่า ฮูหยินใหญ่ต้องการให้บุตรสาวของนางกลับเข้าจวนจึงได้รีบแจ้นไปบอกผู้เป็นย่าที่เรือนแทบจะทันที
“ที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริงรึ”
“จริงเจ้าค่ะ ข้าได้ยินท่านแม่ใหญ่พูดกับท่านพ่อเองกับหู”
“ข้าไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนี้แน่”
“ท่านย่าคิดจะทำอันใดหรือเจ้าคะ”
“ข้าจะขัดขวางทุกทาง เพื่อไม่ให้ลูกสาวของนางกลับเข้าเมืองหลวงได้” หญิงชราเอ่ยตอบ
ทางฝั่งของฟู่ซิวได้เตรียมการเอาไว้แล้ว เผื่อมีบางคนเล่นตุกติกแสร้งเล่นละครเรียกร้องความเห็นใจอย่างเช่นแกล้งล้มป่วยเพื่อขัดขวางมิให้เหม่ยเหรินกลับมา
“ฮูหยิน ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่าล้มป่วยล่ะเจ้าคะ”
“นางต้องล้มป่วยแน่อยู่แล้ว” นางตอบสาวใช้คนสนิท โดยที่ไม่ต้องคิดอันใดด้วยซ้ำ เหตุเพราะหลังจากสตรีแก่ผู้นี้พรากนางกับลูกน้อย เวลาผ่านไปยังไม่ถึงค่อนวันฮูหยินผู้เฒ่าก็ลุกนั่งหัวเราะอารมณ์ดีเสียแล้ว นางถึงได้รู้ความจริงว่าเรื่องชะตาขัดแย้งนั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
“เช่นนั้นพวกเราจะทำเช่นไรดี”
“จงทำอย่างเงียบ ๆ” นางสั่งสาวใช้หลังจากกระซิบกระซาบสั่งการเสร็จสิ้น
“เจ้าค่ะ”
“ข้าจะทำให้พวกนางรู้ ว่าฮูหยินเอกเช่นข้าทำอันใดได้บ้าง”
ไม่นานนักฮูหยินผู้เฒ่าก็ล้มป่วยอีกครั้ง ไม่ผิดไปจากคำพูดของนางสักนิดเดียว
“ท่านแม่ รู้สึกดีขึ้นหรือยังขอรับ” ใต้เท้าอี้รู้ว่ามารดาล้มป่วย เขาได้มาหาทันทีด้วยความเป็นห่วง
“แม่ว่าต้องเป็นเพราะเจ้าให้เหม่ยเหรินกลับมาแน่ ๆ ข้าถึงได้ล้มป่วยเช่นนี้” หญิงชราเอ่ยกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงหมดเรี่ยวแรง
“ท่านหมอถงมาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้แทรกขึ้น ทำให้ทุกคนหันไปสนใจผู้มาใหม่
“ท่านหมอรีบตรวจดูเร็วเข้า ว่าเหตุใดท่านแม่ถึงได้ล้มป่วยเช่นนี้” เป็นฟู่ซิวที่เอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรน
“ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไรนะขอรับ” หมอถงบอก หลังจากตรวจชีพจร
“ท่านหมอ ท่านวินิจฉัยผิดไปรึไม่ ฮูหยินจะไม่ป่วยได้เช่นไรในเมื่อ”
“ในเมื่ออะไรงั้นรึ” อี้เฉียวลู่หันไปถามสาวใช้คนสนิทของมารดา
“เจ้าจะไปคาดคั้นอะไรกับสาวใช้ เจ้าควรหาหมอคนอื่นมาดูอาการแม่ก่อนมิใช่หรือ หมอท่านนี้ไร้ความสามารถถึงได้ตรวจหาโรคของข้าไม่พบ”
“ชุนหลี่ เจ้ารีบไปเชิญหมอชื่อดังมาสักสามสี่คน เพื่อตรวจดูอาการของท่านแม่ข้า”
“ท่านพี่ ข้าว่าแทนที่จะเชิญท่านหมอชื่อดังมา เหตุใดไม่เชิญท่านหมอหลวงเหลียงมาแทนล่ะเจ้าคะ ข้าได้ยินมาว่าในบรรดาหมอทั้งหลายเขามีความสามารถที่สุด”
“หากไม่ได้เป็นดังที่ข้าคิด แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้เอามือมาลูบปากข้ากัน” เขายกยิ้มไปพลางถามไปพลาง จนคนใต้ร่างเริ่มรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย “ข้าแค่อยากรู้ว่าริมฝีปากของบุรุษจะอ่อนนุ่มหรือหยาบกร้านถึงได้เผลอไผลทำเรื่องเช่นนั้นไป” “งั้นหรือ” เขาแสร้งเห็นด้วย จากนั้นค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมาเรื่อย ๆ จนลมหายใจเป่ารดหน้านางเข้า “ท่านจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” ว่าพลางดันหน้าอกชายหนุ่มให้ออกห่าง แต่ทว่ากายแกร่งไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว “เจ้าอยากรู้นักไม่ใช่หรือว่าริมฝีปากข้าจะอ่อนนุ่มหรือไม่ แทนที่จะใช้มือ มิสู้ใช้ปากไม่ดีกว่าหรือ” เอ่ยจบก็ทาบทับริมฝีปากลงไปแผ่วเบา ก่อนขบเม้มเข้าที่ริมฝีปากล่างของนางเพื่อหยอกล้อ “อื้อ” ซ่งอันเว่ยพร่ำจูบนางจนพอใจถึงได้ปล่อยริมฝีปากของนางให้เป็นอิสระ ขณะที่มืออีกข้างปลดเปลื้องอาภรณ์จนร่างของหญิงสาวเปลือยเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใด ไม่นานนักร่างกายของเขาก็เปลือยเปล่าไม่ต่างจากนาง... อี้ชางสือมองภาพเบื้องหน้าทั้งรอยยิ้ม ยามเห็นภาพคู่สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว “ท่านพี่ ท่านฝึกซ้อมมาหลายชั่วยามแ
ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่าที่อาการป่วยทรุดลงเรื่อย ๆ จนไม่อาจลุกจากเตียงได้แต่นอนเป็นผักเท่านั้น “อาการของท่านแม่ เป็นเช่นไรบ้าง” เขาถามสาวใช้ข้างกายมารดา “อาการของฮูหยินผู้เฒ่าแย่ลงเรื่อย ๆ เลยเจ้าค่ะ” “ไปตามท่านหมอมาเร็วเข้า” “ตามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ ท่านหมอเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เอง ทั้งยังบอกว่าอาการของฮูหยินผู้เฒ่าไร้หนทางรักษาแล้ว” อนุเมิ่งบอกสามี “จะ...เจ้า นางคนเนรคุณ” เสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวแรงพูดขึ้น “พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลท่านเอง” นอกจากนางจะไม่โกรธแล้ว นางยังส่งยิ้มให้หญิงชราด้วยซ้ำไป ฝั่งของฟู่ซิวแวะมาเยี่ยมมารดาสามีบ้างบางครั้ง เพราะอนุเมิ่งขอเป็นคนดูแลเอง “ฮูหยิน ตั้งแต่อนุเมิ่งไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่าอาการของนางก็แย่ลงเรื่อย ๆ เลยนะเจ้าคะ หรือว่านางจะ...” “เจ้าอย่าได้เสียงดังไป เพราะถ้าหากนางไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงคนที่เดือดร้อนคงกลายเป็นพวกเราแทน” นางบอกเสียงเบา ทั้งที่ในใจรู้อยู่แล้วว่าเมิ่งไป่ซูวางยาพิษฮูหยินผู้เฒ่า แต่นางไม่คิดเปิดโปงเรื่องนี้ เพราะเห็นสมควรว่าสตรีว
ชายหนุ่มถอดรองเท้าของนางออกหนึ่งข้าง ซึ่งเป็นข้างที่นางได้รับบาดเจ็บ แล้วฉีกชายเสื้อของตัวเองมาพันข้อเท้านางไว้ ก่อนอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดด้วยความหวงแหน จากนั้นเดินกลับกระโจมไป แม่ทัพซ่งวางร่างของนางลงบนเก้าอี้ด้วยความทนุถนอม ก่อนออกไปสั่งให้คนสนิทเรียกท่านหมอมาดูอาการ ทว่าไม่ทันจะได้ทำเช่นนั้นเขาถูกมือของหญิงสาวชุดรั้งแขนไว้เสียก่อน “จะไปไหนหรือเจ้าคะ” “ข้าจะให้คนไปตามท่านหมอมารักษาเจ้า” “ข้าไม่ต้องการหมอ” “ถ้าไม่ต้องการหมอ แล้วเจ้าต้องการอะไร” “ข้าต้องการท่าน” นางบอกทั้งใบหน้าแดงซ่านอย่างปิดไม่มิด “…” “ทำไมไม่ตอบข้าล่ะเจ้าคะ” “ปล่อยก่อน” “ท่านอยากรู้ใช่รึไม่ว่าคนที่ข้ารักคือใคร เช่นนั้นข้าจะบอก” “ไม่ต้อง ข้าไม่อยากรู้” เขาปฏิเสธทันควัน เพราะยังไม่พร้อมรับฟัง “ซ่งอันเว่ย ท่านฟังข้าพูดให้ดี ๆ ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว” “ข้าไม่....” “คนที่ข้ารักคือท่าน ไม่ใช่ใครอื่น” นางแทรกขึ้น พร้อมกับลุกขึ้นสวมกอดจากด้านหลัง “ที่เจ้าพูด...จริงหรือ ไม่ใช่เ
“น้องพี่ ใครเป็นคนทำให้เจ้าอารมณ์เสียหรือถึงได้ทำสีหน้าบึ้งตึงเช่นนี้” “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร” “เจ้าปิดบังพี่ไม่ได้หรอก เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้าของตระกูลซ่งมาส่งเจ้า ดูทีว่าต้นเหตุคงเป็นซ่งอันเว่ย พี่จะไปจัดการเขาให้เอง” “พี่ชางสือ ท่านจะทำอะไรเขางั้นหรือ” “ข้าจะเตะเขาสักสิบครั้ง ต่อยสักหมัดสองหมัด ให้คนผู้นั้นรู้เสียบ้างว่าอย่าริอาจมารังแกน้องสาวของข้า” “ท่านพี่ จะทำเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ อีกไม่นานข้ากับท่านแม่ทัพต้องแต่งงานแล้ว หากใบหน้าเขาบอบช้ำ ข้าคงทนเห็นไม่ได้” “เจ้านี่ช่างเป็นห่วงเขาเสียเหลือเกิน ไหนเจ้าบอกพี่ว่าไม่ได้คิดอันใดกับเขาเล่า” “ขะ...ข้าแค่เป็นห่วงเท่านั้น อีกอย่างท่านแม่ทัพไม่ได้รักข้าเช่นกัน” “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้รักเจ้า” “อะ...เอ่อ” “ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง เจ้าคิดว่าคนเย็นชาอย่างซ่งอันเว่ยจะเสียเวลาไปรับสตรีที่ไม่รู้จักกลับเมืองหลวงด้วยตัวเองงั้นหรือ ทั้งยังคอยคุ้มกันจนถึงจวนอีก” “เรื่องนั้นท่านแม่ทัพบอกข้าว่า เป็นเพราะท่านไหว้ว
“สรุปว่าท่านจะให้ข้าอยู่เรือนรับรองหรือ” “ใครบอกเจ้ากัน เรือนใหญ่ออกจะกว้างขวาง อีกอย่างพวกเราเป็นสามีภรรยากันอยู่เรือนหลังเดียวกันก็สะดวกสบายดี หรือเจ้าไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกับข้างั้นหรือ” “มีผู้ใดบ้างที่ทำเช่นนี้ ปกติแม้เป็นคู่สามีภรรยากัน แต่ยังต้องแยกเรือนกันอยู่เลยนะเจ้าคะ” นางถาม เพราะตามปกติแล้วสามีจะอยู่เรือนใหญ่เพียงคนเดียว “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้นสักนิด” “แต่ถ้าท่านมีอนุคงไม่สะดวก หากอยู่เรือนหลังเดียวกัน” “ข้าไม่เคยคิดอยากมีอนุ ข้าจะมีเจ้าเป็นฮูหยินเพียงผู้เดียวเท่านั้น” เขาบอกเสียงจริงจัง จนนางเริ่มรู้สึกหวั่นไหว ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาเป็นคนชัดเจนตลอดมา ไม่เคยมีสักครั้งที่ทำให้นางต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง “เช่นนั้นห้องนอนของข้า” “ที่เรือนนี้ไม่มีห้องนอนของเจ้า มีแต่ห้องนอนของเรา” ท้ายประโยคเขาเอื้อนเอ่ยเบา ๆ ราวกับสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านยอดหญ้า ไหนจะท่าทีเก้เก้อดูก็รู้ว่าคนพูดรู้สึกเช่นไร “วันนี้เจ้าพอมีเวลาว่างให้ข้าทั้งวันรึไม่” “ถามทำไมหรือเจ้าคะ” “เย็นนี้ในเมืองจัดง
หลังจากส่งบุตรสาวอีกคนแต่งออกไปถึงเมืองเป่ยโจว ก็ถึงคราวของอี้เหม่ยเหรินหมั้นหมายกับแม่ทัพหนุ่ม ผู้ซึ่งเป็นที่หมายปองของสตรีทั้งเมืองหลวง นอกจากเขาจะรูปโฉมงดงามราวเทพเซียนแล้ว ยังมากด้วยความสามารถและอนาคตไกล จนพวกขุนนางในราชสำนักต่างยกลูกสาวของตัวเองใส่พานมาถวายอยู่ไม่ขาด ทว่าเขากลับไม่สนใจสักนิด ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวคือนาง หญิงสาวธรรมดาที่เขาเคยพบเจอเมื่อสี่ปีก่อน นางเป็นบุตรสาวพ่อค้าชื่อดังของเมืองลั่วหยาง เวลาเห็นนางยิ้มทีไรทำให้หัวใจหยาบกระด้างของชายหนุ่มอ่อนระทวยลงราวกับถูกไฟลน ยามนึกถึงคราแรกที่พานพบพลันทำให้ใจสั่นไหวรัวเร็ว “คุณหนู รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” “เล่อจิน เจ้ารีบตามข้ามาเร็วเข้า” หญิงสาววัยแรกแย้มกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ก่อนหันมาบอกสาวใช้คนสนิท “โอ๊ย” สุดท้ายนางสะดุดล้มเข้าจนได้ “แงง” เสียงเด็กชายร้องไห้เสียงดัง เพราะหมั่นโถวที่ตนถืออยู่ตกพื้น “เด็กน้อย ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาด้วยความรู้สึกผิดเต็มอก “หมั่นโถวลูกนี้ ข้าลำบากลำบนกว่าจะทำงานหาเงินซื้อได้” เด็กน้อยเอ่ยทั้งน้







