“นายท่าน” ฉุนจวินสีหน้าร้อนรน เข้ามาประคองเฟิงเหยียน“แค่ก...” วินาทีต่อมา เฟิงเหยียนก็ไอออกมาเป็นเลือดฉุนจวินถามขึ้น “นายท่าน เป็นอะไรไป? แม่นางจิ่วเองก็ไม่มีทางแก้หรือ?”เฟิงเหยียนยกมือขึ้นเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก ดวงตาจืดจาง “กว่าครึ่งคือยังไม่มีวิธีน่ะ ไม่เช่นนั้นเจ้าพวกตระกูลเฟิง คงไม่สามารถเอาเรื่องนี้มาบีบข้าอย่างมั่นใจขนาดนี้...”แววตาของฉุนจวินยิ่งร้อนรนขึ้นไปอีก ความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านกับตระกูลเฟิงแปลกประหลาดขนาดนี้เชียวเป็นความสัมพันธ์ที่คอยควบคุมซึ่งกันและกัน ตระกูลเฟิงต้องการให้เฟิงเหยียนเป็นภาชนะของพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง มาทำให้พลังของคนในตระกูลมั่นคง และทำให้ตระกูลเฟิงสามารถอยู่เป็นผู้นำตระกูลขุนนางในเมืองหลวงได้ตลอดดังนั้นตัวตนฐานะของเฟิงเหยียนในตระกูลเฟิงจึงสูงส่งมากแต่ในมือตระกูลเฟิงก็ยังมีจุดอ่อนที่สามารถควบคุมเฟิงเหยียนได้ ตระกูลเฟิงไม่ได้มีเพียงพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์มีชื่อว่าพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือดวงใจแห่งหงส์แดงถ้าหากบอกว่าเฟิงเหยียนคือภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์ของหงส์แดง เช่นนั้นดวงใจแห
ในห้อง ฉุนจวินจัดการเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดของเฟิงเหยียนก่อนหน้านี้ไปแล้วตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียงกังวานเสียงหนึ่งดังที่นอกประตู “ท่านอ๋อง ท่านยังไม่หลับใช่ไหม? ข้าเห็นไฟยังสว่างอยู่”ฉุนจวินอยากจะให้คุณหนูเข้ามาตรวจอาการของนายท่านใจจะขาด ดังนั้นจึงหันไปมองนายท่านที่นั่งอยู่ตรงนั้น แม้คิ้วจะขมวดเล็กน้อย แต่กลับไม่มีการปฏิเสธแต่อย่างใดฉุนจวินจึงเปิดประตู “แม่นางจิ่ว สายัณห์สวัสดิ์”“อื๋อ? ฉุนจวินเองก็อยู่ด้วยหรือ” จั๋วซือหรานมองเขาฉุนจวินเปิดทางให้นางเข้ามา “นายท่านยังไม่พักผ่อนเลย”ฉุนจวินคิดๆ แล้วก็เสริมขึ้นมาคำหนึ่ง “เพราะเป็นห่วงแม่นางจิ่วน่ะ”ใช่แล้ว ฉุนจวินคิดขึ้นมาได้ นายท่านทรมานมากจากการถูกแว้งกัด ตามหลักควรจะพักผ่อนได้แล้ว แต่กลับรอจนดึกดื่นไม่ยอมนอนมาตลอดก็เพราะเป็นห่วงแม่นางจิ่วที่ยังไม่กลับมากระมัง?จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้วเล็กน้อย มองไปทางเฟิงเหยียนและชายหนุ่มที่ดูดีจนเหมือนไม่ใช่คนคนนี้ แต่เดิมไม่พูดไม่จา ทว่าตอนนี้พอได้ยินคำพูดของฉุนจวินก็ขมวดคิ้ว ตำหนิเสียงต่ำมาว่า “พูดมาก”ดูท่าจะปากแข็งเอาเรื่อง“อืม...” จั๋วซือหรานครางเสียงยาว มุมปาก
“ไม่เป็นไรจริงๆ” เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นมาจั๋วซือหรานคิด “ให้ข้ารักษาให้ท่านเถอะ มีโรคก็ต้องรักษาโรคสิ ไม่มีโรคร่างกายจึงจะแข็งแรง...”ฉุนจวินพอได้ยินคำพูดนี้จึงถอนใจโล่งออกมาพอรู้ว่าแม่นางจิ่วจะรักษาให้นายท่าน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเห็นว่านายท่านกับแม่นางจิ่วจับมือถือแขนกันด้วยฉินจวินจึงถอยออกจากห้องอย่างรู้ความจั๋วซือหรานรักษาให้เขา พลางบอกเขาถึงเรื่องในวันนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะ เขาเป็นคนที่ยื่นมือเข้าไปช่วยนางก่อน และเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างกายนางมาตลอดดึงนั้นจั๋วซือหรานจึงไม่เคยป้องกันอะไรเขาเลยยิ่งไปกว่าเรื่องอีกมากมาย ถ้าไปพูดกับคนอื่นก็ไม่ค่อยเหมาะสม จะพูดกับแม่ ก็กลัวแม่จะเป็นห่วงที่พูดกับเฟิงเหยียนก็เหมือนจะเหมาะสมที่สุดแล้ว เขาเองก็พูดน้อย ถนัดรับฟังมากกว่า นิสัยเช่นนี้ของเขา ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะโพนทะนาไปทั่วยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็รักษาอาการบาดเจ็บให้นาง มีจุดนี้อยู่จึงยิ่งปลอดภัยขึ้นไปอีกเฟิงเหยียนฟังเงียบๆ ได้ยินว่านางต้องไปเจอกับการเพ่งเล็งของตระกูลเหยียน แล้วยังไปค่ายป้องกันนอกเมืองรักษาให้ทหารอีก คนที่ตลาดมืดก็ยังมาหาเรื่องนาง...เฟิงเหยียนขมวดคิ้ว “หอจันทร์เงิน? ไ
ดวงตาจั๋วซือหรานถลึงโตขึ้นมาก่อน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือดวงตาลึกซึ้งราวกับทะเลราตรีที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมลึกซึ้งสวยงาม และดึงดูดราวกับกระแสวนจั๋วซือหรานสบตากับเขาครู่หนึ่ง เห็นในดวงตาของเฟิงเหยียนรอยยิ้มที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ในที่สุดนางก็ไม่ทนแล้ว รีบปิดตาลงดังนั้น นางจึงไม่ทันสังเกต ว่าหลังจากนางหลับตาไปครู่หนึ่ง สีหน้าในดวงตาคู่งามของชายหนุ่ม มีเจ็บปวดจากการอดกลั้นเพิ่มขึ้มาพอสมควรเพราะเขาแบ่งพลังให้กับจั๋วซือหรานอีกครั้ง ดังนั้นตระกูลเฟิง จึงลงโทษเขาเช่นนี้ความรู้สึกเจ็บปวดทะลวงใจทะลุกระดูกนั่น ทำเอาเขาเกร็งไปทั้งตัวทั้งๆ ที่หลายปีนี้ ในฐานะที่เห็นภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์ ก็เจอเรื่องทุกข์ทรมานมาไม่น้อยแล้วแท้ๆ ตามหลักการก็ควรจะไม่รู้สึกกับความเจ็บปวดใดๆ แล้วแต่เพราะความเจ็บปวดนี้ ก็ยังเกร็งขึ้นมาทั้งตัวมือของจั๋วซือหรานจับไปที่เอวของเขาเบาๆ ดังนั้นจึงสัมผัสได้ถึงอาการเกร็งตัวของร่างกายเขาจั๋วซือหรานพอคิดจะลืมตา ก็ถูกมือข้างหนึ่งของเฟิงเหยียนปิดตาไว้ส่วนมืออีกข้างของเขา ก็ช้อนท้ายทอยนางแนบสนิทยิ่งขึ้นจั๋วซือหรานรู้สึกแค่ว่า จูบที่ดึงดันกลับอบอุ่นแต่เดิมของชายหนุ่ม เวลานี
เฟิงเหยียนส่งนางที่ประตูห้องนอน “ถ้าหากมีอะไรให้ข้าช่วย...”เฟิงเหยียนยังพูดไม่จบ จั๋วซือหรานก็โบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าจัดการได้หมด”ฉุนจวินรออยู่ข้างนอก พอเห็นประตูเปิดออกก็เดินเข้ามาจั๋วซือหรานหยุดเท้าลงกะทันหัน เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ หันหน้ากลับไปหาเฟิงเหยียน “จะว่าไปก็มีเรื่องหนึ่งอยากให้ท่านอ๋องช่วยเหมือนกัน”และไม่รู้ว่าเป็นความความเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า จั๋วซือหรานรู้สึกว่าตอนที่ตนเองพูดว่าต้องการความช่วยเหลือ ในดวงตาของชายหนุ่ม ก็เหมือนมีประกายน้อยๆ วาบขึ้นมาอย่างชัดเจนเหมือนกับว่า อยากให้ความช่วยเหลือแก่นางมากอย่างไรอย่างนั้น“ลองพูดมาสิ” เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานคิดๆ “ข้าอยากได้เมล็ดพันธุ์คุณภาพดีหลายๆ ชนิดน่ะ พวกพืชไร่ผลไม้ยาสมุนไพรหรือพวกพืชวิเศษอะไรก็ได้”ครั้งนี้ที่เผชิญหน้ากับตระกูลเหยียน ไม่ใช่แค่วัตถุดิบที่ซื้อมาจากหอฟ้าดาวที่ใช้หมด แต่วัตถุดิบยาที่ปลูกไว้ในมิติของจั๋วซือหรานเองก็ใช้ไปไม่น้อยแม้ว่าจะให้เฉวียนคุนใช้น้ำพุวิเศษมาปลูกพืชในสวนบ้านตนเอง แต่ก็ทำมากเกินไปไม่ได้ ไม่เหมือนในมิติของนางเอง ไม่ว่าจะปลูกจนเติบโตแค่ไหน ก็ไม่มีใครล่วงรู้จั
ฉุนจวินม่านตาหดลง เขารีบพุ่งตัวขึ้นมา ยื่นมือมาประคองเฟิงเหยียน อุทานเสียงต่ำ “นายท่าน!”เฟิงเหยียนถูกประคองให้นั่งลงบนแคร่ รับผ้าเช็ดหน้าที่ฉุนจวินส่งมาให้ เช็ดเลือดสดที่ปากและจมูกเขาหอบหายใจต่ำหลายครั้ง จึงยื่นมือมารับน้ำชาที่ฉุนจวินยื่นส่งมาให้ กลั้วปากล้างกลิ่นคาวเลือดในปากออกไปไม่รู้เพราะอะไร ตอนนี้ อารมณ์แรกสุดที่พุ่งขึ้นมาในใจเฟิงเหยียนถึงได้เป็นความโชคดียังดีที่ตอนที่ตนเองจูบนาง ไม่ได้รู้สึกอยากกระอักเลือด ไม่เช่นนั้นจั๋วเสียวจิ่วที่จมูกดีขนาดนั้น จะต้องจับสังเกตได้แน่ในดวงตาของฉุนจวินมีความกังวลอย่างหนักหนาขึ้นมา ขมวดคิ้วแน่นเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าพวกนั้นจากตระกูลเฟิงบ้าไปแล้วหรือ?! แค่ช่วงสั้นๆ แค่นี้ถึงกับใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษท่านถึงสองครั้งเชียว?”ในเสียงของฉุนจวินมีความตกตะลึงอย่างไม่อยากเชื่ออยู่ด้วย คนพวกนั้นในตระกูลเฟิง ต่อให้จะใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษนายท่านเพื่อตักเตือน แต่ฉุนจวินก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจทว่าในเวลาสั้นๆ แค่นี้ กลับลงโทษถึงสองครั้ง! หรือว่าคนเหล่านั้นในตระกูลเฟิง ไม่กลัวที่จะทำให้นายท่านต้องเจอเรื่องอันตรายอย่างนั้นหรือ!ดวงตาเฟิงเหยียนหรุบต่ำ หล
เฟิ่งเหยียนในมือมีหน้ากากเพิ่มมาหนึ่งชิ้น ถูกเขาครบเอาไว้บนหน้า “พอดีเลย ข้าจะไปสักรอบหนึ่ง”เฟิงเหยียนเดินออกมาจากตำหนักเฝินเทียน เดินออกมายังไม่ไกลนัก“นายท่าน” เสียงขรึมต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหน้าเฟิงเหยียนหยุดเท้าลง ยกมือกดไปบนหน้ากาก หน้ากากที่เดิมทีสะอาดหมดจด รอยไหม้สีแดงประหลาดค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาพอแหงนตาก็เห็นเวินป๋อยวนยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนัก“ตันติ่งทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่” เสียงของเฟิงเหยียนต่ำขรึมเย็นชา ไม่มีสูงต่ำเวินป๋อยวนตอบกลับ “แค่ออกมาเดินเล่น”“พักผ่อนไวไวแล้วกัน” เฟิงเหยียนพูดประโยคนี้จบ ก็ไม่ได้คิดจะพูดอะไรให้มากความนัก ยกเท้าเดินออกมาเวินป๋อยวนมองแผ่นหลังที่จากไปของเขา เอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาท “นายท่านก็กลับดีดี”เฟิงเหยียนเดินมาไกลแล้ว เวินป๋อยวนกลับยังคงมองทิศทางที่เขาเดินไป แต่ในประกายในดวงตาเวินป๋อยวนกลับค่อยๆ สงสัยนายท่านก่อนหน้านี้ไม่ใช่บอกว่าช่วงนี้ไม่อยู่ที่เมืองหลวงหรือ? นี่กลับมาเมื่อไรกัน? ทำไมจึงไม่มีข่าวคราวเลย......เช้าวันถัดมา จั๋วซือหรานพาแม่กับน้องชายส่งไปที่ตลาดมืดในรถม้า จั๋วหวายทั้งอยากรู้อยากเห็นทั้งกระวนกระวาย “ท่านพี่ ที่นี่คือต
ชายสองคนที่เดินเข้ามาอย่างขึงขัง ร่างกายค่อนข้างกำยำ ผิวสีคล้ำ บนคอกับแขนมีรอยสักสีดำประหลาดอยู่เส้นผมถักเป็นเปียเล็กมันวาวหลายเส้น ปลายเปียเล็กยังห้อยไว้ด้วยลูกปัดหลากสีคิ้วเข้มตาโต รูปทรงคิ้วตาคมชัดมีมิติ แปลกใหม่ไม่คุ้นตา มองแล้วไม่เหมือนคนแคว้นชางสีผิว หน้าตากับการแต่งกายเหมือนมาจากแดนใต้ทางนั้นจั๋วซือหรานมองพวกเขาเรียบๆ ตอนแรกยังคิดว่าพวกคนชายแดนทางใต้เข้ามาหาเรื่องเลยนางกลับไม่รู้สึกแปลกประหลาด ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ยังขังคนชายแดนทางใต้ไว้ที่คุกใต้ดินตำหนักตำหนักชิ่งหมิงถึงสองคนครั้งนี้ถือว่าทำลายแผนร้ายของนักปราชญ์หญิงแดนใต้ของพวกเขาไปอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีความบาดหมางกันขึ้นมาบ้างแล้วพอเห็นท่าทางเดินเข้ามาของพวกเขา เซี่ยอวิ๋ฯเหนียงกับจั๋วหวายก็ตึงเครียดขึ้นมามีแต่จั๋วซือหราน ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ด้วยท่าทีไม่วิตกกังวล ในสีหน้าไม่มีความหวาดกลัวกระทั่งความลนลานลูกน้องของหอเฟิ่งเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางจั๋วจิ่ว ทางนี้คือเจ้าสำนักทั้งสองของพวกเรา”ที่ยืนอยู่ตรงหน้า คือเจ้าสำนักสองคนของหอเฟิ่งเสวี่ย: สองพี่น้องหลงซ่งกับหลงหยวนจั๋วซือ
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย