จั๋วซือหรานมองไปที่หน้ากากของชายคนนั้นที่มีรูปแบบเปลวไฟสีแดง นางเห็นแววตาที่อยากรู้อยากเห็นในดวงตาของเขา นางอดไม่ได้ที่ต้องรู้สึกตัวเองหมดคำพูดสีหน้าของนางดูทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ซึ่งค่อนข้างทำให้ผู้คนประหลาดใจ เพราะผู้หญิงคนนี้สามารถวางกลยุทธ์และทำทุกอย่างได้อย่างง่ายดายสีหน้าที่ผู้คนมักจะเห็นบนใบหน้าของนางนั้นคือความสงบไม่ต้องพูดถึงอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความเศร้า ความกลัว และความเกลียดชัง ใบหน้าของนางไม่มีสีหน้าที่หมดคำพูดเหมือนอย่างที่นางมีในตอนนี้แต่ในขณะนี้ สีหน้าของนางบอกได้ว่า นางกำลังไม่รู้ต้องทำอย่างไรดี“จริง ๆ แล้ว มันไม่ของวิเศษอะไรหรอก มันเป็นแค่อุปกรณ์เล็ก ๆ ” จั๋วซือหรานกล่าว“แม่นางถ่อมตัว” เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวพูดอย่างเคร่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สบายใจเพราะจั๋วซือหรานโกงเขาต่อหน้าซือเจิ้งของหน่วยสืบสวนพิเศษดังนั้นเขาจึงพูดอย่างเย็นชาเล็กน้อยในขณะนี้ “อุปกรณ์ขนาดเล็กสามารถทำให้นักฆ่าของข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจากระยะไกลได้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ง่ายเลย ยิ่งทำให้ข้าอยากเห็นมาก”ซือเจิ้งของหน่วยสืบสวนพิเศษไม่พูดอะไร แต่มองนางครู่หนึ่งวินาทีต่อมา จั๋วซือหรานส่ายแขนเสื้อ แล
สถานการณ์ในสนามยิ่งวุ่นวายและปั่นป่วน เสียงของปืนดังเช่นนี้ ซึ่งปิดบังความวุ่นวายของสนามฝึก ทำให้ทุกคนตกตระลึงคนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเสียงนั้นคืออะไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญกับเสียงดัง ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือ พวกเขาจะคิดว่ามีอันตรายเกิดขึ้นหรือไม่ และสัญชาตญาณแรกของพวกเขาคืออยากหนีทันใดนั้นทุกคนในก็เริ่มปั่นป่วน และผู้คนจากหอฟ้าดาวควบคุมสถานการณ์ได้จั๋วซือหรานหยุดยิง นางหันไปมองเจ้าสำนักของหอฟ้าดาว "แค่นี้พอหรือยัง"นางถามต่อ "หากเจ้าคิดว่าแค่นี้ยังไม่พอ ข้าเต็มใจที่จะฆ่าใครสักคน ให้เจ้าเห็นเลือดหน่อย""..." สีหน้าของเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวดูมืดมนเล็กน้อย เขาเงียบไปสองสามวินาทีแล้วพูดว่า "พอแล้ว"จั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้นอย่างที่นางคาดไว้ หลอกเขาง่ายมากโดยปกติแล้ว ระยะห่างจากชั้นสองถึงก้นชามนั้น จริง ๆ แล้วไกลกว่าระยะห่างจากหอนาฬิกาถึงประตูห้องของนางในวันนั้นมากมายแต่นางมันใจตัวเองสามารถหลอกผู้คนได้ ท้ายที่สุด ของชิ้นนี้ดูไม่เหมือนคันธนู แต่มันเป็นอาวุธระยะไกล และมันก็ส่งเสียงดังมากมันสามารถหลอกคนได้ง่ายโดยปกตินี่คือพลังของอาวุธสุดร้อนแรง“ข้าขอดูหน่อยไ
เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวรู้สึกเขินอายเล็กน้อยในความเป็นจริง เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเอาปืนนี้ เขาจะไม่ทำเรื่องที่น่าเกลียดขนาดนี้หรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ยังมีซือเจิ้งของหน่วยสืบสวนพิเศษอยู่ด้วยแต่เขามีความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาเอง เช่น หากเขาลูบปืนนี้นาน ๆ หน่อย จั๋วจิ่วอาจจะเต็มใจที่จะมอบอาวุธนี้ให้เขาเล่นด้วยจากนั้นเขาจะมีเวลามากพอที่จะหาช่างมาหาวิธีทำอาวุธนี้ จากนั้นเขาค่อย ๆ ศึกษาอาวุธชิ้นนี้ เขามีนักกลั่นอาวุธรับใช้เขาอยู่ หากเขาสามารถทำอาวุธชิ้นนี้ได้...แม้ว่าคนที่มีการฝึกฝนที่เป็นทางการจะดูถูกอาวุธนี้ แต่ราชวงศ์ เชื้อวงศื และเหล่าขุนนางมีผู้ที่ไม่ขาดแคลนเงินอย่างมาก พวกเขาอาจอยากใช้เงินซื้อของเล่น ไม่ต้องห่วงเรื่องกำไรเพราะ แม้แต่จะติดอัญมณีไว้บนดาบสั้นของพวกเขา พวกคนโง่ที่มีเงินจำนวนมากเหล่านี้ยังแข่งราคาในงานประมูลได้หากเขาหลอมอาวุธนี้ออกมาได้จริง ๆ เขาติดอัญมณีไว้บ้างและทำให้สวยหน่อย แล้วเขาแต่งเรื่องที่ว่า อาวุธชิ้นนี้สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณและเกือบจะหายไปแล้ว และเผยแพร่สู่โลกภายนอก เขาไม่ต้องกังวลคนโง่ที่มีเงินมากมายไม่ซื้อของชิ้นนี้หรอกโดยเฉพาะเขาไม่จำเป็นต
ลวดลายเปลวไฟสีแดงที่สดใส ซึ่งเรียกได้ว่าน่าหลงใหลก็หายไปแล้วหน้ากากของเวลานี้ดูเหมือนหน้ากากธรรมดา ในเขตตะวันตกของเมือง มีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการปกปิดตัวตนของตัวเอง พวกเขามักจะใช้วิธีการปกปิดที่หลากหลาย บางคนเช่น จั๋วซือหรานสวมหมวกผ้ากอซ และโดยธรรมชาติแล้วก็มีคนสวมหน้ากากด้วยทุกคนเห็นคนใส่หน้ากากบ่อยครั้ง เลยไม่แปลกใจแต่ในขณะนี้ หน้ากากบนใบหน้าของชายที่อยู่ข้าง ๆ นางดูธรรมดา ๆ ไม่ดึงดูดความสนใจของใครเลย พูดได้เลยว่า ไม่มีใครสนใจเขาเลยจั๋วซือหรานรู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่ต้องหัวเราะ "ใต้เท้าเตรียมการดีจริง ๆ ข้ากังวลมากเกินไปเอง"จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาและพูดไปด้วย แม้ว่าหน้ากากจะแน่นมากจนมองไม่เห็นใบหน้าเลย แต่ก็ยังสามารถมองเห็นโคงร่างบางส่วนได้จากขอบของหน้ากากต้องบอกว่าผู้ใหญ่ท่านนี้มีรูปทรงที่คมมากว่ากันว่าคนที่หน้าตาดีส่วนใหญ่จะคล้ายกัน แต่คนที่น่าเกลียดก็น่าเกลียดในแบบของตัวเอง จั๋วซือหรานรู้สึกว่าหากรูปร่างของผู้ชายดูดี รูปร่างหน้าตาของเขามักจะดูดีเช่น ท่านอ๋อง ซึ่งผู้ห้ามโดนแสงพระอาทิตย์...จั๋วซือหรานไม่รู้ทำไมจู่ ๆ นางถึงคิดถึงบุคคลนั้น แต่ในขณะนี้ นา
จั๋วซือหรานรู้สึกชายคนนี้จ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการซักถามอย่างกระตือรือร้นนั้น ซึ่งสายตานั้นทำให้นางรู้สึกค่อนข้างกดดันแต่นางคือจั๋วซือหราน ตั้งแต่นางเดินทางมายังโลกใบนี้ นางต้องเผชิญกับการกดขี่ทุกรูปแบบนับเรียกได้ว่า ไม่ว่ามีความกดดันมากเท่าไร นางล้วนไม่กลัวแล้วดังนั้นเมื่อเผชิญสายตาของของเขา จั๋วซือหรานไม่เพียงแต่หลบสายตาของเขา นางยังสบตาเขาอีกด้วยและนางยังมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของนางจั๋วซือหรานมองซือเจิ้งของหน่วยสืบสวนพิเศษ นางยิ้มแล้วพูดว่า "ท่านเคยได้ยินประโยคบ้างไหมเจ้าคะ"“อะไร” เขาสงสัย“ยิ่งผู้หญิงสวยเท่าไร นางก็ยิ่งมีความลับมากขึ้นเท่านั้น” จั๋วซือหรานกล่าว และรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ยิ่งหนาขึ้นนางเห็นชายคนนั้นยืนอยู่ที่นั่นเงียบ ๆ เขาเงียบไปไม่กี่วินาที จึงพูดว่า "เจ้าคุยโอ้อวดเหลือเกิน"จั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้น แต่นางยังคงนิ่งเงียบนางไม่อยากโต้เถียง เพราะไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น นางมีหน้าตาเช่นไร นางทราบดีจั๋วซือหรานไม่อยากเจาะลึกประเด็นนี้ เดิมทีเขาพูดเช่นนี้ เพียงเพื่อขัดจังหวะนายของซือเจิ้ง เขาจะได้ไม่เจาะลึกคำถามต่อไปที่ว่าปืนกระบอกนี้มาจากไหน
เขาขมวดคิ้วและมองคนรับใช้ของเขา " จั๋วจิ่วบอกเจ้าว่าราคาต่ำสุดที่ตระกูลเหยียนเสนอนั้นคือสองเท่าของราคาเดิมเช่นนั้นหรือ"“ขอรับ” คนรับใช้พยักหน้าผู้อาวุโสสามพูด "นางบอกเจ้าอย่างไร เจ้าพูดอย่างละเอียดอีกสิ"“ คุณหนูจิ่วบอกข้าว่า ราคาต่ำสุดที่ตระกูลเหยียนเสนอได้คือสองเท่าของราคาเดิม จะไม่มีราคาที่ต่ำกว่านี้อีกแล้ว และตระกูลเหยียนให้ราคานี้เพราะคึณหนูจิ่วเดิมพันชนะ พวกเขาจึงต้องยอมลดราคานี้ให้"คนรับใช้สังเกตเห็นสีหน้าของผู้อาวุโสทุกคนแย่มาก ดังนั้นเขาจึงลังเลที่จะพูดต่อผู้อาวุโสเจ็ด จั๋วอี้ พูดกับเขาว่า "พูดต่อเลย"คนรับใช้จึงพูดต่อด้วยความกังวล "ไม่เช่นนั้น ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างทั้งสองตระกูลแย่ช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงห้าเท่าของราคาเดิมเลย ตระกูลเหยียนแทบจะไม่อยากขายยาให้ตระกูลจั๋ว ด้วยซ้ำ ดูจากตระกูลเหยียนขึ้นราคาครางนี้ เห็นได้ชัดว่า พวกเขากำลังจงใจสร้างปัญหากับตระกูลจั๋ว และใกล้จะถึงวันที่จัดการฝึกฝนประจำตระกูลแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก "คนรับใช้เหลือบมองใบหน้าที่ซีดเซียวของผู้อาวุโสสามอย่างระมัดระวัง เสียงของเขาก็อ่อนลงมาก“ดัง ดังนั้น... คุณหนูจิ่วบ
เมื่อฉวนคูนได้ยินคำพูดของคุณหนู เขาก็ทราบคุณหนูทำเรื่องนี้สำเร็จแล้วแน่ ๆจั๋วซือหรานจิบชาดอกไม้ด้วยความสบายใจ นางหันกลับไปคิดเรื่องของวันนี้ นางรู้สึกตัวเองทำได้เยี่ยมนางถามฉวนคูน “เมื่อครู่มีเด็กมาหาหรือไม่”“คุณหนูกำลังพูดถึงน้องที่ผอม ๆ คนนั่นหรือขอรับ”“ใช่ ฉลาดมาก ข้าเห็นจวนเรายังต้องการคนรับใช้ จะให้เจ้ากับฝูซูไปทำทุกเรื่อง คงไม่ได้สิ”จั๋วซือหรานจำได้ผู้คนในลานด้านนอกและพูดต่อว่า "ข้าขี้เกียจทดลองใช้คนของจวนจั๋วแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าใครสั่งพวกเขามา มันน่ารำคาญมาก คราวนี้ส่งพวกเขากลับด้วยกันเถิด"ฉวนคูนตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของคุณหนู เขารู้สึกตัวเองโชคดีมาก เขาได้รับความไว้วางใจจากคุณหนูอย่างมาก“ข้าทำตามคำสั้งของคุณหนูขอรับ แต่น้องคนผอม ๆ นั้น เขาพูดติดอ่างเล็กน้อย ข้ากังวลว่าเขาโกหก แต่ข้าก็กังวัลนั่นเป็นคำสั่งของคุณหนูจริง ๆ ข้าจึงให้อาหารเขาก่อน แล้วให้เขาพรุ่งนี้มาใหม่ขอรับ”แล้วพอถึงพรุ่งนี้ คุณหนูน่าจะกลับมาแล้ว ข้าก็จะได้รู้ว่านั่นเป็นคำพูดของคุณหนูจริง ๆ หรือไม่ ฉวนคูนคิดอย่างนั้นหลังจากได้ยินคำพูดของฉวนคูน จั๋วซือหรานก็เลิกคิ้วแล้วพูดว่า "เจ้าทำงานรอบคอบดี เช่
จั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ประตูอย่างเย็นชา จากนั้นนางมองไปที่จั๋วหรูซิน ซึ่งพี่คนนี้กำลังมีเลือดไหลออกต่อเนื่องและนางยืนไม่ไหวเนื่องจากกระสุนในแม็กกาซีนถูกใช้หมดตอนที่นางอยู่สนามฝึกฝน ก่อนที่นางจะเข้านอน นางเลยถอดแม็กกาซีนออก และใส่กระสุนเข้าไปในนั้นทีละเม็ด นางชอบกระบวนการใส่กระสุนเข้าไปในแม็กกาซีนทีละนัด เพราะนางรู้สึการกรำทำเช่นนี้สะใจมากหลังจากบรรจุกระสุนเสร็จ นางก็วางปืนไว้ข้างหมอนจากนั้น เมื่อครู่นี้ฉวนคูนมาเคาะประตู และจั๋วหรูซินเตะประตูเปิดออกและตะโกนใส่นางการถูกปลุกในยามกลางดึกจะทำให้ทุกคนโกรธเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ปลุกนางขึ้นมาคือคนที่นางไม่อยากเจอมากที่สุดนี่เท่ากับนางชนเข้ามาหาปืนเอง และนี่คือความหมายตรงอักษรร่างกายของจั๋วซือหรานได้รับการปรับปรุงอย่างมากเนื่องจากนางได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการแพทย์สายวิเศษ และ ศิลปะการต่อสู้โบราณ แม้ว่านางยังไม่สามารถมองเห็นได้ไม่เต็มที่ในตอนกลางคืน แต่การมองเห็นตอนกลางคืนของนางก็แข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆดังนั้นนางจึงคว้าปืนไว้ข้างหมอนแล้วยิงไปหลายนัดไหล่ทั้งสองข้าง แขนทั้งสองข้าง น่องทั้งสองข้างบาดแผลทั้งหมดนี้ไม่
หุบเขาหมื่นพิษยามค่ำคืน เต็มไปด้วยหมอกลวงตาทุกหนแห่งอบอวลไปด้วยหมอกบางๆ ใต้แสงจันทร์ พุ่มไม้หมู่ไม้ล้วนกลายเป็นเงาร่างประหลาดในหมอกลวงตาดูเป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาดและอันตรายพอควรคนกับม้ากลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางตรงเข้าไปที่หุบเขาหมื่นพิษ"สัตว์ประหลาดนั่นก่อนหน้านี้ปรากฏตัวในคืนจันทร์เพ็ญที่นี่" เสียงของจั๋วเฮ่ออิงกดลงต่ำอดถอนหายใจเบาๆ ออกมาไม่ได้ "พวกรเาควรจะรออีกสักคืน พรุ่งนี้ฟ้าสางค่อยเดินทางจะเหมาะกว่า"เซี่ยอวิ๋นซีนั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าดูแล้วเคร่งขรึมไม่สู้ดีนัก พอได้ยินคำนี้ ก็เอียงตามองจั๋วเฮ่ออิงผาดหนึ่งไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจเหตุผลในคำพูดจั๋วเฮ่ออิง แต่ก็หลายครั้ง เวลาที่แม่เผชิญหน้ากับเรื่องที่เกี่ยวกับอันตรายของลูกๆ จะใจเย็นลงมาไม่ค่อยได้ยิ่งไปกว่านั้น...ยังไม่ทันที่เซี่ยอวิ๋นซีจะได้คิดเยอะ ตรงหน้าก็เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติขึ้นมา!เสียงนั้นชัดมาก!แค่ฟังจากเสียงนี้ก็ฟังออกได้ไม่ยาก ว่าร่างสัตว์ประหลาดที่พวกเขาจะเผชิญหน้าใหญ่โตแค่ไหน!นิ้วมือของเซี่ยอวิ๋นซีกำแน่น ริมฝีปากเองก็เม้มแน่นขึ้นมานางมองออกมาจากในรถม้า ก็เห็นว่าด้านหน้า สัตว์ประหลาดตัวมหึมาตัวหนึ่ง ปร
ปันอวิ๋นรู้สึกจนใจหน่อยๆ "เจ้าตามใจมันเข้าไปเถอะ..."จั๋วซือหรานยิ้มๆ"ช่วงนี้ดีขึ้นแล้วหรือ?" ปันอวิ๋นถาม"อืม" จั๋วซือหรานขานรับคำหนึ่ง คิดถึงชายคนนั้น...ในใจก็รู้สึกจนใจอยู่บ้างช่วงหลายวันนี้ นางนอนร่วมเตียงกับเขา ไม่ว่าในใจจะยินยอมหรือไม่ แต่เรื่องก็ยังเป็นเช่นนี้ในช่วงเวลานี้ นางยังไม่มีทางเลือกอื่นพอพูดไปก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นะอันที่จริงทั้งสองคนแทบจะไม่ได้คุยกันเลยในช่วงกลางวัน ต่างฝ่ายต่างยุ่งเรื่องของตัวเองนางช่วยปันอวิ๋นเลี้ยงแมลงกู่ และคอยชี้แนะแพทย์ในหุบเขาหมื่นพิษดูแลปรับสภาพร่างกายตนเอง ทำอาหารอร่อยออกมาทุกวันถือเป็นการบำรุงตัวเองไปด้วย และตอบแทนคนอื่น ที่รบกวนปันอวิ๋นในหุบเขาหมื่นพิษอยู่ตลอด รวมถึงชายคนนั้นด้วย...สรุปคือ ตอนนี้สถานการณ์ทุกวัน ก็ดูจะเข้ากันได้แบบแปลกๆทุกวัน ชายคนนั้นบางทีก็พาจั๋วหวายออกไปล่าสัตว์ในหุบเขา เอาอาหารสดบางส่วนกลับมา ในขั้นตอนนี้ ก็ยังคอยชี้แนะจั๋วหวายเรื่องทักษะต่อสู้ด้วยจากนั้นนางก็นำวัตถุดิบเหล่านั้นมาทำเป็นกับข้าวหอมกรุ่นเต็มโต๊ะแล้วพวกเขาก็มานั่งกินด้วยกันอีกครั้ง พวกเขาในที่นี้หมายถึงจั๋วซือหราน จั๋วหวา
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว