จากนั้นเขาก็แนะนำให้เขารู้จักชิ่งหมิง " ชิ่งหมิง นี่คือน้องชายของข้า จั๋วหวาย มาทำความรู้จักกันเถิด"ชิ่งหมิงยืนอยู่ข้างเสา แต่ตอนนี้เขาย่อตัวไปด้านหลังเสาและมองมาทางนี้อย่างระมัดระวังจั๋วซือหรานทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ชายหนุ่มคนนี้ทำให้นางรู้สึกว่า... เสาหลักดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเขาจั๋วหวายไม่ได้เขินอายขนาดนั้น ดังนั้นเขาจึงมองชิ่งหมิงอย่างละเอียด “แต่เขาดู..ไม่เด็กมากนัก”“ดูไม่เด็ก จะเล่นด้วยกันไม่ได้หรือ แล้วเจ้าอายุนี้แล้ว ท่านแม่ยังเรียกเจ้า ลูกรัก เลย” จั๋วซือหรานเลิกคิ้วแล้วถามใบหน้าของจั๋วหวายแดงเหมือนโดนไฟไหม้ "ท่านพี่" เขาพูดอย่างกังวล "ทำไมท่านพี่พูดทุกเรื่องน่ะ"จั๋วซือหรานยกเท้าขึ้นและเตะบั้นท้ายเบา ๆ "เข้าไปทำงานเลย และนำอาหารออกมา ข้าทำกับข้าวให้แล้ว ดังนั้นข้าไม่รัมผิดขอบถ้วยกับตะเกียบแล้ว"จั๋วหวาย ชิ่งหมิง และฝูซูดูเหมือนอายุไม่ต่างกันมากนักพวกเขาทั้งสามเข้าไปในห้องรับประทานอาหารด้วยกัน และจัดเรียงอาหาร ชาม และตะเกียบเรียบร้อยดูเหมือนจะไม่ได้คิดอะไรผิดปกติโดยปกติแล้ว แม้ว่าเดิมทีฝูซูเป็นคนรับใช้อยู่แล้ว ก็คงจะไม่บ่นตัวเองต้องทำงานบ้านท้ายที่สุด จั๋
อาจเป็นเพราะบรรยากาศดีหรืออาจเป็นเพราะอาหารอร่อย สรุปก็คือชิ่งหมิงรู้สึกผ่อนคลายมากจั๋วซือหรานรินชาให้เขาแล้วพูดว่า "ลองดูสิ ข้าชงเอง"ชิ่งหมิงยกถ้วยขึ้นและดื่มชา เขากระพริบตา เขารู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ “กลิ่นหอมมากนัก ฝีมือของเจ้ายอดเยี่ยมมาก”จั๋วซือหรานเลิกคิ้วแล้วมองเขา "ไม่ตื่นตระหนกแล้วนะ"ชิ่งหมิงกลอกตาและพยักหน้า "ไม่... ได้ตื่นตระหนกขนาดนั้น"“สรุปท่านตื่นตระหนกเมื่อหิว และผ่อนคลายเมื่อทานข้าวอิ่ม” จั๋วซือหรานถือถ้วยชาและพูด“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของเจ้า” ชิ่งหมิงกล่าว “เดิมทีข้ามาที่นี่เพื่อเรื่องการหลอมอาวุธ”ชิ่งหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ "แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะแนะนำ... เพื่อนตัวน้อยให้ข้ารู้จัก"เขามองจั๋วซือหรานอย่างจริงจังและพูดว่า "ข้ามีอายุมากแล้ว ข้าแก่กว่าเจ้า"จั๋วซือหราน มองชิ่งหมิงอย่างจริงจังและพูดว่า "ไม่จริงแน่ ๆ "สีหน้าของนางดูจริงจังมากจนชิ่งหมิงอดไม่ได้ที่ต้องหัวเราะ ดวงตาของเขาบิดเบี้ยว "ข้าจี๋กวาน"(สมัยก่อน เด็กชายจีนเมื่อมีอายุ 20 ปี ก็จะมีพิธีสวมเครื่องประดับบนศีรษะ เรียก จี๋กวาน )จี๋กวาน นั่นหมายความว่า... อายุยี่สิบปีแล้วไม่ใช่หรือจ
ชิ่งหมิงมองจั๋วซือหราน และไม่ตอบอะในไรทันทีทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่า จั๋วซือหรานเคยถูกลงโทษในหน่วยสืบสวนพิเศษ และดูเหมือนว่า ในเวลานั้น ซือเจิ้งท่านนี้อยู่ในหตุการณ์นั้นชิ่งหมิงสงสัยว่านางมีข้อโต้แย้งต่อท่านซือเจิ้งอยู่ในใจหรือไม่?เพราะอยากที่นางกล่าว หากนางมีข้อโต้แย้งกับใครก็ตาม นางต้องแก้แค้นแน่ ๆชิ่งหมิงอดไม่ได้ที่ต้องโน้มน้าว "อย่า... มีความแค้นใด ๆ กับซือเจิ้ง ต้องรับ...สูญเสียมาก"เมื่อจั๋วซือหรานได้ยินคำพูดนี้ นางรู้ชิ่งหมิงกังวลอะไร นางก็หัวเราะทันที "ข้าแค่อยากรู้ ข้าจะกล้าไม่พอใจใต้เท้าซือเจิ้งได้อย่างไร"ตอนนี้นางไม่กล้าไม่พอใจ แต่ในอนาคต ก็ไม่แน่ใจนะจั๋วซือหรานนึกถึงชายที่สวมหน้ากากลายเปลวไฟสีแดงในตอนนั้น เขามองนางด้วยสายตาอันเย็นชาขณะที่นางกำลังถูกเหยียนชางใส่ร้ายและบังคับยอมรับความผิดนางยังอดไม่ได้ที่ต้องโกรธเล็กน้อยแต่ผู้ที่มีนิสัยบริสุทธิ์อย่างชิ่งหมิง เขาเป็นห่วงจั๋วซือหรานโดยไม่มีความคิดอย่างอื่น ดังนั้นแน่นอนว่าเขาฟังไม่ออกคำพูของจั๋วซือดหรานดังนั้นหลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาก็พยักหน้าและกล่าวว่า "ใต้เท้าซือเจิ้งถูก...สภาผู้อาวุโส...แต่งตั้งโ
ชิ่งหมิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย "เพราะ... ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเก่งเรื่องการหลอมอาวุธ และ และหากเจ้าเรียนรู้วิธีหลอมอาวุธ เจ้าอาจสามารถเข้าลัทธิเดียวกับข้าได้ใน อนาคต. "ขณะที่เขาพูดอย่างนั้น ความเขินอายบนใบหน้าของชิ่งหมิงก็แสดงให้เห็นชัดเจนมากขึ้น "หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็เป็นรุ่นพี่แล้ว"จั๋วซือหรานหัวเราะเมื่อนางได้ยินคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเขา "อ้าว ขยันขนาดนี้ สรุปแค่เพื่อใช้ประโยชน์หรือ ไม่ต้องเรียกท่านเป็นพี่แล้ว ไหน ๆ ท่านสอนข้าหลอมอาวุธแล้ว.. ” จั๋วซือหรานจับคางของนางไว้ในมือข้างหนึ่ง นางยิ้มและมองเขา นางพูดว่า "... แล้วข้าจะเรียกท่านว่า อาจารย์น้อย เป็นอย่างไรเจ้าคะ"ใบหน้าเล็ก ๆ ที่สวยงามของนาง ด้วยท่าคางขี้เกียจและดวงตาที่ยิ้มแย้มของนาง นางเหมือนนางฟ้าที่มีเสน่ห์อย่างมากจากนั้นเห็นได้ชัดว่า ใบหน้าของชิ่งหมิง เปลี่ยนเป็นสีแดงจนแดงถึงคอของเขา “ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ได้ ข้าไม่มี ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะรับลูกศิษย์ได้”...อย่างไรก็ตาม อย่างไรก็ตาม ให้ข้าสอนเจ้าละกัน สนุกมาก”จั๋วซือหรานไม่คัดค้านเรื่องนี้ นางพยักหน้า "รับทราบเจ้าค่ะ บังเอิญว่าข้าก็ค่อนข้างสนใจหลอมอาวุธเช่นกัน"นางมีประส
นี่คือใบหน้าที่ไม่มีอะไรผิดปกติ โครงร่างนั้นเฉียบคมและกล้าหาญ และใบหน้าก็ถือได้ว่าหล่อ แต่... มันทำให้ผู้คนรู้สึกจริงจังและตรงไปตรงมาตั้งแต่แรกเห็นความตรงไปตรงมานั้นดูเหมือนถูกจารึกไว้ในกระดูกเหมือนไม่มีรอยยิ้มใด ๆ บนใบหน้านี้แม้ว่าจั๋วหวายและฝูซูจะไม่รู้จักเจ้าของของใบหน้านี้ได้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าทำผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของชิ่งหมิง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทราบตัวตนเฉพาะของบุคคลที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาก็ตาม พวกเขาสามารถเดาตัวตนโดยประมาณได้พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่าเมื่อเทียบกับใบหน้าเสมือนก้อนน้ำแข็งตรงหน้า ชิ่งหมิงเป็นเด็กน่ารักที่เอาใจใส่ผู้อื่นจั๋วซือหรานตระหนักได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าบุคคลนี้เป็นใครในขณะที่นางเห็นเขานางก้มตาแล้วยิ้ม "วันนี้จวนของข้าคึกคักจัง"ชายคนนั้นจ้องมองจั๋วซือหรานด้วยสายตาที่ไม่แยแส เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบมาก "ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่า เมื่อเจ้าสัญญากับ ชิ่งหมิง เจ้าต้องรักษาคำพูดของตัวเอง"จั๋วซือหรานพูดอย่างช่วยไม่ได้ "เพราะว่าช่วงนี้ข้ามีปัญหามากเกินไป"ใช่ ผู้มาเยือนไม่ใช่ใครนอกจากซือหลี่ตันติ่ง เวินป๋อยวนเสียงของเวินป๋อยวนยัง
ของที่บรรจุอยู่ในกล่องคือแมลงที่กำลังบิดตัวไป ๆมา ๆ และขยับตัวไปทางซ้ายและขวาในกล่อง มันกำลังพยายามหลีกเลี่ยงเลือดของนางนี่คือหนอนพิษกู่ที่จั๋วซือหรานไล่ออกจากร่างกายของไทเฮาในก่อนหน้านี้ นางเลี้ยงมันตลอดเวลา แต่นางแค่เลี้ยงมันโดยไม่ได้สนใจมันมากนักในทุกวันนี้ เนื่องจากนางยุ่งตลอด ดังนั้นนางจึงไม่มีเวลาดูแลมันแค่คืนนี้นางไม่รู้จะทำอะไรเลย นางเลยหยิบมันออกมา เล่นกับมัน เพราะนี่คือหนอนพิษกู่ที่มีเจ้าของแล้ว ดังนั้นมันต้านทานเลือดของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของของหนอนพิษกู่ แต่มันจำเป็นต้องพึ่งพาเลือดของจั๋วซือหราน เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตต่อได้เพียงแต่ว่า ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จั๋วซือหรานสังเกตหนอนพิษกู่นี้ปฏิเสธและต่อต้านเลือดของนางอย่างมาก และดูเหมือนว่ามันอยากจะอดอาหารมากกว่า จะได้ไม่สัมผัสเลือดของนางจั๋วซือหรานหันไปมองชายคนนั้น " ท่านอ๋อง ท่านรู้เกี่ยวกับลิทธิกู่ของดินแดนทางใต้หรือไม่"เฟิงเหยียนเดินไปเคียงข้างนางแล้ว และทันทีที่เขาลดสายตาลง เขาก็สบตากับดวงตาที่อันงดงามของนางเขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “เจ้าลืมใครช่วยเจ้ากำจัดเสน่ห์หนอนพิษกู่หรือ”จั๋วซือหรานตกตะลึงเมื่อได้ย
" เฟิงเหยียน เจ้า..." จั๋วซือหรานไม่รู้เฟิงเหยียนกำลังทำอะไรอยู่จริง ๆ ตามความเข้าใจในทักษะทางการแพทย์ของนาง จั๋วซือหรานไม่เคยคิดเลยว่าเฟิงเหยียนกำลังรักษานางแต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกได้ชัดเจนว่ามีบางอย่าง... ถูกดึงออกจากร่างกายของนางจั๋วซือหรานกระพริบตาเล็กน้อย จากนั้นนางกระพริบอีกครั้ง และถามด้วยเสียงต่ำว่า "เจ้าทำอะไรไป"เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก หากพวกเขาพูดดังขึ้น พวกเขาก็จะกังวลว่าจะสัมผัสหรือรบกวนซึ่งกันและกัน ดังนั้นแม้แต่เสียงพูดของพวกเขาก็ลดลงเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจมันค่อนข้างสนุกเมื่อได้เห็นหญิงสาวที่หยิ่งผยองพูดเบา ๆเสียงของเฟิงเหยียนก็เบาลงเช่นกัน "ไม่มีอะไร เพียงเพื่อไม่ให้เจ้าทำให้หนอนตาย"ลมหายใจที่เย็นชื่นใจและร้อนของชายคนนั้นสัมผัสทุก ๆ ส่วนของประสาทสัมผัสของนางจั๋วซือหรานอดไม่ได้ที่ต้องถาม "แล้ว... เสร็จหรือยัง"“เสร็จแล้ว” เฟิงเหยียนตอบ แต่เขาไม่ได้ขยับตัวห่างจากนางในเมื่อเขาจัดการเสร็จแล้วแต่หลังจากจั๋วซือหรานได้ยินคำตอบนี้ นางก็ตกตะลึงแล้วก้าวถอยหลัง“ลองดูสิ ตอนนี้มันคงไม่อดอาหารแล้ว” เฟิงเหยียนกล่าว และสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไป ราวกั
ในตำหนักหนึ่งหลังของพระราชวัง บนเตียงอันหรูหราในตำหนัก เด็กหญิงคนหนึ่งที่กำลังหลับอยู่ก็ลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน นางก้มตัวลงและพิงที่ข้างเตียง "พัฟ——"เลือดเต็มปากพุ่งออกมาการเคลื่อนไหวของนางทำให้สาวใช้ในวังตื่นทันที เดิมทีสาวใช้คอนนี้ทกำลังเอนตัวอยู่ข้างเก้าอี้สำหรับวางเท้า เพื่อรอรับใช้ เมื่อได้ยินเสียงอ้วก สาวรับใช้จึงรีบเทียนทันทีและพูดว่า "องค์หญิง เกิดอะไรขึ้นเพคะ..."สาวใช้ในวังถือเชิงเทียนแล้วมองไปที่คนบนเตียง นางตกใจมาก แต่นางก็ไม่กล้าส่งเสียดัง"องค์หญิงเป็นอะไรไปเพคะ"เด็กผู้หญิงที่นอนอยู่ข้างเตียงเช็ดเลือดที่มุมริมฝีปากของนางด้วยผ้าเช็ดหน้าอย่างไม่ตั้งใจ ดวงตาของนางค่อย ๆ เย็นลงและเย็นชาลง และนางยิ้มอย่างไร้ความอบอุ่น“ไปเอากล่องจากตู้ข้าง ๆ มา” หญิงสาวสั่ง “อันที่มีลายสีน้ำเงิน”สีหน้าของสาวใช้วังเปลี่ยนไปทันที เห็นได้ชัดว่านางกลัวกล่องที่องค์หญิงพูดถึงมาก แต่นางไม่กล้าขัดคำสั่ง "หม่อมฉันรับทราบเพคะ"นางค่อย ๆ นำกล่องเคลือบที่มีฝีมือดีและลวดลายประณีตออกมาจากตู้ด้านข้างอย่างระมัดระวัง พื้นผิวของกล่องถูกแกะสลักด้วยลวดลายสีน้ำเงินทอง และมีเสียงการเคลื่อนไหวดังจากด้านใน
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย