เหยียนชางถูก'ส่วนผสมเพิ่มเติม' ในถ้วยชานั้นทรมานตลอด ซึ่งซือหลี่ตันติ่งเป็นผู้ที่เตรียมให้เขาเขาเจ็บปวดมาตลอดเมื่อกาลเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่าเขาดีขึ้นแล้วแต่เริ่มตั้งแต่ยายาออกฤทธิ์ ทุกวินาทีรู้สึกเหมือนหนึ่งปีเขาคิดหลายครั้งแล้วว่า เขาอยากตาย แต่เขาไม่กล้าและไม่ยอมแพ้อย่างนี้ต่อมา องค์ชายห้าซือคงยวี่ได้ยินข่าว จึงมาเยี่ยมเขาแทนฮองเฮา และมอบยาแก้ปวดอันทรงพลังชนิดที่มีคุณค่ามากกว่าทองคำแก่เขาความเจ็บปวดที่เหยียนชางทนมาจึงบรรเทาลงลงได้บ้างแม้ว่าเขายังเจ็บอยู่ แต่อย่างน้อยเขาไม่ได้เจ็บมากจนเขาหมดสติแต่เขายังคงเดินไม่ไหว เพราะเขาไม่มีเรี่ยวแรง เหยียนชางถูกคนขนมาที่หน้าประตูของศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนภายใต้สายตาของทุกคนใบหน้าของเหยียนชางซีดเขียบราวกับกระดาษ สีหน้าของเขาดูแย่มาก“โอ้ ดูเหมือนเขาถูกทรมานมากเลยนะ”“วันนั้นเจ้าได้ไม่เห็นเขาร้องไห้ที่หน่วยสืบสวนพิเศษ”“มันไม่ได้แค่ร้องไห้หนักนะ พูดได้เลยว่า ฉีดราดกางเกง”“เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ตอนนี้เขาถือว่าดีขึ้นแล้ว”“จริง ๆ เลย... รุกรานใครก็ได้ อย่ารุกรานหน่วยสืบสวนพิเศษเลย”แม้ว่าเหยียนชางกำลังถูกความเจ็บปวดทรมาน แ
“เพราะเมื่อก่อนข้าเคยหัวเราะเยาะเจ้าบ่อยมาก” เหยียนชาง เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เขาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าเขาจั๋วซือหรานม้วนริมฝีปากแล้วยิ้มนางสวยอย่างเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากโค้งและรอยยิ้มของนางก็สวยงามมากจนไม่มีใครสู้นางได้ ซึ่งทำให้คนรอบข้างแทบหายใจไม่ออกจั๋วซือหรานกล่าวว่า "ใช่ เจ้าหัวเราะเยาะข้าบ่อยครั้ง แต่นั่นไม่สำคัญ ข้าไม่จำเป็นต้องหัวเราะเยาะเจ้าจริง ๆ หากข้าทำเช่นนั้น ข้ากับเจ้าแตกต่างกันอย่างไร สิ่งที่ข้าต้องการคือชัยชนะ "“ตราบใดที่ข้าชนะ การดูหมิ่นและการเยาะเย้ยที่เจ้ามอบให้ข้าในอดีตก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าเอ่ยถึง คนอื่น ๆ จะมาช่วยข้าด่าคืนเองเป็นเท่า ๆ ” จั๋วซือหรานกล่าวและวางแผ่นป้ายไว้ข้างหน้า ของเหยียนชาง นางเอียงศีรษะและพูด " หัวหน้าเหยียน มาเขียนเถิด"เหยียนชางไม่ได้แก้ตัวหรือหาข้ออ้างถ่วงเวลาอีก เขาและ ตระกูลเหยียนทำทุกอย่างที่ทำได้ แต่ก็ยังห้ามความพ่ายแพ้ไม่ได้ ต้องยอมรับว่ามันผิดตั้งแต่ต้นเหยียนชางหยิบปากกาขึ้นมาจั๋วซือหรานพูดจากด้านข้างว่า "ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แค่เขียนว่า 'ทักษะทางการแพทย์ของตระกูลเหยียนไม่ดีเท่าจั๋วซือหราน ' ด้วยตั
ครั้งสุดท้ายที่เหยียนชางออกมาจากหน่วยสืบสวนพิเศษ เขาคุกเข่าต่อหน้าจั๋วซือหรานภายในสามก้าวหลายคนเห็นฉากนี้ใบหน้าของเหยียนชางแข็งทื่อ แต่ตอนนี้เมื่อเรื่องถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่สามารถปฏิเสธอีกต่อไป“ก็ได้ ข้าขอโทษเจ้า” เหยียนชางบีบเสียงออกจากลำคอจั๋วซือหรานพยักหน้า นางไม่มีเจตนาที่จะหัวเราะเยาะเขาหรือคนของตระกูลเหยียน นางแค่ต้องการสิ่งที่นางพูดไว้ในก่อนหน้านี้นางแค่ต้องการชัยชนะ แล้วหลังจากนั้น สำหรับการหัวเราะเยาะเหล่านั้น จะมีคนพูดแทนนางโดยที่นางไม่ต้องทำอะไรจั๋วซือหรานหยิบป้ายขึ้นแล้วหันหลังกลับ นางกำลังอยากจากไปหลังจากนางเดินไปไม่กี่ก้าว นางก็มองไปทางผู้อาวุโสสี่เหยียน และพูดว่า " ผู้อาวุโสสี่เหยียน ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาสัญญาและปิดศูนย์การแพทย์โดยเร็วที่สุด"“สำหรับร้านขายยาของตระกูลเหยียนที่ตกลงกันว่าจะจัดหาวัสดุให้ข้า วิธีที่ดีที่สุดคือส่งคนมาติดต่อข้า โอ้ ข้าคิดว่า เหยียนฉีเป็นคนที่เหมาะสมมาก”จั๋วซือหรานกล่าวไป ม่านตาของนางก็แคบลงเล็กน้อย "เพราะข้าไม่มีความประทับใจที่ดีต่อตระกูลเหยียน หากเจ้าส่งคนที่โง่เขลาและทำให้ข้าขุ่นเคือง อย่ากล่าวหาว่าข้าไม่มีมารยาทละกัน"นางก
จั๋วหวายถามท่านพี่ "ทำไมท่านพี่ไม่ทานขอรับ"“วันหลังจะมีอีกเยอะ เมื่อข้าจัดการเรื่องของตระกูลเหยียนเสร็จแล้ว ยาเม็ดเหล่านี้ มีอีกเยอะจ้ะ” จั๋วซือหรานพูดเบา ๆ น้ำเสียงของนางสงบมากจากนั้นนางก็ลูบหัวของจั๋วหวาย แล้วพูดว่า "เพราะฉะนั้นเจ้ากินเถิด ไม่เป็นไร"ในความเป็นจริง นางไม่มีญาติในชีวิตที่แล้ว นางเป็นผู้ที่ลำพังผู้เดียว ดังนั้นนางจึงเป็นคนที่ไม่แยแสความรักในครอบครัวมากนัก แต่ในชีวิตนี้ นางมีท่านแม่และน้องชายโดยไม่มีเหตุผลแม้ว่านางจะรู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่ก็ค่อนข้างรู้สึกแปลกใหม่เช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จั๋วซือหรานยังคงจำได้ว่าในโชคชะตาดั้งเดิมของเจ้าของร่างเดิม จั๋วหวายไม่ยอมละทิ้งพี่สาวของเขาจนกว่าจะถึงจุดจบ เขามักรู้สึกว่าพี่สาวของเขาถูกหลอกโดยคนร้าย แม้ว่าเขาจะผิดหวังกับพี่สาวของเขาก็ตาม เขายังคงอยากเชื่อนางตื่นขึ้นมาได้สุดท้ายเขาก็สิ้นสุดชีวิตในระหว่างทางลี้ภัย“ท่านพี่ขอรับ ท่านพี่กำลังคิดอะไรอยู่ขอรับ” จั๋วหวายเห็นจู่ ๆ ท่านพี่ของเขาไม่พูดอะไรและดูเหมือนไม่มีสมาธิ เขาจึงยื่นมือออกไปแล้วโบกมือต่อหน้าต่อตานางจั๋วซือหรานมีสมาธิกลับ จากนั้นนางยิ้มกับเขา "ไม่มีอะไร เอาล่ะ
“เจ้ามาทันพอดี มานี่เร็วเข้า”คำพูดของจั๋วซือหรานฟังดูเหมือนนางรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นมานานแล้ว น้ำเสียงของนางปกติเหมือนคุยกับคนรู้จักกันเมื่อชายคนนั้นได้ยินคำพูดของนาง เสียงฝีเท้าของเขาก็หยุดลงเขาหยุดฝีเท้า จั๋วซือหรานก็หันกลับมามองเขา นางโบกมือใส่เขา และพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า " ท่านอ๋อง ข้ามีเรื่องจะปรึกษาด้วยน่ะ รีบมาเร็ว ๆ นี้"เฟิงเหยียนยืนอยู่ที่นั่นและมองนาง "เจ้าทำให้ตระกูลเหยียนวุ่นวายกันหมด แต่เจ้ากลับหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว"จั๋วซือหรานยิ้มเมื่อนางได้ยินคำพูดนี้ "ข้าเป็นผู้ที่ทำให้พวกเขาวุ่นวายหรือ หากพวกเขาเป็นน้ำหนึ่วอันเดียวกัน ข้าก็ไม่สามารถกวนพวกเขาได้ เดิมที่พวกเขาไม่สามัคคีอยู่แล้ว ดังนั้นแน่นอนว่า ข้าก่อกวนเล็กน้อย พวกเขาก็ทะเราะกันได้"เฟิงเหยียนไม่ปฏิเสธคำพูดของนาง เขาแค่พูดว่า "ทำไมเจ้าไม่ให้เหยียนฉีรักษาเจ้าล่ะ อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ ยาเม็ดนั้นเอาให้เด็กคนนั้นกินด้วย"จั๋วซือหรานเลิกคิ้วและยิ้ม " ท่านอ๋องค่อนข้างสนใจข้านะ เป็นห่วงข้าขนาดนั้นเลยหรือ"เฟิงเหยียนไม่ตอบคำถามของนาง เขาแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยจั๋วซือหรานรู้ว่าชายคนนี้เป็นเหมือนก้อนน้ำแข็ง
เหยียนฉี ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เขาฟังจริง ๆ แต่ไม่ใช่เพราะเหยียนฉีจงใจไม่บอกเขา แต่เป็นเพราะเมื่อเหยียนฉีกลับมาที่ศูนย์การแพทย์ เฟิงเหยียนไปจากศุนย์การแพทย์แล้วเมื่อเฟิงเหยียนได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาไม่พูดคำใด ๆหลังจากเขาเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามเบา ๆ "เมื่อครู่นี้ เจ้าพูดว่าข้ามาทันเวลา มีเรื่องอันใดหรือ"ไม่ใช่จั๋วซือหรานไม่เข้าใจทัศนคติของชายคนนั้นในการเปลี่ยนเรื่อง แต่นางเดาไม่ถูกว่า เขาจะปฏิเสธ เขินอาย หรือมีอารมณ์อื่น...กล่าวโดยสรุป ไม่ว่าเขาจะมีอารมณ์อย่างไรก็ตาม จั๋วซือหราน ก็รู้สึกว่านางสามารถรับมือได้ทุกเรื่องเมื่อได้ยินเฟิงเหยียนพูดเช่นนี้อีก จั๋วซือหรานตระหนักได้ว่า "อ้าว ใช่เลย โปรดท่านอ๋องช่วยข้าเผาคำบนแผ่นป้ายนี้ให้หน่อยได้ไหม"เฟิงเหยีย มองไปที่แผ่นป้าย ซึ่งแผ่นป้ายนั้นแสดงถึงความอับอายของตระกูลเหยียนและเหยียนชางเขาเหยียดนิ้วออกและวางมันลงบนแผ่นป้าย จากนั้นเขาหันสายตาแล้วถามจั๋วซือหราน “จะแกะสลักรูปนูนสูงหรือแกะสลักรูปนูนต่ำ”“แกะสลักรูปนูนต่ำละกัน” จั๋วซือหรานกล่าวทันทีที่นางพูดจบ ปลายนิ้วของเฟิงเหยียนก็วางลงบนแผ่นป้าย ปลายนิ้วของเขาเดินไปรอบขอบของข้
“ฉันอยากทำของกินเอง ไม่เกี่ยวข้าจะมีคนรับใช้หรือเปล่าหรอกนะ” จั๋วซือหรานพูดและเงยหน้าขึ้นมามองเฟิงเหยียน “คนรับใช้อาจจะทำกับข้าวสู้ข้าไม่ได้ก็ได้”“พูดเช่นนั้นก็ไร้ยางอาย” เฟิงเหยียนพูด และเมื่อเขาเห็นนางไม่รู้สึกเสียใจเพราะนางไม่มีคนรับใช้ เขาก็โล่งใจจั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้นมามองเขา นางยิ้ม " ท่านอ๋องไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นอย่าเพิ่งกลับก่อน อยู่ที่นี่ และรอชิมฝีมือของข้า"เมื่อฝูซูืถอชาเข้ามา เขาเห็นคุณหนูของเขาสวมชุดสีขาว มือข้างหนึ่งจับเข่าของนาง นางกำลังนั่งยอง ๆ เงยหน้าขึ้นและมองเฟิงซื่อจื่อเฟิงซื่อจื่อมีรูปร่างสูงและตรง เขาสวมชุดคลุมสีดำ ยืนอยู่ที่นั่นและมองลงไปที่คุณหนูภาพนี้ ฝูซูรู้สึกว่าเขาไม่ได้อ่านหนังสือมามากนัก เขาเลยไม่รู้จะบรรยายภาพนี้อย่างไร แต่เขาแค่รู้สึกว่าความแตกต่างระหว่างสีขาวและสีดำนั้น ซึ่งสวยอย่างเป็นภาพวาดทันใดนั้นเขาไม่อยากเดินเข้าไป เพราะกลัวจะรบกวนบรยากาศที่เหมือนภาพวาดจั๋วซือหรานหันไปมองเขาแล้วถามว่า "นี่คือแกะอะไร และเป็ดตัวนี้... "จั๋วซือหรานมองไปที่เนื้อแกะตรงหน้านาง กลิ่นนั้นแตกต่างจากเนื้อแกะที่นางรู้จัก และเป็ดตัวนี้ด้วย เพราะเป็ดนี้ยังมีชี
......จั๋วซือหรานหยิบกับข้าวบางอย่างออกมา แล้วให้ฝูซูจัดชั้นวางให้นางจั๋วซือหรานยกมือขึ้นและขีดเส้นในอากาศ "ก็คืออย่างนี้ อย่างนี้ และชั้นแบบนี้ เอาแบบคล้าย ๆ กันก็พอ แล้วหาตะขอเหล็กมาให้ข้าด้วย ข้าต้องย่างแกะชิ้นนี้ เนื้อแกะนี้ใหญ่มาก""ก่อเตาหินให้ข้าแล้วเอาหม้อมาให้ข้าด้วย ข้าจะทำแกง แล้วลวกกินเนื้อแกะที่เหลือ" จั๋วซือหรานสั่งงานส่วนเป็ดตัวนั้น ก็ถูกฆ่าตายเรียบร้อยแล้ว หลังจากผัดในน้ำมัน จนมีกลิ่นหอม แล้วเติมเครื่องเคียงต่าง ๆ ลงไปผัดในหม้อเดียวไม่ต้องพูดถึงว่ามีกลิ่นหอมแค่ไหนจั๋วซือหรานได้วางแผนไว้และจัดเตรียมการไว้แล้วแม้ว่าฝูซูจะปฏิบัติตามคำสั่งของคุณหนู แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ถูกต้องเล็กน้อย "คุณหนูขอรับ ทำเช่นนี้ได้หรือ มิเช่นนั้น เราไปหาคนอื่นทำให้เถิด คนในลานด้านนอกมีบางคนทำอาหารเก่ง"จั๋วซือหรานจับปีกเป็ดทั้งสองข้างด้วยมือเดียวแล้วมองไปที่ฝูซู "แล้วกับข้าวที่พวกเขาทำ เจ้ากล้ากินหรือ"ฝูซูคิดสักพักแล้วส่ายหัวแล้วพูดว่า "ไม่กล้าขอรับ บางทีพวกเขาอาจกำลังฉวยโอกาสทำร้ายเราก็ได้นะขอรับ"ทันทีที่ฝูซูพูดจบ เขาเห็นคุณหนูของเขาดึงคอเป็ดมงกุฎแดงขึ้นมาแล้ว ดึงขนของคอเป็ดออกแล
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"