LOGINรุ่งขึ้นเขาพาหญิงสาวไปยังหออันฮัวอันโด่งดังที่ตั้งตระหง่านกลางเมือง ชั้นล่างเป็นร้านเครื่องประดับ ส่วนชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิวเหมาะแก่การพาแขกเหรื่อมาเยี่ยมชม
“ข้าเพิ่งรู้ว่าเมืองลั่วหยางงดงามถึงเพียงนี้”
“แม้ที่นี่จะงดงามเพียงใด แต่มิอาจสู้เมืองหลวงได้อยู่ดี” เสียงแทรกขึ้นทำให้ทั้งคู่หันไปมองต้นเสียง
“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
“ทำไมข้าจะมาที่นี่ไม่ได้ล่ะเจ้าคะ ในเมื่อหออันฮัวนี้เป็นของตระกูลเสี่ยว”
“แม่นางท่านนี้คือ...” อวี่ซินหันไปถามคู่หมั้นของตนด้วยความสงสัย ทว่าหวังหย่งยังมิทันตอบ เหม่ยเหริยก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“ข้าชื่อเสี่ยวเหม่ยเหริน แม่นางคงรู้จักข้าอยู่ก่อนแล้วใช่รึไม่”
“ที่แท้ก็แม่นางเสี่ยวนี่เอง ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไรในเมื่อคู่หมั้นของข้าเคยเอ่ยถึงท่านให้ข้าได้ยินอยู่บ่อย ๆ” นางตั้งใจย้ำคำว่าคู่หมั้นให้สตรีตรงหน้าได้ยิน
“เอ่อ นางไม่เคยมาที่นี่มาก่อน ข้าเลยพานางมาชมทิวทัศน์น่ะ” เขาตอบอึกอัก
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว” ว่าจบก็เดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง โดยไม่ได้สนใจคนทั้งคู่อีก นางจะรออย่างใจเย็นเพื่อให้ชายคนรักเอ่ยตัดความสัมพันธ์สตรีผู้นั้นที่มาทีหลัง
วันนี้เหม่ยเหรินตรวจตราดูสินค้าที่กำลังเอาขึ้นเรือขนส่งสินค้าเพื่ออกขายไปยังเมืองต่าง ๆ ตามคำสั่งของบิดา กระทั่งทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นหญิงสาวทอดสายตามองแม่น้ำที่บัดนี้มีแสงระยิบระยับสะท้อนผิวน้ำดูแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
“คุณหนูไปนั่งพักที่ศาลาตรงโน้นก่อนกลับจวนดีไหมเจ้าคะ” เล่อจินเสนอ
“พักสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน” เอ่ยจบ ทั้งคู่จึงเดินไปยังศาลาที่ตั้งอยู่ริมน้ำ
“น้ำเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทยื่นน้ำให้คุณหนูของตนดื่ม
“ขอบใจเจ้ามาก”
สองนายบ่าวคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยระหว่างนั่งพัก จนกระทั่งได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งเอ่ยแทรกกลางบทสนา
“ข้านึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็แม่นางเสี่ยวนี่เอง”
“คุณหนู แม่นางผู้นี้เป็นใครหรือเจ้าคะ เหตุใดบ่าวถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”
“ข้าเป็นคู่หมั้นของคุณชายหวังหย่ง ไม่แปลกใจที่เจ้าจะไม่เคยเห็น” ไม่รีรอให้เหม่ยเหรินตอบ อวี่ซินได้ชิงตอบขึ้นเสียก่อน
“เจ้ามาที่นี่ทำไมรึ” นางข่มอารมณ์ขุ่นเคืองไว้ในอก ก่อนถามออกไป
“ข้าตามคู่หมั้นมา ข้าคงไม่ต้องบอกเหตุผลกับคนนอกอย่างเจ้า”
“หึ เล่อจิน เจ้าไปยกน้ำชามาต้อนรับแขกที” เหม่ยเหรินหาได้ใส่ใจคำพูดยั่วยุของสตรีตรงหน้า นางเพียงค่อนยิ้มที่มุมปาก
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำ
“ดูจากที่เจ้าไล่สาวใช้ไปคงมีเรื่องอยากคุยกับข้าใช่รึไม่” อวี่ซินถามขึ้นทันที หลังจากอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“ข้าไม่ใช่คนเสแสร้ง ข้าขอพูดตามตรงเลยก็แล้วกัน”
“ข้าอยากรู้ยิ่งนัก ว่าเจ้าจะพูดอะไร”
“เดิมทีข้านึกว่าคุณหนูสูงศักดิ์เช่นเจ้าจะรักศักดิ์ศรี แต่ดูจากที่แย่งชิงคนรักผู้อื่นไปเป็นคู่หมั้นของตนเองอย่างน่าไม่อายแล้ว ข้าคงเข้าใจเจ้าผิดไปแล้วกระมัง”
“ข้าต้องเป็นคนเอ่ยคำพูดนี้มากกว่า ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้ากับคุณชายหวังหมั้นหมายกันแล้ว แต่ยังไม่ยอมเลิกราตัดความสัมพันธ์ ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าไม่อายหรือเป็นเพราะติดนิสัยต่ำช้ามาจากมารดาของเจ้า ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นแค่เด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่เสี่ยวอวี้รับเลี้ยงไว้” เหม่ยเหรินไม่อาจควบคุมอารมณ์โกรธได้อีกต่อไป เหตุเพราะถูกหญิงสาวดูหมิ่นมารดาตัวเอง นางพลั้งมือตบเข้าที่แก้มขวาฝ่ายตรงข้ามจนห้นาหันไปตามแรงตบ
“เพี้ยะ!”
“นี่เจ้ากล้าตบข้างั้นรึ!” อวี่ซินโมโห แต่ก่อนจะได้ตอบโต้นางเห็นร่างสูงของคู่หมั้นหนุ่มกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้จึงทำได้เพียงแสร้งบีบน้ำตา
“เจ้ากล้ามาดูถูกมารดาข้าทั้ง ๆ ที่เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นใคร สมควรโดนเช่นนี้แล้ว”
“ในเมื่อแม่นางเหม่ยเหรินรักใคร่คุณชายหวังมากมายจนถึงกับตบหน้าข้าเพียงเพราะว่าข้าเป็นคู่หมั้นของเขา เช่นนั้นข้าจะยอมถอนหมั้นให้เจ้าก็ได้ ฮึก” พูดพลางสะอึกสะอื้น
“เหอะ! ถอนหมั้นงั้นรึ แล้วเมื่อครู่ผู้ใดกัน...” นางเอ่ยพร้อมกับกระชากร่างหญิงสาวเข้ามาใกล้ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหวังหย่งได้ยินบทสนทนานี้เข้าพอดี
“เหม่ยเหริน เจ้าทำอะไรน่ะ!” เขาถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เมื่อคิดว่าอวี่ซินถูกนางรังแก
“หากไม่ได้เป็นดังที่ข้าคิด แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้เอามือมาลูบปากข้ากัน” เขายกยิ้มไปพลางถามไปพลาง จนคนใต้ร่างเริ่มรู้สึกเขินอายอยู่ไม่น้อย “ข้าแค่อยากรู้ว่าริมฝีปากของบุรุษจะอ่อนนุ่มหรือหยาบกร้านถึงได้เผลอไผลทำเรื่องเช่นนั้นไป” “งั้นหรือ” เขาแสร้งเห็นด้วย จากนั้นค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงมาเรื่อย ๆ จนลมหายใจเป่ารดหน้านางเข้า “ท่านจะทำอะไรหรือเจ้าคะ” ว่าพลางดันหน้าอกชายหนุ่มให้ออกห่าง แต่ทว่ากายแกร่งไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว “เจ้าอยากรู้นักไม่ใช่หรือว่าริมฝีปากข้าจะอ่อนนุ่มหรือไม่ แทนที่จะใช้มือ มิสู้ใช้ปากไม่ดีกว่าหรือ” เอ่ยจบก็ทาบทับริมฝีปากลงไปแผ่วเบา ก่อนขบเม้มเข้าที่ริมฝีปากล่างของนางเพื่อหยอกล้อ “อื้อ” ซ่งอันเว่ยพร่ำจูบนางจนพอใจถึงได้ปล่อยริมฝีปากของนางให้เป็นอิสระ ขณะที่มืออีกข้างปลดเปลื้องอาภรณ์จนร่างของหญิงสาวเปลือยเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใด ไม่นานนักร่างกายของเขาก็เปลือยเปล่าไม่ต่างจากนาง... อี้ชางสือมองภาพเบื้องหน้าทั้งรอยยิ้ม ยามเห็นภาพคู่สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว “ท่านพี่ ท่านฝึกซ้อมมาหลายชั่วยามแ
ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่าที่อาการป่วยทรุดลงเรื่อย ๆ จนไม่อาจลุกจากเตียงได้แต่นอนเป็นผักเท่านั้น “อาการของท่านแม่ เป็นเช่นไรบ้าง” เขาถามสาวใช้ข้างกายมารดา “อาการของฮูหยินผู้เฒ่าแย่ลงเรื่อย ๆ เลยเจ้าค่ะ” “ไปตามท่านหมอมาเร็วเข้า” “ตามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้าค่ะ ท่านหมอเพิ่งออกไปเมื่อครู่นี้เอง ทั้งยังบอกว่าอาการของฮูหยินผู้เฒ่าไร้หนทางรักษาแล้ว” อนุเมิ่งบอกสามี “จะ...เจ้า นางคนเนรคุณ” เสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวแรงพูดขึ้น “พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลท่านเอง” นอกจากนางจะไม่โกรธแล้ว นางยังส่งยิ้มให้หญิงชราด้วยซ้ำไป ฝั่งของฟู่ซิวแวะมาเยี่ยมมารดาสามีบ้างบางครั้ง เพราะอนุเมิ่งขอเป็นคนดูแลเอง “ฮูหยิน ตั้งแต่อนุเมิ่งไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่าอาการของนางก็แย่ลงเรื่อย ๆ เลยนะเจ้าคะ หรือว่านางจะ...” “เจ้าอย่าได้เสียงดังไป เพราะถ้าหากนางไม่ได้ทำเช่นนั้นจริงคนที่เดือดร้อนคงกลายเป็นพวกเราแทน” นางบอกเสียงเบา ทั้งที่ในใจรู้อยู่แล้วว่าเมิ่งไป่ซูวางยาพิษฮูหยินผู้เฒ่า แต่นางไม่คิดเปิดโปงเรื่องนี้ เพราะเห็นสมควรว่าสตรีว
ชายหนุ่มถอดรองเท้าของนางออกหนึ่งข้าง ซึ่งเป็นข้างที่นางได้รับบาดเจ็บ แล้วฉีกชายเสื้อของตัวเองมาพันข้อเท้านางไว้ ก่อนอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมกอดด้วยความหวงแหน จากนั้นเดินกลับกระโจมไป แม่ทัพซ่งวางร่างของนางลงบนเก้าอี้ด้วยความทนุถนอม ก่อนออกไปสั่งให้คนสนิทเรียกท่านหมอมาดูอาการ ทว่าไม่ทันจะได้ทำเช่นนั้นเขาถูกมือของหญิงสาวชุดรั้งแขนไว้เสียก่อน “จะไปไหนหรือเจ้าคะ” “ข้าจะให้คนไปตามท่านหมอมารักษาเจ้า” “ข้าไม่ต้องการหมอ” “ถ้าไม่ต้องการหมอ แล้วเจ้าต้องการอะไร” “ข้าต้องการท่าน” นางบอกทั้งใบหน้าแดงซ่านอย่างปิดไม่มิด “…” “ทำไมไม่ตอบข้าล่ะเจ้าคะ” “ปล่อยก่อน” “ท่านอยากรู้ใช่รึไม่ว่าคนที่ข้ารักคือใคร เช่นนั้นข้าจะบอก” “ไม่ต้อง ข้าไม่อยากรู้” เขาปฏิเสธทันควัน เพราะยังไม่พร้อมรับฟัง “ซ่งอันเว่ย ท่านฟังข้าพูดให้ดี ๆ ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียว” “ข้าไม่....” “คนที่ข้ารักคือท่าน ไม่ใช่ใครอื่น” นางแทรกขึ้น พร้อมกับลุกขึ้นสวมกอดจากด้านหลัง “ที่เจ้าพูด...จริงหรือ ไม่ใช่เ
“น้องพี่ ใครเป็นคนทำให้เจ้าอารมณ์เสียหรือถึงได้ทำสีหน้าบึ้งตึงเช่นนี้” “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร” “เจ้าปิดบังพี่ไม่ได้หรอก เมื่อครู่ข้าเห็นรถม้าของตระกูลซ่งมาส่งเจ้า ดูทีว่าต้นเหตุคงเป็นซ่งอันเว่ย พี่จะไปจัดการเขาให้เอง” “พี่ชางสือ ท่านจะทำอะไรเขางั้นหรือ” “ข้าจะเตะเขาสักสิบครั้ง ต่อยสักหมัดสองหมัด ให้คนผู้นั้นรู้เสียบ้างว่าอย่าริอาจมารังแกน้องสาวของข้า” “ท่านพี่ จะทำเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ อีกไม่นานข้ากับท่านแม่ทัพต้องแต่งงานแล้ว หากใบหน้าเขาบอบช้ำ ข้าคงทนเห็นไม่ได้” “เจ้านี่ช่างเป็นห่วงเขาเสียเหลือเกิน ไหนเจ้าบอกพี่ว่าไม่ได้คิดอันใดกับเขาเล่า” “ขะ...ข้าแค่เป็นห่วงเท่านั้น อีกอย่างท่านแม่ทัพไม่ได้รักข้าเช่นกัน” “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้รักเจ้า” “อะ...เอ่อ” “ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง เจ้าคิดว่าคนเย็นชาอย่างซ่งอันเว่ยจะเสียเวลาไปรับสตรีที่ไม่รู้จักกลับเมืองหลวงด้วยตัวเองงั้นหรือ ทั้งยังคอยคุ้มกันจนถึงจวนอีก” “เรื่องนั้นท่านแม่ทัพบอกข้าว่า เป็นเพราะท่านไหว้ว
“สรุปว่าท่านจะให้ข้าอยู่เรือนรับรองหรือ” “ใครบอกเจ้ากัน เรือนใหญ่ออกจะกว้างขวาง อีกอย่างพวกเราเป็นสามีภรรยากันอยู่เรือนหลังเดียวกันก็สะดวกสบายดี หรือเจ้าไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกับข้างั้นหรือ” “มีผู้ใดบ้างที่ทำเช่นนี้ ปกติแม้เป็นคู่สามีภรรยากัน แต่ยังต้องแยกเรือนกันอยู่เลยนะเจ้าคะ” นางถาม เพราะตามปกติแล้วสามีจะอยู่เรือนใหญ่เพียงคนเดียว “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้นสักนิด” “แต่ถ้าท่านมีอนุคงไม่สะดวก หากอยู่เรือนหลังเดียวกัน” “ข้าไม่เคยคิดอยากมีอนุ ข้าจะมีเจ้าเป็นฮูหยินเพียงผู้เดียวเท่านั้น” เขาบอกเสียงจริงจัง จนนางเริ่มรู้สึกหวั่นไหว ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาเป็นคนชัดเจนตลอดมา ไม่เคยมีสักครั้งที่ทำให้นางต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง “เช่นนั้นห้องนอนของข้า” “ที่เรือนนี้ไม่มีห้องนอนของเจ้า มีแต่ห้องนอนของเรา” ท้ายประโยคเขาเอื้อนเอ่ยเบา ๆ ราวกับสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านยอดหญ้า ไหนจะท่าทีเก้เก้อดูก็รู้ว่าคนพูดรู้สึกเช่นไร “วันนี้เจ้าพอมีเวลาว่างให้ข้าทั้งวันรึไม่” “ถามทำไมหรือเจ้าคะ” “เย็นนี้ในเมืองจัดง
หลังจากส่งบุตรสาวอีกคนแต่งออกไปถึงเมืองเป่ยโจว ก็ถึงคราวของอี้เหม่ยเหรินหมั้นหมายกับแม่ทัพหนุ่ม ผู้ซึ่งเป็นที่หมายปองของสตรีทั้งเมืองหลวง นอกจากเขาจะรูปโฉมงดงามราวเทพเซียนแล้ว ยังมากด้วยความสามารถและอนาคตไกล จนพวกขุนนางในราชสำนักต่างยกลูกสาวของตัวเองใส่พานมาถวายอยู่ไม่ขาด ทว่าเขากลับไม่สนใจสักนิด ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวคือนาง หญิงสาวธรรมดาที่เขาเคยพบเจอเมื่อสี่ปีก่อน นางเป็นบุตรสาวพ่อค้าชื่อดังของเมืองลั่วหยาง เวลาเห็นนางยิ้มทีไรทำให้หัวใจหยาบกระด้างของชายหนุ่มอ่อนระทวยลงราวกับถูกไฟลน ยามนึกถึงคราแรกที่พานพบพลันทำให้ใจสั่นไหวรัวเร็ว “คุณหนู รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” “เล่อจิน เจ้ารีบตามข้ามาเร็วเข้า” หญิงสาววัยแรกแย้มกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ก่อนหันมาบอกสาวใช้คนสนิท “โอ๊ย” สุดท้ายนางสะดุดล้มเข้าจนได้ “แงง” เสียงเด็กชายร้องไห้เสียงดัง เพราะหมั่นโถวที่ตนถืออยู่ตกพื้น “เด็กน้อย ข้าไม่ได้ตั้งใจ” ว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาด้วยความรู้สึกผิดเต็มอก “หมั่นโถวลูกนี้ ข้าลำบากลำบนกว่าจะทำงานหาเงินซื้อได้” เด็กน้อยเอ่ยทั้งน้







