หลี่ฉางชิงไม่เคยประสบความพ่ายแพ้เช่นนี้มาก่อนเขาไม่ใช่คนโง่ แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ในใจก็รู้อย่างแจ่มแจ้งว่า เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับชีหยวนอย่างแน่นอนก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งทำนายดวงชะตาให้ชีหยวน บอกว่านางคือดาวกาลกิณี เป็นดาวอัปมงคล ผู้ใดอยู่ใกล้ล้วนต้องตายแล้วผลเป็นอย่างไรเล่า?ผลก็คือ เพียงไม่กี่วันต่อมา ชิวฉู่อิ๋งก็ตายแล้ว!ชิวฉู่อิ๋งซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี ยังไม่เคยมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่กลับมาเกิดเรื่องขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ จะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้อย่างไร?ศิษย์น้อยเห็นสีหน้าเขาคล้ำดำดั่งเหล็ก รีบเร่งถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านอาจารย์?”หลี่ฉางชิงได้สติ หัวเราะเย็นเยียบเสียงหนึ่ง “จะหนีไปไหนเล่า? หากเราหนีไปเช่นนี้ มิเท่ากับโยนความลำบากให้ท่านอ๋องหรือ?”ศิษย์น้อยแทบจะร้องไห้แล้ว เขามองหลี่ฉางชิงด้วยความไม่เข้าใจอย่างยิ่ง “แต่ว่าท่านอาจารย์ หากเราไม่หนี แล้วจะทำอะไรได้อีก? ทุกหนทุกแห่งล้วนมีคนตามจับเรา!”หลี่ฉางชิงผลักหน้าต่างออก บังเอิญเห็นองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งกำลังตั้งด่านตรวจตราอยู่บนถนน ตรวจสอบผู้สัญจรไปมาดูจากท่าทีแล้ว อีกไม่นานคงจะตรวจค้นท
เป็นไปได้อย่างไรกัน?!นั่นมันหลี่ฉางชิงเชียวนะ!ถึงแม้จวนฉู่กั๋วกงล่ม เขายังไม่กระเทือนแม้แต่น้อย กลับมาจากการธุดงค์ก็ยังคงเป็นหลี่ฉางชิงผู้เป็นที่โปรดปรานยิ่งอยู่ดี!เหตุใดจึงเกิดเรื่องขึ้นมากะทันหัน?!เฝิงอวี้จางโกรธจนแทบระงับอารมณ์มิได้ เงื้อมือขึ้นตบหน้านางฉาดหนึ่งทันที “ข้าเคยบอกเจ้ามาแต่แรกแล้ว อย่าได้อวดฉลาด อย่าคิดว่าตนรู้ดีไปหมด! แต่เจ้ากลับไม่ฟังข้าสักคำ!”เฝิงไฉ่เวยกุมแก้มตนเองไว้ แล้วก็จะวิ่งออกไปทันที “ข้าไม่เชื่อ! ท่านปู่โกหกข้าแน่ ๆ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง!”เฝิงอวี้จางแค่นหัวเราะเย็น “ข้าโกหกเจ้าหรือ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลี่ฉางชิงถูกจับเพราะอะไร? ก็เพราะเจียงเหยียนเจินเป็นผู้ออกมาเปิดโปง บอกว่าคดีเขาเหมาซานทำพิธีสาปแช่งเมื่อครานั้น ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของหลี่ฉางชิงกับชิวฉู่อิ๋งร่วมกันวางแผน! ยังมีอีก ยาโอสถที่หลี่ฉางชิงถวายแด่ฝ่าบาทนั้น มีผงห้าศิลาอยู่เป็นจำนวนมาก! ผงห้าศิลาเชียวนะ!”ผงห้าศิลา...เฝิงไฉ่เวยย่อมรู้ดีว่าผงห้าศิลาคือสิ่งใดใบหน้านางซีดเผือด ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทรุดนั่งลงกับพื้น ไม่รู้ว่านางกำลังปลอบใจตัวเอง หรือว่ากำลังย้ำกับเฝิงอวี้จางว่า “ไม่มีทาง เ
คนเรามิใช่มีชีวิตอยู่หนึ่งชาติภพ มิใช่มีชีวิตอยู่เพียงกี่ปีกี่เดือนกี่วัน พูดให้ถึงที่สุดแล้วคนเรามีชีวิตอยู่เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยวพริบตาเท่านั้น ชีหยวนในยามนี้เข้าใจประโยคนี้อย่างถึงที่สุด แน่นอนว่านางสามารถพึ่งพาตนเองได้ทุกอย่างไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ทว่าคนที่เจ้ารักกลับรักเจ้ามากเสียยิ่งกว่าที่เจ้าคาดไว้ ที่แท้ความรู้สึกเช่นนี้มันงดงามหอมหวานแบบนี้เองหรือ นางเลื่อนมือขึ้นไปลูบใบหน้าของเซียวอวิ๋นถิงเบา ๆ อย่างห้ามความรู้สึกไม่อยู่ “ข้าจะรอท่านกลับมา” ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาใด ขอเพียงประโยคเดียว นางก็เข้าใจความรู้สึกในใจทั้งหมดของเขาแล้ว เซียวอวิ๋นถิงโน้มกายลงมามองนาง แล้วจู่ ๆ ก็เลื่อนมือขึ้นมาหยิกแก้มของนางเบา ๆ อย่างรวดเร็ว นุ่มน่าหยิกอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิดจริง ๆ เลย อีกอย่างนิ้วมือของเขาก็ยังอยู่ครบถ้วนดี เขาอดหัวเราะส่งเสียงออกมาไม่ได้เลยจริง ๆ ยามอยู่ต่อหน้าชีหยวน เขามักจะรู้สึกเหมือนหัวใจมีรูรั่ว ความรู้สึกนุ่มนวลอ่อนโยนล้นทะลักออกมาจากด้านในไม่รู้จบสิ้น ดอกพุดซ้อนบนชั้นวางกำลังผลิบาน สายลมในยามนี้รำเพยเอากลิ่นหอมอ่อนจางลอยออกมา ชีหยวนเลื่อนมือไปจับมือของเขาลงม
ความจริงยังอดนึกอยากถามอีกครั้งไม่ได้ว่านางไปฆ่าใครมา ชีหยวนมองความลังเลของเขาออก ก็ชะงักฝีเท้ามองเขาปราดหนึ่ง “ท่านพ่ออยากถามข้าว่า ไปฆ่าใครมาอีกแล้วใช่หรือไม่?” ชีเจิ้นพยักหน้าอย่างเก้อเขิน “ก็แค่อยากถามดู…” ชีหยวนเลิกคิ้ว “อีกไม่นานท่านพ่อก็จะทราบเอง” ..... แม่หนูหยวนช่างรู้จักอุบความลับเก่งเสียจริง! ชีเจิ้นยังไม่ทันได้หายใจสักคำ ได้แต่พยักหน้าเบา ๆ ทว่าชีหยวนหมุนตัวหันหลังและเดินกลับหอหมิงเยว่ไปแล้ว เซียวอวิ๋นถิงเล่นกับเสิ่นเจียหล่างและชีอวิ๋นจื่อมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ครั้นเห็นชีหยวนเข้ามา ชีอวิ๋นจื่อและเสิ่นเจียหล่างก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ พร้อมกับวิ่งเข้าไปหาชีหยวนพลางตะโกนเรียกนางพี่หญิง ชีหยวนลูบศีรษะของพวกเขาเบา ๆ พร้อมกับยิ้มและถามพวกเขาว่า “ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือ?” “เสร็จแล้วขอรับ” ชีอวิ๋นจื่อออกแรงเล่นจนแก้มสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อ ท่าทางตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก “เมื่อครู่ท่านอ๋องบอกว่า อีกไม่นานจะสอนพวกข้าขี่ม้าด้วยขอรับ! พี่หญิง ท่านเองก็ขี่ม้าเป็นเหมือนกัน ใช่หรือไม่ขอรับ?” ชีหยวนชำเลืองมองเซียวอวิ๋นถิงแวบหนึ่ง “ใช่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้าน่ะขี่
ภายในวังหลวงขณะนี้กำลังเกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นมาเพียงเพราะเจียงเหยียนเจินคนเดียว ณ เรือนสกุลเฝิงนอกวังหลวงในยามนี้ เฝิงไฉ่เวยเองก็กำลังหวาดหวั่นพรั่นพรึงแม้กระทั่งเสียงนกกาเช่นกัน นางต้องการให้สาวใช้ออกไปส่งข่าว ทว่าทั้งเรือนกลับถูกเฝิงอวี้จางสั่งให้คนเฝ้าไว้อย่างแน่นหนา อุตส่าห์นึกขึ้นได้ว่ายังพอมีวิธีใช้นกพิราบสื่อสาร แต่เจ้านกพิราบตัวนั้นพอบินออกไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย สิ่งนี้ยิ่งทำให้หัวใจของนางจมดิ่งลงเรื่อย ๆ สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยถามนางอย่างระมัดระวังขึ้นมาพอดี “คุณหนูเจ้าคะ ไม่ลอง ไม่ลองบอกความจริงกับท่านโหวจะเป็นอย่างไรเจ้าคะ? ท่านโหวอาจจะพอหาหนทางช่วยท่าน…” นางสังหรณ์ใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันเกินกว่าที่เฝิงไฉ่เวยจะรับผิดชอบไหวแล้ว เฝิงไฉ่เวยกลับตวัดมือตบหน้าสาวใช้ไปฉาดหนึ่งอย่างรุนแรง “ข้าขอให้เจ้าเสนอหน้ามาปากมากกับข้าหรือ?!” เมื่อใดที่สภาพจิตใจของคนเราเข้าขั้นเลวร้าย ย่อมไม่ฟังเสียงเตือนของคนอื่น ยิ่งในตอนนี้นางไม่ต้องการให้ใครมาเสนอความคิดเห็นให้นาง นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เคียดแค้นในความอยุติธรรมของสวรรค์ ทั้งที่ทุกอย่างมันควรจะดำเนินไปอย่างราบรื่น เหตุใดชิวฉู่อ
ศพ… เจียงเหยียนเจินจะแบกศพคนตายมาหน้าประตูวังหลวงเพื่ออะไรกัน?! เขาพลันรู้สึกขนศีรษะลุกซู่ทันที ทหารยามเฝ้าประตูวังถลันเข้ามาด้วยความรีบร้อน มองเจียงเหยียนเจิน ก็มองเห็นศพที่นอนกองบนพื้นอีกครั้ง พลันตกใจไปชั่ววูบหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “คอยสักครู่” เขาหมุนตัวกลับเข้าไปข้างในอย่างเร่งรีบ เจียงเหยียนเจินทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหวาดหวั่นครั่นคร้าม ราวกับหุ่นกระบอกตัวหนึ่งที่ถูกปล่อยสาย จ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย ไม่รู้เลยว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ในยามนี้เหล่าขุนนางที่มาร่วมประชุมในสำนักขุนนางหลวงต่างก็กำลังแยกย้าย รวมกับขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเข้าเฝ้าฮ่องเต้หย่งชาง ทุกคนต่างพากันทยอยออกมาจากในวัง เมื่อเห็นภาพฉากนี้แล้วก็รู้สึกสะท้านขวัญอย่างอดไม่ได้ เจียงเหยียนเจินในยามนี้ไหนเลยจะว่างไปสนใจว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร? เขาในหัวของเขาคิดถึงแต่คำพูดของชีหยวนวนไปเวียนมา หากเป็นคนอื่นมาข่มขู่เขา ถ้าอยากขู่นักก็ขู่ไปเถิด เขาหรือจะตกใจกลัว? แต่ปัญหาคือคนที่ขู่เขาครั้งนี้คือชีหยวน! ชีหยวนคนนี้ ฆ่าคนเหมือนเชือดผักหั่นแดง หากบอกเจ้าว่าฆ่าก็คือฆ่าเจ้าแน่ มิใช่พวกขู่