“ต่อไปนี้เจ้าคือต้วนอี้หรู และหลานๆ ของข้าก็ล้วนเป็นคนสกุลต้วน ที่สำคัญเจ้าคือบุตรสาว ที่ออกเรือนไปอยู่ไกล ได้หย่าร้างกลับมาอยู่กับพ่อแม่ หาใช่บุตรสาวบุญธรรม เข้าใจหรือไม่”
“อี้หรูทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้าง ความระแวดระวังนั้นใช่หายไปจากสมอง แต่เวลานี้นางต้องเลือกหาที่คุ้มหัวก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันในภายหลัง
แค่กๆ ทว่าเสียงไอจากคนบนเตียง ทำให้ทุกคนที่กำลังยินดี ต่อสถานะใหม่ในโรงหมอ ต่างพากันหันกลับไปมองที่เตียง แม่นมหวังรีบพยุงนายสาวให้ลุกขึ้น เพื่อไปดูอาการของคุณชายใหญ่
หมอชรารีบเข้าไปนั่งยังขอบเตียง แล้วตรวจดูอาการของหลานชายหมาดๆ โดยมีต้วนฮูหยิน ถือถ้วยน้ำติดตามไปด้วย ช่างเป็นวาสนาร่วมกันยิ่งนัก
ได้บุตรสาวมิทันถึงชั่วอึดใจ หลานชายที่สิ้นสติมาหลายวัน ได้ตื่นขึ้นมาเสียที สวรรค์ช่างเมตตายายแก่เยี่ยงนาง ให้มีความชุ่มชื่นหัวใจในวัยใกล้ฝั่ง
“หลานตาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
ชายชราเอ่ยถามหลานชาย ที่ตอนนี้นอนนิ่งจ้องหน้าเขา ราวกับคนกำลังตกอยู่ในห้วงของความคิด เด็กชายกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะค่อยๆ หันมองไปที่คนอื่นๆ ซึ่งยืนมองเขาด้วยแววตายินดี
“ข้า...ข้าหิวน้ำขอรับ”
เด็กชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ลำคอของเขาต้องการความชุ่มชื่นเป็นที่สุด สองสามีภรรยา รีบช่วยกันประคองหลานชาย ก่อนจะป้อนน้ำให้อย่างอ่อนโยน
อี้หรู มองบุตรชายด้วยรอยยิ้ม นี่คือวาสนาร่วมกันจริงๆ บุตรชายเจ้าของร่าง ตื่นมาได้อีกครั้ง จะมีสิ่งไหนดีไปกว่านี้อีกเล่า การปกป้อง ที่เจ้าของร่างยอมสละเพื่อบุตรชาย มันหาได้สูญเปล่า
“รู้สึกอย่างไรบ้าง ดีขึ้นไหม หลางเอ๋อร์”
หญิงสาวเอ่ยถามบุตรชาย ที่เอนตัวพิงอยู่กับอกของต้วนฮูหยิน แววตาของเด็กชายที่มองมายังนาง มันยังคงเต็มไปด้วยความสับสน ทว่า...เพียงครู่เดียว รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าซูบตอบนั้น
“ท่านแม่ปลอดภัยดีนะขอรับ”
“แม่ปลอดภัยจ๊ะ เด็กดี...เจ้าอย่าได้ทำเช่นนั้นอีกรู้ไหม”
หญิงสาวเอื้อมมือไปวางทาบแก้มของบุตรชาย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย นางจะไม่เป็นแม่ที่รักลูกลำเอียง เช่นแม่ของนางในชีวิตเดิม แต่นางจะฟูมฟักพวกเขาอย่างเท่าเทียม
“ข้าจะดูแลท่านแม่ ท่านยายหวัง และน้องๆ ให้ดีขอรับ”
“ท่านตากับท่านยายของเจ้าด้วย”
หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะมองไปที่พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งเด็กชายก็มองตามสายตามารดา
“ขอรับ ข้าจะปกป้องครอบครัวของเรา”
“ข้าด้วยขอรับ/ข้าด้วยเจ้าค่ะ”
คู่แฝดอีกสองคน รีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนที่ผู้ใหญ่ทุกคน จะพากันหัวเราะกับความมุ่งนั้นอย่างเอ็นดู
“ขอบคุณนะ หลางเอ๋อร์ที่เจ้ากลับมา”
“ข้าย่อมต้องกลับมาขอรับ ท่านแม่อย่าได้กังวล ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้วขอรับ”
เด็กชายเอ่ยปลอบโยนมารดา แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังมึนงงกับสิ่งรอบกาย แต่สายตาแห่งความยินดี ต่อการตื่นของเขา มันทำให้สิ่งอื่นเขาเลือกจะเก็บมันไว้ทบทวนในภายหลัง
“คุณชายใหญ่ บ่าวจะไปเตรียมน้ำให้แช่ตัวนะเจ้าคะ”
“ขอบคุณท่านยายหวังขอรับ”
“เดี๋ยวตาไปต้มยา และน้ำแกงมาให้เจ้ากินนะ เจ้าคุยกับแม่และยายเจ้าไปก่อน หลงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ ไปช่วยตาหน่อย”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
คู่แฝดจูงมือผู้เป็นตา เดินออกจากห้องไป พร้อมชวนชายชราพูดคุยเจื้อยแจ้ว
“เจ้ายังเจ็บตรงไหนอยู่หรือไม่”
หลังจากบิดาออกไปแล้ว หญิงสาวได้นั่งลงแทนที่ แล้วคว้ามือบุตรชายมากุมไว้
“ไม่แล้วขอรับ แค่เห็นท่านแม่ปลอดภัย ข้าไม่เจ็บตรงไหนแล้วขอรับ”
“ตัวแค่นี้ ปากหวานนักนะเรา โตขึ้นสตรีทั่วแผ่นดิน คงพ่ายต่อวาจาหวานหูของเจ้าแล้วกระมัง”
หญิงสาวเย้าบุตรชาย ก่อนที่นางจะลุกขึ้น หลีกทางให้แก่แม่นม พาบุตรชายไปแช่น้ำอุ่น เพื่อให้ร่างกายได้สดชื่นขึ้น หญิงสาวทำเพียงมองตามคนทั้งสามไป
ชีวิตใหม่นี้ นางเปลี่ยนแม้แต่สกุลเดิม ซึ่งมันก็ดีไม่น้อย สกุลหยางเป็นสกุลมารดา แต่พอมีคนกล่าวหา ว่านางมิใช่ลูกแท้ๆ ของมารดา พวกเขาก็หาได้เหลียวแลนาง แม้จะยอมให้ใช้สกุล แต่ก็ไม่รับเป็นสายเลือด
บทเริ่มต้นมันอาจลำบาก แต่คนที่เคยทำให้ตนเองร่ำรวยมหาศาลเยี่ยงนาง มีหรือจะทำให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งไม่ได้ และเมื่อวันนั้นมาถึง จะสกุลพ่อหรือสกุลแม่ ก็อย่าได้หวังมาเฉียดใกล้เงินของนางแม้แต่เฉียนเดียว
หกเดือนต่อมา
หลังจากร่างกายกลับฟื้นตัวได้ดี ร่วมถึงบุตรชายก็กลับมาเป็นปกติ ที่เปลี่ยนไปคือความสุขุมของเขา ที่ดูจะเกินเด็กไปสักหน่อย นอกนั้นก็ไม่ถือว่ามีสิ่งใดผิดแผกไป
เมื่อเป็นคุณหนูสกุลต้วนเต็มตัว หญิงสาวก็เริ่มที่จะช่วยพ่อแม่ในการเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัว โดยการใช้สมุนไพรในโรงหมอ ปรุงยาที่ล้ำหน้ากว่าในยุคนี้หลายขนาน รวมถึงการเริ่มต้นทำเครื่องประทินผิว น้ำหอมและชาดทาปากสีต่างๆ ที่เหมาะกับสตรีแต่ละนาง
โดยทุกอย่างถูกวางขาย ผ่านทางต้วนฮูหยินทั้งสิ้น สินค้าที่นางผลิตขึ้นมา มักมีจำนวนจำกัด เพื่อดึงให้ราคาสูงได้ตามต้องการ หญิงงามที่มีฐานะ ยอมจ่ายได้เต็มที่ เพื่อดึงใจคนรักมิให้ห่างหาย การค้าที่ได้เงินไว ย่อมเป็นการค้าขาย เกี่ยวกับความงามของสตรี
“ท่านแม่ขอรับ ดึกแล้วไยยังมินอนอีกเล่าขอรับ”
“ภัยใกล้ตัว! เจ้ากำลังหมายถึงข้าอย่างนั้นรึ! รู้ไหมว่าทำไมข้าไม่เคยให้เขาไปไหน เพราะเขาจะเป็นทุกอย่างให้แก่เจ้า ขอเพียงเจ้าพอใจ ไม่ว่าจะภัยใหญ่แค่ไหน เขาจะขวางมันมิให้ถึงตัวเจ้า แต่เชื่อเถอะว่า...ถ้าเจ้าผลักไสเขาออกห่าง ทั้งเจ้าและข้าจะมีแค่ความคิด แต่ไม่มีความสามารถที่จะลงมือ” หรูกุ้ยเฟย ไม่อาจนิ่งเฉย ปล่อยให้พระโอรสทำลายโล่กำบังภัย เพียงเพราะรู้ถึงตัวตนแท้จริงของขันทีข้างกาย “อันนั้นก็แล้วแต่เสด็จแม่จะทรงเข้าพระทัย ส่วนเขาจะยังอยู่หรือไม่ข้าไม่คิดใส่ใจ ในเมื่ออีกไม่กี่ชั่วยาม ข้าก็คือฮ่องเต้ แล้วจะมีสิ่งใดที่ข้ายังต้องพึ่งพาเขาอยู่อีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ” มู่เฉวียน ยกยิ้มหยันให้กับความคิดของพระมารดา ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างเตียงของพระบิดาอีกครั้ง เขาทอดสายตามองชายชราผมขาวแซมให้เห็นบ้างแล้ว ด้วยแววตากรุ่นโกรธ เขาคือโอรสที่ฉลาดที่สุด ในบรรดาฮดรสธิดาที่เหลืออยู่ของฮ่องเต้ แต่ทำไมกัน! ชายชราผู้นี้ ยังมองไม่เห็นคุณค่าของเขาอีก “มู่เฉวียน! เจ้ามัน...ช่างเถอะข้ามิอยากโต้เถียงกับเจ้าแล้ว” หรูกุ้ยเฟย ไม่อยากจะเชื่อว่าโอรสของนาง นอกจากจะไม่ชอบคิดสิ่งใดให้กว
“เรื่องนั้นกระหม่อมทราบดีพ่ะย่ะค่ะ แต่อย่างไรเสียองค์ชายก็ยังไม่เคยเผชิญความโหดร้ายของโลก เทียบเท่ากับเราๆ ที่อายุเลยวัยหนุ่มสาวมาแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มยังคงชี้แจงอย่างใจเย็น เขารู้ว่าตอนนี้ภายในใจของหรูกุ้ยเฟย กำลังมีความกดดันอย่างถึงที่สุด เพราะสกุลที่หมายกำจัด คือเหล่าสกุลที่ค้ำบัลลังก์ ยิ่งสกุลจางที่มีผู้นำคนใหม่อย่างจางหลีเกอ ความวัยหนุ่มเลือดเดือดพล่าน และความฉลาดเป็นเลิศของจางหลีเกอ ทำให้จากที่เป็นแค่สกุลธรรมดา กลายเป็นหนึ่งสามสกุลคุ้มภัย “หุบปากเจ้าซะ! ไม่ต้องมาแสร้งออกรับแทนข้า” องค์ชายมู่เฉวียนตวาดขันทีหนุ่ม ด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด เพราะมองอย่างไรในคำพุดนั้น มันคล้ายกับการดูหมิ่นว่าตัวเขา ไร้ซึ่งการมองที่กว้างไกลเพี๊ยะ! ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงฝ่ามือของผู้เป็นมารดา มู่เฉวียนยกมือขึ้นแตะที่มุม ซึ่งตอนนี้มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย ชายหนุ่มใช้นิ้วปาดเลือดออก แล้วยกยิ้มหยัน กับการกระทำของผู้เป็นแม่ นางยังเห็นเขาเป็นลูกอยู่หรือไม่! “ทรงตบลูกตัวเอง เพื่อไพร่ชั้นต่ำเยี่ยงนั้นรึ! พ่ะย่ะค่ะ ทรงทำให้ประหลาดใจยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่!”
“พระนางทรงงับโทสะเถิดพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกินกำลังของนายท่านหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มเอ่ยเรียกสติของคนรัก เขาไม่อยากให้ลูกกลัวอีกด้านที่เขาและนางเป็น เรื่องราวมากมายที่ผ่านมา หล่อหลอมให้สาวน้อยในอดีต กลายเป็นดอกไม้พิษ หลังจากก้าวเข้าสู่วังหลัง และเขาเขามั่นใจว่าบิดาของคนรัก มีเส้นสายมากพอ ที่จะไม่ปล่อยเกิดความผิดพลาดในเรื่องนี้ “โทสะรึ! ฮ่าๆ เยี่ยงข้ามันไร้ความรู้สึกนั้นไปนานแล้ว ข้าเกลียดเขา! เกลียดจนไม่อยากที่จะมองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเขาคือฮ่องเต้ ข้าจะต้องมาอยู่แบบนี้หรือ! ชีวิตวัยแรกแย้มของข้า มันควรได้พบความสวยงามที่คู่ควร! มิใช่มาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในวังหลวง มิว่าจะกินหรือนอน ล้วนต้องเฝ้าระวังทั้งสิ้น เจ้ายังคิดว่าข้าจะต้องใช้อีกรึ! คำว่าโทสะ มันเกินคำนั้นไปมากแล้วต่างหาก” หรูกุ้ยเฟย ราวกับต้องการระบายความอัดอั้น ที่สั่งสมมานานปี นางเหน็ดเหนื่อยกับการต้องทำทุกอย่าง ให้ไม่ขัดสายตาชายแก่บนเตียง ฉะนั้นนับจากนี้จะเป็นนาง ที่ควบคุมทุกอย่าง และมันจะไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ “เสด็จแม่! ไยจึงเป็นเช่นนี้เล่าพ่ะย่ะค่ะ”องค์ชายมู่เฉวียน
พระนางกุ้ยเฟยจำต้องเงียบเอาไว้ก่อน เมื่อเห็นแล้วว่าคงเป็นเรื่องยาก ที่จะทำให้พระโอรสของนาง ยอมรับในตัวบิดาแท้ๆ ได้โดยง่าย แต่หากต้องเลือกระหว่างคนรัก กับการก้าวสู่ความเป็นใหญ่ นางย่อมเลือกอำนาจ มากกว่าความรัก แต่การมีคนรักอยู่ใกล้ชิด ก็มีประโยนช์ต่อนางไม่น้อย มิว่าเรื่องน้อยใหญ่ เขาจะจัดการแทนนางได้ไม่ต้องเอ่ยซ้ำ แต่โอรสของนาง ยังอ่อนต่อโลกมากนัก จึงยังไม่รู้จักการใช้คนให้เกิดประโยชน์ “องค์ชาย พระนางกุ้ยเฟย คนของเราได้ส่งข่าวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขันทีจากด้านนอกห้อง ดังแทรกความอึมครึมภายในห้อง ก่อนที่พระนางกุ้ยเฟยจะหันไปมองขันทีข้างกาย และนั่นทำให้คนเป็นลุกกรุ่นโกรธมากกว่าเดิมอีกนับเท่าทวีคูณ คนแรกที่พระมารดาต้องขอความคิดเห็น มันต้องเป็นตัวเขามิใช่หรือ “เขามาได้” สุดท้ายพระนางกุ้ยเฟย ก็ได้เอ่ยปากอนุญาต ให้คนด้านนอก เข้ามาเพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง” องค์ชายมู่เฉวียนที่รอฟังข่าวอย่างใจจดใจจ่อ เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น หากทุกอย่างสำเร็จ เขาคือโอรสสวรรค์คนต่อไป ผู้คนทั้งแผ่นดินจะหมอบท้าเขาเท่านั้
“เสด็จแม่!” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดต่อกันอีก เสียงเรียกจากด้านนอกดังแทรกขึ้นเสียก่อน ทำให้สองร่างที่ใกล้ชิดกัน ต้องขยับถอยออกห่าง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกัน กับที่องค์ชายมู่เฉวียนก้าวพ้นประตูห้องเข้ามาด้านใน “เจ้าเรียกแม่เสียงดัง มีอะไรอย่างนั้นหรือ” พระนางกุ้ยเฟยเอ่ยถามพระโอรสออกไป ทั้งที่ทรงดูดีแก่ใจว่าสิ่งที่ทำให้ลูกของนาง ดูแตกตื่นเช่นนี้คือเรื่องใด “ทรงคิดดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ที่จะทำเช่นนี้” “หากข้าไม่คิดดีแล้ว มีหรือจะอาจหาญลงมือ เจ้าอย่าได้ทำท่าทางตื่นตระหนกให้มากไปเลย ทำตัวให้สูงส่งเด็ดขาดเข้าไว้ ยามอยู่ต่อหน้าขุนนาง จะได้ไม่ถูกมองว่าอ่อนแอ” หรูกุ้ยเฟย สั่งสอนโอรสให้รู้คิด หากไม่ลงมือวันนี้ วันหน้าก็ต้องลงมืออยู่ดี ดังนั้นจะช้าหรือเร็ว สุดท้ายนางก็ต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้นางและลูกมีจุดยืน “องค์ชาย น้ำชาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มรีบยกน้ำชา มาถวายองค์ชายด้วยท่าทีนอบน้อม เช่นที่เคยทำในทุกๆ วัน ซึ่งเขาไม่ได้คิดขุ่นเคือง ที่ถูกสายตามองเมินนั้นจากองค์ชายเลยแม้แต่น้อย “แล้วเสด็จพ่อเล่าพ่ะย่ะค่ะ เราจะบอกแก่ขุนนาง
วังหลวง ณ ตำหนักหลวง ภายในห้องบรรทม ร่างสูงใหญ่ของชายชรา นอนนิ่งอยู่บนเตียงนอนอันกว้างขวาง โดยมีสตรีผู้อ่อนเยาว์กว่าเจ้าของตำหนักหลายปี นั่งอยู่ขอบเตียง หญิงสาวนางใช้นิ้วเรียวเล็ก ไล้ไปตามกรอบหน้าที่ยังคงความหล่อเหลา เช่นตอนเมื่อครั้งยังหนุ่มราวกับอยากย้อนเวลาของเจ้าของร่าง ให้กลับไปหนุ่มแน่นอีกครั้ง นางสละวัยสาวที่ควรได้พบกับชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกัน เพื่อมาคอยปรนนิบัติ ชายผู้อายุใกล้เคียงกับบิดา มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย “ฝ่าบาทไม่น่ามองข้าม หม่อมฉันกับลูกเลยนะเพคะ ไม่อย่างนั้นมีหรือหม่อมฉัน จะต้องทำแบบนี้กับพระองค์ หึๆ ความสาวของหม่อมฉัน พระองค์ได้มันไปเป็นคนแรก แล้วแบบนี้จะทรงขุ่นเคืองหม่อมฉันไปทำไมกันเพคะ กับการที่หม่อมฉันจะมีสิ่งช่วยสร้างความสุขเพิ่มเติม” พระนางหรูกุ้ยเฟย ผู้เป็นสนมคนโปรดในขณะนี้ เอ่ยกับพระสวามีด้วยน้ำเสียงกึ่งเยาะหยัน นางที่ยังเป็นเพียงสาวน้อยเมื่อครั้งนั้น ต้องถูกส่งเข้าวัง เพื่อเป็นสนมของฮ่องเต้ หลังจากมีการกวาดล้างกบฏเมื่อสิบห้าปีก่อน นางที่ยังสาวได้รับการโปรดปราณ และก้าวสู่ตำแหน่งเฟยในเวลาเพียงไม่กี่ปี หลังจากที่ให้กำเน