“กลิ่นดินหรือ” ชายชราถามอย่างแปลกใจยิ่งที่ได้นางพูดอย่างนั้น
“เจ้าค่ะ ข้าได้กลิ่นของมัน” มู่ตานตอบเสียงอ่อยแต่ไม่กล้าว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้กลิ่น
“ถ้าเจ้าอยากไป เช่นนั้นก็ลองไปกันดู” อวิ๋นเซียงไห่เลือกที่จะเชื่อเด็กน้อยเพราะก็ไม่อยากจะขัดใจนาง เมื่อเดินลึกเข้าไปอีกหน่อย พวกเขาก็เจอกับลำธารเล็ก ๆ สายหนึ่ง ชายชรากับเด็กน้อยยิ้มออกมาอย่างดีใจ มู่ตานวิ่งไปที่น้ำก่อนจะใช้สองมือน้อย ๆ ของนางรองน้ำใสขึ้นดื่ม
“น้ำใสมากเลยเจ้าค่ะท่านปู่” มู่ตานหันมาบอกผู้เป็นปู่เสียงใสพร้อมยิ้มกว้างส่งมาให้ อวิ๋นเซียงไห่เองก็รีบเข้าไปดื่มน้ำเช่นกันเพราะคอแห้งมากจนมันแสบร้อนไปหมด
“ต้นไม้ในนี้มีแต่ต้นใหญ่ ๆ นะเจ้าคะ” มู่ตานมองไปอีกฝั่งของธารน้ำ ทางฝั่งนั้นมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรียงรายเต็มไปหมดดูแล้วน่าจะอุดมสมบรูณ์ว่าฝั่งนี้มากเลยทีเดียว
“ท่านปู่ ตรงนั้นมีโพรงด้วยเจ้าค่ะ” นิ้วน้อย ๆ ชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง โพรงต้นกลางขนาดใหญ่สามารถให้คนเข้าไปหลบได้ด้วยซ้ำ ทั้งสองจึงตัดสินใจข้ามลำธารไปตรงโพรงต้นไม้นั้น
เมื่อมาถึงก็พบว่ามันเป็นโพรงขนาดใหญ่มากจริง ๆ สามารถให้พวกเขาเข้าไปนั่งได้สบาย ๆ อีกทั้งโดยรอบยังมีรากไม้ใหญ่ช่วยกำบังอีกด้วย อวิ๋นเซียงไห่ยิ้มออกมาได้ในที่สุดเพราะคืนนี้ไม่ต้องนอนตากน้ำค้างกับลมเย็น ๆ แล้วแม้มันจะช่วยไม่ได้มากนักแต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“คืนนี้เรานอนที่นี่กัน เจ้าจะได้ไม่ต้องตากน้ำค้าง” อวิ๋นเซียงไห่บอกกับหลานสาวตัวน้อยอย่างดีใจ
“เจ้าค่ะ” มู่ตานยิ้มกว้างจนตาหยี ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปหักเอากิ่งไม้ใบไม้มารองเป็นที่นอนสำหรับทั้งสองคนในโพรงต้นไม้ใหญ่ อวิ๋นเซียงไห่ได้แต่หวังว่าจะไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้น เพราะป่าลึกเช่นนี้ก็ไว้ใจอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
“ท่านปู่เจ้าคะ ตรงนี้มีผลไม้เยอะเลย” เสียงเล็กตะโกนมาจากอีกด้านหนึ่งของโพรงไม้ อวิ๋นเซียงไห่จึงรีบเดินไปหานางทันที
แอปเปิลสีแดงสดลูกใหญ่หลายสิบลูกน่ากินทั้งนั้น เขาไม่รอช้ารีบเก็บมันทันทีเพราะนี้จะช่วยให้พวกเขาไม่หิวไปอีกหลายวันเลย
“ท่านปู่เจ้าคะ อันนี้ลูกอะไรเจ้าคะ” มือเล็กยื่นผลไม้สีเหลืองอมส้มให้ท่านปู่ของนางดู
“ลูกพลับหรือ เจ้าได้มาจากตรงไหน” ชายชรารีบถามทันที มือเล็กชี้ไปทางที่นางพึ่งเดินออกมา เมื่อมองไปแล้วจะเห็นลูกพลับสีส้มสวยอยู่เต็มไปหมด มีหลายสิบต้นเลยทีเดียว ทั้งสองคนจึงช่วยกันเก็บลูกที่สามารถกินได้มาไว้ก่อน ส่วนลูกที่ยังไม่สุกก็ปล่อยเอาไว้ให้มันสุกเสียก่อนและค่อยมาเก็บทีหลัง
“อร่อยหรือไม่” เสียงแหบแห้งของชายชราเอ่ยถามมู่ตานด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นปากน้อย ๆ นั้นกัดกินผลไม้ไม่หยุดอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยเจ้าค่ะ ท่านปู่กินเยอะ ๆ นะเจ้าคะ” นางยื่นลูกพลับให้ชายชราพร้อมกับยิ้มหวาน พอกินเสร็จก็เดินไปล้างมือพร้อมกับกินน้ำที่ลำธาร อวิ๋นเซียงไห่คิดในใจ หากมีไฟให้ความอบอุ่นด้วยคงจะดีไม่น้อย จะได้ไล่สัตว์ได้ด้วย
“ท่านปู่คิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ” เมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดทั้งยังขมวดคิ้วโดยที่ชายชรานั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแสดงออกมามู่ตานจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ปู่กำลังคิดว่าหากมีไฟเจ้าคงอุ่นกว่านี้” เขายิ้มบางให้ก่อนจะตอบคำถามนาง
“ไฟหรือเจ้าคะ” มู่ตานนึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าในป่าตรงที่นางไปเก็บผลไม้ เมื่อเดินออกมาในมือเล็กมียางไม้อยู่สี่ห้าก้อนยื่นให้ชายชรา
“จริงสิ ยางไม้พวกนี้ติดไฟได้” อวิ๋นเซียงไห่เองก็ลืมไปเลย เขาหาไม้กับใบไม้แห้งมาร่วมกันก่อนจะเริ่มทำการก่อไฟโดยใช้หินที่ได้มาจากบริเวณลำธาร มากะเทาะกันจนเกิดเป็นประกายไฟขึ้น ในที่สุดคืนนี้พวกเขาก็มีไฟให้ความอบอุ่นแล้ว
เวลาผ่านไปนับเดือนที่พวกเขาอยู่กันตรงนี้ มีบางครั้งที่ออกไปในเมืองกัน เด็กน้อยชวนท่านปู่นำลูกพลับที่เก็บได้ไปขายให้แม่ค้าด้วยถึงจะขายได้เงินมาเพียงนิด แต่ก็ทำให้พวกนางได้แผ่นแป้งมาไว้กินไปหลายวันเพราะอย่างไรมันก็ทำให้อิ่มได้นานกว่าผลไม้
อวิ๋นเซียงไห่สอนหนังสือให้กับมู่ตานไปด้วย ทั้งโคลงกลอนและหมากเขาก็สอนนาง ถามว่าสอนได้อย่างไร ด้วยความสามารถของนางที่เขาได้รู้ เพียงเขียนลงพื้นดินและออกเสียงให้นางฟังก็สามารถเรียนรู้ได้แล้ว
ตารางหมากเขาหาแผ่นหินใหญ่มาก่อนจะวาดมันลงไปแล้วค่อย ๆ สอนนาง มีเพียงการวาดภาพเท่านั้นที่ไม่สามารถสอนได้แต่นี่ก็นับว่าดีมากแล้ว
มู่ตานเก็บผักป่าที่พอรู้จักกับผลไม้เข้าไปขายให้แม่ค้าอยู่บ่อยครั้ง เป้าหมายของนางคือเก็บเงินเพื่อเช่าบ้านให้ท่านปู่ได้นอนสบายขึ้น จนในที่สุดนางก็ทำได้หลังจากอดทนมาหลายเดือน
นางอยากให้ท่านปู่ได้นอนในบ้านก่อนที่ฝนจะมา เพราะที่นี่ไม่สามารถกันฝนกับความหนาวเย็นของหิมะได้ จากขอทานในวันนั้น นางเก็บเงินจากการขายผักป่ากับผลไม้และรับจ้างทำงานเล็กน้อย ๆ เท่าที่นางจะทำได้ ถึงแม้เสื้อผ้าจะดูเก่าและขาดแต่เนื้อตัวกลับสะอาดน่ามองเพราะนางอาบน้ำทุกวัน พวกพ่อค้าแม่ค้าจึงให้นางทำงานเล็กน้อยแลกกับค่าแรง
“ท่านปู่เจ้าคะ เราเช่าบ้านหลังเล็ก ๆ กันอยู่ดีไหมเจ้าคะ หากฝนมาเยือนพวกเราจะได้ไม่เปียก”
มู่ตานในวัยสิบเอ็ดปีถามท่านปู่ของนางเสียงใส ใช่แล้วตอนนี้นางสิบเอ็ดปีแล้วเมื่อเดือนที่ผ่านมา
“เอาสิ เงินปู่ก็มีนะ” หลังจากอยู่กับมู่ตานมาอวิ๋นเซียงไห่ก็คิดหาทางทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่ขอทาน เขารับสอนหนังสือให้กับบุตรหลานของพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดในราคาถูกจึงมีคนให้บุตรหลานมาด้วยหลายคน เขาคิดเป็นรายคนต่อหนึ่งวัน หากวันไหนไม่มาเรียนก็ไม่เสีย
“ข้าไปดูมาแล้วเจ้าค่ะ บ้านหลังเล็ก ๆ ตรงท้ายตลาดเจ้าของให้เช่าเดือนละหนึ่งตำลึงเงิน ที่ข้าตอนนี้มีอยู่สองตำลึงเงินกับสองร้อยแปดสิบอีแปะ”
มู่ตานยิ้มออกมาอย่างภูมิใจในตนเองที่ขยันและอดทนจนได้เงินเก็บมาถึงเพียงนี้
“นี่ของปู่” อวิ๋นเซียงไห่ยื่นเงินของตนเองให้เด็กน้อย มู่ตานรับมาก่อนจะนับดูอย่างมีความสุข
“ของท่านปู่มีเยอะกว่าข้าอีกเจ้าค่ะ ตั้งห้าตำลึงเงินกับห้าร้อยอีแปะ” รอยยิ้มสดใสของนางทำให้อวิ๋นเซียงไห่มีความสุขยิ่งนัก
“เช่นนั้นก็ไปเช่าบ้านกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ” มู่ตานยิ้มกว้างก่อนจะช่วยชายชราเก็บข้าวของของพวกเขาที่มีอยู่น้อยนิด เมื่อมาถึงเจ้าของบ้านใจดีมีที่นอนกับผ้าห่มให้ มู่ตานจ่ายค่าเช่าเอาไว้สามเดือนพร้อมกับรับสัญญาเช่ามาอย่างอุ่นใจ
บ้านหลังน้อยมีห้องนอนหนึ่งห้อง ห้องครัว และโถงเล็กกลางบ้านเท่านั้นแต่นี่ก็ดีมากแล้ว มู่ตานซื้อชุดใหม่ให้ตนเองกับท่านปู่คนละสามชุดหมดเงินไปถึงหนึ่งตำลึงเงิน ไหนจะข้าวและเครื่องปรุงอีกทำให้เหลือเงินไม่มากแล้ว
“พรุ่งนี้ข้าจะเข้าป่าไปเก็บผักนะเจ้าคะ” มู่ตานเอ่ยบอก ใบหน้าเล็กบูดบึ้งเล็กน้อยเพราะเงินที่ลดลงทำให้อวิ๋นเซียงไห่อดยิ้มเอ็นดูไม่ได้
“ปู่จะไปกับเจ้าด้วย”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าจะไปตรงที่เราเคยอยู่ ไม่ไปไกลกว่านั้น ท่านปู่ไปสอนหนังสือเถอะเจ้าค่ะ” มู่ตานบอกด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า ท่านปู่สอนหนังสือวันหนึ่งได้เงินตั้งห้าสิบอีแปะอีกทั้งยังไม่ต้องเดินเหนื่อยอีกด้วย นางอยากให้ท่านปู่มีความสุขเช่นนี้ในทุกวัน
แต่ว่าความสุขใดจะยั่งยืนตลอดไปเล่า อวิ๋นเซียงไห่จากนางไปหลังวันเกิดครบสิบหกปีของนาง
ภัยหนาวมาเยือนอย่างรุนแรงโหดร้าย หิมะตกหนักอย่างไม่ทันให้ใครได้เตรียมตัว อาหารราคาสูง เกิดจลาจลและการปล้นชิงขึ้นมากมาย
“มู่ตานรีบไป หนีไป” เสียงแหบแห้งของชายชราบอกให้หลานสาวรีบหนีไป ภายในบ้านหลังน้อยมีชายฉกรรจ์สองคนถือดาบเข้ามาข่มขู่ให้ชายชราและหญิงสาวส่งเงินและเสบียงที่มีมาให้พวกมัน แต่ขึ้นชื่อว่าโจรอย่างไรก็ไม่เคยหยุดอยู่เพียงเท่านั้นพวกมันอยากได้ตัวมู่ตานไปด้วยเพราะใบหน้างดงามนั้นถูกตาต้องใจพวกมันยิ่งนัก เมื่อไม่ยินยอมก็มีแต่ต้องใช้กำลังเพื่อให้ได้มา
“ท่านปู่ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป” หญิงสาวส่ายหน้าไม่ไปจากผู้เป็นปู่ หากนางไปไม่ต้องเดาเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“เจ้ารีบ ปู่ขอร้อง” อวิ๋นเซียงไห่เอ่ยวิงวอนหลานสาวให้นางรีบหนีไป
“ไม่มีใครหนีไปไหนได้ทั้งนั้น” เสียงเหี้ยมของชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น สายตาที่มองมานั้นช่างเย็นชาไร้ปรานีเสียเหลือเกิน อวิ๋นเซียงไห่รีบเอาตัวเข้าไปบังหลานสาวเอาไว้ทันที มู่ตานเองก็ก้มหน้างุดพยายามซ่อนใบหน้าที่งดงามของตนเองเอาไว้แต่มีหรือจะรอดพ้นสายตาของพวกมัน
“เงยหน้าขึ้น” มือหยาบกร้านดึงผมด้านหลังของมู่ตานขึ้นนางเงยหน้า แรงดึงทำเอาหญิงสาวถึงกับชาหนึบไปทั้งหัว ใบหน้าสวยหวานเหยเกด้วยความเจ็บจนน้ำตาเอ่อคลอ
“งดงามยิ่ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าช่างโชคดีอะไรอย่างนี้” มือหยาบกร้านลูบเบา ๆ ไปตามกรอบหน้าของหญิงสาวอย่างหื่นกระหาย ท่าทางของมันทำเอามู่ตานทั้งขยาดและหวาดกลัว
อายุครรภ์ของมู่ตานตอนนี้ห้าเดือนแล้ว ท้องของนางใหญ่มากเวลาลุกนั่งหรือเดินต้องมีคนคอยประคองอยู่ตลอด ท่านหมอแจ้งว่าในท้องของนางอาจมีถึงสามชีวิตที่อยู่ในนั้น สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เหวินฟงหนานดีใจเลยสักเมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านหมอก็บอกแล้วหากดูแลตัวเองให้ดีข้ากับจะต้องปลอดภัยแน่นอนท่านอย่ากังวลนักเลย”มู่ตานพยายามเอ่ยปลอบผู้เป็นสามีที่ตอนนี้เอาแต่ตามติดนางไม่ห่างเลย“อืม ข้าเชื่อว่าเจ้ากับลูกจะต้องปลอดภัยแน่” แม้ปากจะบอกเช่นนั้นแต่สีหน้าของชายหนุ่มกลับไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิดเดียว มือหนาลูบท้องของฮูหยินตนเองเบา ๆ ราวกับต้องการจะสื่อสารกับเจ้าตัวเล็กในท้องจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาสามเดือนแล้ว ตลอดสามเดือนที่ผ่านมามู่ตานไม่ได้มีอาการใดที่น่าเป็นห่วงเลยสักนิดจนกระทั่งวันนี้ นางรู้สึกเจ็บหน่วงตั้งแต่เช้าจึงรีบให้คนไปตามท่านหมอมาดูอาการ เมื่อตรวจดูแล้วกลับพบว่านางกำลังจะคลอดแล้วซึ่งนั้นก็ไม่แปลกอะไรสำหรับท้องแฝดที่จะคลอดก่อนกำหนดด้วยระยะอายุครรภ์กว่าแปดเดือนถือว่าผ่านพ้นช่วงเวลาที่อันตรายมาได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการคลอดบุตรแต่ละครั้งก็ถือว่าอันตรายมากอยู่ดีเหวินกงอวิ๋นเชิญ
“ตำแหน่งของนางงั้นหรือ ข้าให้ท่านพูดอีกครั้ง ตำแหน่งของใครนะ” ดวงตาแข็งกร้าวของฟางมู่ตานจ้องมองคนมองอย่างน่ากลัว“ขะ…ของเจ้า” จางหวั่นเมี่ยวม่คิดเลยว่าหญิงสาวคนหนึ่งจะมีแรงกดดันมากถึงเพียงนี้“เจ้าค่ะ ของข้า” ฟางมู่ตานกวาดสายตามองพวกเขาทั้งสามคนอย่างช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่อยากระบายมานาน“เรื่องนี้พวกท่านโทษข้าไม่ได้นะเจ้าคะ นิสัยของคนเราส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่กับคนที่เลี้ยงดูมา มารดาเป็นเช่นไร บุตรก็ไม่ต่างกัน พวกท่านตามใจนาง อยากได้อะไรก็เพียงชี้นิ้วสั่ง อยากทุบตีใครก็มีบิดาช่วยปิดเรื่องให้ การที่ข้าถูกนำไปทิ้งนั้นถือเป็นโชคดีของข้ามากทีเดียวนะเจ้าคะ ท่านว่าหรือไม่”มู่ตานมองสบตากับผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด แต่กลับเป็นฟางหมิงชิงเสียเองที่ต้องหลบตานาง“หากวันนั้นท่านไม่ติดนิสัยชอบสั่งให้คนอื่นทำงานให้ ข้าก็คงไม่รอด เรื่องนี้คงต้องขอบคุณท่านแล้ว ต่อจากนี้ไป ข้าไม่ใช่คนตระกูลฟางอีกแล้ว ข้าแต่งเข้าตระกูลเหวินแล้ว จะเป็นหรือตาย ก็เป็นคนตระกูลนี้ อย่าคิดจะด่าข้าว่าอกตัญญูเพราะฟางมู่ตานตายไปตั้งแต่ที่ท่านให้คนเอานางไปฆ่าทิ้งแล้ว”มู่ตานชี้หน้าฟางหมิงชิงทันทีที่เขากำลังจะเอ่ยปาก วัน
อาภรณ์สีแดงสดถูกปลดออกทีละชิ้นอย่างเบามือจนเผยให้เห็นร่างบางขาวเนียนผ่องของหญิงสาว เหวินฟงหนานถึงกลับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อสัดส่วนที่สมบรูณ์แบบปรากฏอยู่ตรงหน้าฟางมู่ตานหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ยิ่งเห็นสายตาของเหวินฟงหนานที่มองมา นางยิ่งทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจก้าวลงอ่างน้ำไปเพื่อให้มันช่วยอำพรางร่างกายของนาง แต่นั้นกลับเป็นความคิดที่ผิดยิ่ง เหวินฟงหนานยกยิ้มมุมปากก่อนจะสลัดเสื้อผ้าออกจากตัวอย่างรวดเร็วระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นจากน้ำหนักของคนที่พึ่งลงอ่างน้ำมาทำเอาฟางมู่ตานนั่งนิ่งไม่กล้าขยับ ก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อถูกฝ่ามือร้อนแตะเข้าเบา ๆ ที่ไหล่เนียนมือหนาวักน้ำขึ้นพร้อมกับลูบไล้เบา ๆ ตั้งแต่ไหล่ขาวลงไปที่ต้นแขนเล็ก ริมฝีปากร้อนกดจูบลงที่ไหล่นวลอย่างแผ่วเบาทำเอาหญิงสาวถึงกับตัวแข็งทื่อเมื่อถูกสัมผัส เขาปัดผมยาวของหญิงสาวออกแล้วกดจูบลงอีกครั้งที่หลังคอระหงจนมู่ตานเผลอปล่อยเสียงที่น่าอายออกมาเหวินฟงหนานก็ยกยิ้มอย่างพอใจทันที“ไม่ต้องกลัว ข้าจะถนอมเจ้าอย่างถึงที่สุดเด็กดี” เสียงกระซิบข้างหูแผ่วเบาทั้งมือที่ลูบไล้ไปตามร่างกายยิ่งทำให้ฟางมู่ตานสะท้านร่างกายไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน นา
ชายหนุ่มลงจากหลังม้าเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวในทันทีด้วยใบหน้าอิ่มความสุขจนทุกคนสัมผัสได้ เขามองหญิงสาวไม่วางตาก่อนจะรับมือนางมาจากชิงหมิงแล้วส่งขึ้นรถม้าด้วยตนเองอย่างใส่ใจเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วขบวนรับตัวเจ้าสาวก็ออกเดินทางจากจวนแห่งนี้เคลื่อนไปยังจวนตระกูลเหวินที่ไม่อยู่ไกลกันนัก ขบวนเจ้าสาวยาวเหยียดสุดสายตาทั้งสินเดิมของมารดาทที่ได้กลับมาแม้ไปทั้งหมดก็ตาม สินเดิมพระราชทาน และเดิมที่ฝ่ายเจ้าบ่าวเติมเข้ามาให้ ทำเอาคนที่เห็นถึงกับอิจฉาตาร้อนโดยเฉพาะคนที่แอบหนีมาอย่างฟางถิงอิงมองทุกอย่างตรงหน้าอย่างคับแค้นใจยิ่งพิธีมากมายที่ต้องทำแม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ดูเหมือนทั้งคู่จะยังยิ้มได้ด้วยใบหน้าอิ่มเอม ฟางหมิงชิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ก็ไม่มีใครใส่ใจนักเพราะก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเพราะเหตุใด เมื่อถึงเวลายกน้ำชาเขายังนั่งนิ่งไม่ยอมรับน้ำชาจากบ่าวสาวจนเหวินฟงหนานเงยหน้าขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มว่าเขาเป็นอันใด แต่สายตาที่ฟางหมิงชิงได้สบนั้นกลับเยือกเย็นจนสามารถแช่แข็งเขาได้เลยมืออันสั่นเทายื่นออกไปรับน้ำชาจากบ่าวสาวช้า ๆ มันสั่นจนน้ำชาหกออกจากถ้วยเล็กน้อยแต่ก็ต้
ฟางถิงอิงยืนนิ่งไม่กล้าขยับไปไหนมือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นมันมีทั้งความรู้สึกอับอาย ทั้งโมโห ที่แค้นเคืองตีกันวุ่นไปหมดในหัวของนาง ดวงตากลมโตเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะมีน้ำใสไหลอาบลงมาอย่างไม่อาจห้าม“อิงเอ๋อร์!! เกิดอะไรขึ้น!!” จางหวั่นเมี่ยวที่เห็นว่าบุตรสาวออกจากจวนมานานแล้วยังไม่กลับเสียที่จึงออกมาตาม เห็นผู้คนมุงอยู่ตรงนี้หลายคนจึงเดินเข้ามาดูด้วยอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นบุตรสาวยืนอยู่กลางวงล้อมของผู้คนในสภาพน้ำตานองหน้า ทั้งยังตื่นตระหนกมากด้วย“พวกเจ้าทำอะไรนาง!! ฟางมู่ตานเจ้าทำอะไรลูกข้า!!” จางหวั่นเมี่ยวตวาดลั่นพร้อมกับรั้งบุตรสาวมาไว้ด้านหลังอย่างปกป้อง“แม่รองถามผิดหรือไม่ ท่านไม่ลองถามบุตรสาวสุดที่รักของท่านดูก่อนเล่า ว่ามาหาเรื่องข้าด้วยเหตุใด มาพูดจาให้ร้ายข้า ฮึก ทำให้ข้านึกถึงเรื่องราวที่เลวร้าย ทั้งที่ข้าต้องการลืมมันไป ฮึก ข้าต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ ฮึก ฮือ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็มาจากท่านไม่ใช่หรือ ที่เอาข้าไปทิ้งไว้เช่นนั้น ฮืออ!!”นอกจากจะเรียกจางหวั่นเมี่ยวว่าแม่รองแล้ว มู่ตานยังทำในสิ่งที่พวกเขาต้องตกตะลึงตาค้างยิ่งกว่า จะมีอะไรเรียกความเห็นใจจากทุ
เมื่อกลับมาถึงจวนสิ่งที่ฟางมู่ตานเห็นเป็นอย่างแรกเลยนั้นคือความวุ่นวายของบ่าวไพร่ที่กำลังขนย้ายต้นกล้วยไม้ขึ้นรถม้า“จะย้ายมันไปที่ไหนกันหรือ” มู่ตานเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านนางไป“คุณชายให้คนย้ายไปที่จวนใหญ่ที่เมืองหลวงขอรับ” เมื่อได้คำตอบแล้วมู่ตานก็ถามหาคนสั่งการต่อก่อนจะเดินไปหาชายหนุ่มตามที่บ่าวรับใช้บอกมาร่างสูงสง่าของเหวินฟงหนานกำลังนั่งอ่านสมุดบัญชีของเดือนนี้อย่างตั้งใจ แต่พอรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวในห้องเขาก็เงยหน้าขึ้นมาดูทันที“ข้าได้ยินว่าท่านสั่งให้บ่าวรับใช้ขนต้นกล้วยไม้ไปที่เมืองหลวง จะทำอะไรหรือเจ้าคะ” หญิงสาวเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ว่างตัวหนึ่งในห้อง“เจ้าลืมงานแต่งของเราหรือ” เหวินฟงหนานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับมองหญิงสาวไปด้วย“ไม่ลืมเจ้าค่ะ ท่านจะให้มันในงานหรือเจ้าคะ”“ใช่ กล้วยไม้นั้นถือว่าหาได้ยากยิ่งน้อยคนนักที่จะสามารถเลี้ยงมันได้เช่นนี้ อีกอย่างเจ้าก็ชอบมันมากไม่ใช่หรือ ข้าจึงให้คนใช้มันร่วมกับดอกโบตั๋นประดับในงาน”“ท่านช่างใส่ใจยิ่งนัก” ฟางมู่ตานเอ่ยยิ้ม ๆ แต่หากฟังให้ดีมันแฝงด้วยน้ำเสียงประชดประชันอยู่เล็กน้อยไม่จริงจังนักนางรู้ดีว่าเจตนาของชายหนุ