“ เหยียนชางต้องคุกเข่าลงและขอโทษข้า และเขียนแผ่านป้ายที่มีเนื้อหาว่า ยอมแพ้ เรื่องนี้ อย่าว่าล่าช้าไปปหนึ่งวันเลย ต่อให้ล่าช้าไปหนึ่งชั่วยาม หรือล่าช้าไปสิบห้านาทีก็ไม่ได้” เสียงของจั๋วซือหรานเต็มไปด้วยความเย็นชาผู้อาวุโสสี่เหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเสนอ "สาวน้อยจั๋วจิ่ว ทำไมเจ้าต้องรีบขนาดนี้..."สาเหตุหลักคือ เขาได้ยินว่า เหยียนชางถูกทรมานอย่างหนักนับตั้งแต่เขาได้รับเชิญไปดื่มชาไปที่หน่วยสืบสวนพิเศษโดยซือหลี่ตันติ่ง ตอนนี้เหยียนชางดูแย่ามากไม่รู้ว่าตอนนี้เขาหายดีหรือยัง หากเขายังไม่หายดี และให้เขามาที่นี่ เขาจะไม่เสียหน้าต่อสาธารณะหรือจั๋วซือหรานหัวเราะเบา ๆ “เขาทำร้ายข้าอย่างไร ผู้อาวุโสสี่เหยียนต้องเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ สถานการณ์ในวันนี้ทั้งหมดเป็นเพราะเหตุผลนี้ ดังนั้น เว้นแต่ว่าวันนี้ท้องฟ้าถล่ม หากท้องฟ้าไม่ถล่ม เขาต้องมาขอโทษข้าให้ได้ และเขายังต้องเขียนแผ่นป้ายด้วย”นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสสี่เหยียนเกลียดเหยียนชางมากในใจ เขาเกลียดเจ้าโง่นั้นมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ไม่ได้สร้างผลงานใด ๆ แก่ตระกูล แต่สร้างปัญหาเก่งจริง ๆหากไม่ใช่เพราะเขาไปหาเรื่องผู้หญิงบ้า ๆ ค
เมื่อเหยียนฉีได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสสี่ ม่านตาของเขาก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ผู้อาวุโสสี่กำลังพูดอะไรอยู่น่ะเหยียนฉีทราบดี ผู้อาวุโสสี่ไม่สบายใจ และไม่สามารถระบายความโกรธต่อจั๋วซือหราน ดังนั้นเขาจึงพูดใส่คนอย่างตามอารมณ์แต่หากจั๋วซือหรานเป็นผู้ที่หาเรื่องได้ยาก เฟิงเหยียนก็ยากกว่า จั๋วซือหรานมากกว่าสิบเท่า“ผู้อาวุโสสี่ ท่าน…” เหยียนฉีขมวดคิ้ว แต่เขาไม่สามารถกล่าวหาผู้อาวุโสของตระกูลได้โดยตรง เขาทำได้เพียงหันสายตาไปที่เฟิงเหยียน และพยายามเรียกความสนใจของเฟิงเหยียน “ขอรับ ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปดูตอนนี้... "ก่อนที่เหยียนฉีจะพูดจบ เขาถูกเสียงอันเย็นชาของเฟิงเหยียนขัดจังหวะเฟิงเหยียนจ้องมองผู้อาวุโสสี่เหยียน ทันทีที่เขามองผู้อาวุโสสี่เหยียน ผู้อาวุโสสี่เหยียนก็รู้สึกเหมือนว่าเขาหนาวเหน็บเห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนี้มีพลังวิเศษที่ร้อนแรงที่สุด แต่เขากลับมีสายตาที่เย็นชาที่สุด "เหยียนเซิ่ง ข้ามองไม่ออกเลยว่า เจ้ารู้จักข้อบกพร่องของตัวเองดีนะ ตามความจริง ตระกูลเฟิงไม่จำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้ไม่ได้เรื่องอย่างพวกเจ้า "ทันใดนั้นสีหน้าของผู้อาวุโสสี่เหยียน แล้วก่อนหน้านี้เขาพูดอย่
อย่างที่นางเดาไว้จริว ๆ เมื่อนางพูดจบ ดวงตาของฮั่วจือโจวก็หรี่ลงเล็กน้อย เขามีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย หากคนภายนอกไม่มองดี ๆ อาจมองไม่ออกเลยจั๋วซือหรานเห็นการเปลี่ยนเปลงจุดนี้ นางจึงหันไปมองฮั่วชิงหยวนฮั่วชิงหยวนยังคงไม่พอใจเล็กน้อย เพราะพี่ชายว่าเขาต่อหน้าผู้อื่น "พี่สาม พี่อย่าว่าข้าเสียมารยาทและโง่เขลาสิ"จั๋วซือหรานยิ้มและพูดว่า " คุณชายห้าฮั่ว "“ฮะ” ฮั่วชิงหยวนมองนาง“เดิมทีเจ้าเลี้ยงข้าดื่มชาเพื่อฟังข้าเล่าเนื้อหาการสอบแพทย์กลั่นยา วันนี้เจ้าน่าจะได้ข้อมูลแล้ว” จั๋วซือหรานกล่าวฮั่วชิงหยวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตระหนักว่า ตอนที่จั๋วซือหรานเจรจากับผู้อาวุโสสี่เหยียนในเมื่อพวกเขากำลังเดิมพันกัน นางได้พูดถึงข้อสอบของนางในการสอบแพทย์กลั่นยาคือยาเม็ดกู้หยวนชั้นสี่“อ้าว ใช่เลย” ฮั่วชิงหยวนถามด้วยความสงสัย “แล้วมันเป็นยาเม็ดกู้หยวนชั้นสี่จริง ๆ หรือ”ฮั่วจือโจวขมวดคิ้วจากด้านข้าง เขาพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ “ชิงหยวน”ฮั่วชิงหยวนโค้งริมฝีปากแล้วพูดว่า "ขอรับ ขอรับ ข้ารู้แล้วขอรับ แม่นางจิ่วไม่พูดเท็จต่อหน้าซือหลี่หรอก อีกอย่าง ซือหลี่ตันติ่งก็พยักหน้าและยืนยันแล้ว ข้าร
หลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน ฮั่วจือโจวมองนางอีกสองสามครั้ง มีความชื่นชมในดวงตาอันลึกซึ้งของเขาฮั่วจือโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วพูดกับจั๋วซือหราน" แม่นางจิ่วขอรับ เมื่อก่อนข้าเคยดูถูกเจ้า ทีนี้ ข้าขอดื่มชาแทนสุราเพื่อแสดงความเคารพแก่เจ้า"“คุณชายสามฮั่วเกรงใจเหลือเกิน” จั๋วซือหรานหยิบถ้วยขึ้นมาและพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เมื่อก่อนข้าเป็นเช่นนั้น ไม่น่าให้คนอื่นชื่นชมหรอก”ในชะตากรรมของเจ้าของร่างเดิม หลังจากนางถูกใส่เสน่ห์หนอนพิษกู่ ชีวติของนางก็พังสลายไป และก่อนหน้านั้นเจ้าของร่างเดิมก็ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเนื่องจากสถานการณ์ที่บ้านเพราะท่านพ่อของนางเสียชีวิตในสงครามเป็นเวลาหลายปี อยู่ไม่เห็นศพ ตายไม่พบศพ ท่านแม่ของนางเป็นผู้ที่อ่อนแอ และเจ้าของร่างเดิมเป็นลูกสาวคนโต ดังนั้นนางจึงมีแรงกดดันและปมด้อยของนางเองโดยธรรมชาติแล้ว นางไม่ได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างจั๋วซือหรานหลังจากที่ทั้งสองคนดื่มชาแก้วนี้ไป ฮั่วจือโจวก็มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา "ข้าจะให้คนไปสืบสวนเรื่องที่แม่นางจิ่วถูกคนวางยาพิษ และเกือบเสียตัวไป"“เช่นนั้นข้าขอขอบคุณนะคุณชายสามฮั่ว” จั๋วซือหรานยิ้มและพูดนางเคยได้ยินมา
ดังนั้นเมื่อบุคคลภายนอกเห็นซือหลี่ฝานเทียน พวกเขามักจะกลัวแลเกรงตัว ซึ่งแตกต่างจากจั๋วซือหรานเมื่อจั๋วซือหรานเห็นเขา นางค่อนข้างผ่อนคลายและไม่กังวลเพราะเจอหน้าผู้ใหญ่จั๋วซือหรานถาม "ท่าน ท่านมาหาข้า มีเรื่องอันใดหรือ"ซือหลี่ฝานเทียนไม่ตอบคำใด ๆฃหลังจากรอไปครู่หนึ่ง ใต้เท้าผู้นี้ไม่พูดอะไรเลย เหยียนฉีจึงเริ่มพูดเอง " แม่นางจิ่ว... "จั๋วซือหรานเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อเหยียนฉี ฃพูดประโยคนี้จบ ฟันหน้าของเขากำลังกัดริมฝีปากล่างของเขาอย่างเห็นได้ชัด และเขากำลังจะออกเสียงพยางค์ "เฟิง"แต่เขารั้งไว้ครึ่งทาง อาจเป็นเพราะเฟิงเหยียนหรือตระกูลเฟิง ต้องการเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับทรงปากของเหยียนฉีดูตลกเล็กน้อยเพราะเขา"เปลี่ยนคำพูดในครึ่งทาง"“เขาเป็นห่วง เลยให้ข้ามารักษาเจ้า เพราะก่อนหน้านี้เจ้าไม่ค่อยสบาย”จั๋วซือหรานไม่ได้คาดหวังเหยียนฉีจะพูดเช่นนี้นางเลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นดวงตาของนางก็โค้งงอเล็กน้อย นางโบกมือแล้วพูดว่า "ไม่ต้องหรอก คุณชายเหยียน ข้าเป็นหมอ ข้าเป็นอะไร ข้ารู้เองเจ้าค่ะ"เหยียนฉีขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาลำบากใจเล็กน้อย "แต่..."“ไม่เป็นไรหรอก ฝากบอกเขาด้วย จำข้อ
แต่สิ่งที่ทำให้ฮั่วจือโจวตกใจยิ่งกว่านั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลังเมื่อเขารู้สึกจั๋วซือหราน ซึ่งเป็นผู้กล้าหาญนี้จะถูกซือหลี่ของ หน่วยสืบสวนพิเศษกล่าวหาเสียมารยาทและสั่งสอนจากนั้นเขาก็เห็นว่าซือหลี่ฝานเทียน ซึ่งดูแปลกและน่ากลัวก้าวไปหาจั๋วซือหรานจากนั้น เดินเข้ามาทีละก้าว เขาเดินไปที่เก้าอี้ที่จั๋วซือหรานชี้ในก่อนหน้านี้ ซึ่งเก้าอี้ตัวนี้อยู่ข้างกายนาง... ซือหลี่ฝานเทียนนั่งลงจั๋วซือหรานเอียงศีรษะแล้วมองเขา ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความสนใจที่ไม่ปิดบังยิ่งดวงตาของนางสดใสขึ้นเท่าไร ฮั่วจือโจวยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น เขามักจะรู้สึกเสมอว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจะทำอะไรที่น่าทึ่งอีกแล้วอย่างที่เขาคิดไว้จริง ๆ จั๋วซือหรานถามอย่างสงสัยด้วยดวงตาที่สดใสว่า "ท่านจะกิน อย่างไรเจ้าคะ เหอะ ๆ ท่านต้องถอดหน้ากากออกไหมเจ้าคะ"ไม่ต้องพูดถึงฮั่วจือโจวเลย แม้แต่ฮั่วชิงหยวนก็สังเกตเห็นว่า ท่านซือหลี่แข็งทื่อ และแม้แต่ฮั่วชิงหยวนก็รู้สึกว่าเขากับพี่ชายของเขาไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่ต่อไปเขาหันไปมองพี่ชายของเขา และเห็นอารมณ์วิกฤตฉุกเฉินมากที่หายากปรากฏในดวงตาของเขาฮั่วจือโจวพูดในใจว่า อะไรที่เจ้า
ซือหลี่ฝานเทียนได้รับคำชมจากนาง เดิมทีนางพูดติดอ่างอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำชม เขายิ่งพูดติดอ่างหนักกว่าเดิม จนกระทั่ง เขาไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ "เจ้าเรียกข้า... เรียกข้า ชิ่ง ชิ่ง ...ชิ่งก็ได้ "จั๋วซือหรานเลิกคิ้วแล้วพูดว่า "ชิ่งชิ่ง ได้จเจ้าค่ะ ชิ่งชิ่ง"ซือหลี่ฝานเทียนรีบพูดอาษรสุดท้าย "...หมิง ชิ่ง...หมิง"จั๋วซือหรานมองเขา นางผลักถ้วยชาไว้ตรงหน้าเขา และนำขนมมาด้วย “ชิ่งชิ่ง กินเยอะ ๆ มันอร่อย”"ขอบ ขอบคุณ..."ชิ่งหมิงยื่นมือไปดึงมุมเสื้อผ้าของเขา ราวกับว่าเขากำลังพิจารณาว่าไม่ให้นางเรียกเขาเช่นนี้ หรือต้องขอบคุณนางก่อนแล้วเริ่มกินขนม เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่า เขากำลังพิจารณาว่าจะรักษาท่าทีที่น่าเกรงขามหรือไม่แต่เขาเหลือบมองขนมบนโต๊ะ ในที่สุดเขาเม้มริมฝีปากแล้วยื่นมือออกไปที่ด้านหน้าของจั๋วซือหรานมียาเม็ดกลมอยู่ในมือของเขา“ให้ ให้เจ้า” ซือหลี่ฝานเทียนกล่าว เขาวางยาเม็ดนั้นลงในถ้วยชาเปล่าตรงหน้าจั๋วซือหรานจากนั้นเขาจึงหยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่เข้าไปในปากของเขาจั๋วซือหรานมองยาเม็ดกู้หยวนที่อยู่ในถ้วย นางตกใจเล็กน้อยในความเป็นจริง ก่อนหน้านี้ ตอนที่นางเจรจากับตระกูลเ
เหยียนชางถูก'ส่วนผสมเพิ่มเติม' ในถ้วยชานั้นทรมานตลอด ซึ่งซือหลี่ตันติ่งเป็นผู้ที่เตรียมให้เขาเขาเจ็บปวดมาตลอดเมื่อกาลเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่าเขาดีขึ้นแล้วแต่เริ่มตั้งแต่ยายาออกฤทธิ์ ทุกวินาทีรู้สึกเหมือนหนึ่งปีเขาคิดหลายครั้งแล้วว่า เขาอยากตาย แต่เขาไม่กล้าและไม่ยอมแพ้อย่างนี้ต่อมา องค์ชายห้าซือคงยวี่ได้ยินข่าว จึงมาเยี่ยมเขาแทนฮองเฮา และมอบยาแก้ปวดอันทรงพลังชนิดที่มีคุณค่ามากกว่าทองคำแก่เขาความเจ็บปวดที่เหยียนชางทนมาจึงบรรเทาลงลงได้บ้างแม้ว่าเขายังเจ็บอยู่ แต่อย่างน้อยเขาไม่ได้เจ็บมากจนเขาหมดสติแต่เขายังคงเดินไม่ไหว เพราะเขาไม่มีเรี่ยวแรง เหยียนชางถูกคนขนมาที่หน้าประตูของศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนภายใต้สายตาของทุกคนใบหน้าของเหยียนชางซีดเขียบราวกับกระดาษ สีหน้าของเขาดูแย่มาก“โอ้ ดูเหมือนเขาถูกทรมานมากเลยนะ”“วันนั้นเจ้าได้ไม่เห็นเขาร้องไห้ที่หน่วยสืบสวนพิเศษ”“มันไม่ได้แค่ร้องไห้หนักนะ พูดได้เลยว่า ฉีดราดกางเกง”“เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ตอนนี้เขาถือว่าดีขึ้นแล้ว”“จริง ๆ เลย... รุกรานใครก็ได้ อย่ารุกรานหน่วยสืบสวนพิเศษเลย”แม้ว่าเหยียนชางกำลังถูกความเจ็บปวดทรมาน แ
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"