Share

ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ
ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ
Author: กระจ่างแจ้ง

บทที่ 1

Author: กระจ่างแจ้ง
ต้นวสันตฤดูเดือนสอง ณ ภูเขาเชวี่ย หิมะในฤดูหนาวยังไม่ละลายดี ฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างกะทันหัน พัดพาเอาทั้งหมอก หิมะ และโคลนเข้าไว้ด้วยกัน

ต้นต้วนในป่าถูกปกคลุมด้วยสีขาวโพลน สายลมและสายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง เมื่อม้าที่คลุ้มคลั่งตัวหนึ่งบรรทุกคนพุ่งเข้ามา ก็ได้ทำลายความเงียบสงัดท่ามกลางหิมะลง

ซ่งถังหนิงยังคงจมอยู่กับความรู้สึกขาดอากาศหายใจจากการถูกบีบคอ พยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ ในชั่วพริบตาต่อมา ทั้งร่างของนางก็ถูกเหวี่ยงจนลอยกระเด็นออกไป

บังเหียนบาดนิ้วจนเป็นแผล ร่างกายร่วงหล่นลงไปในกองหิมะอย่างแรง ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็กลิ้งตกลงไปเบื้องล่างเรื่อย ๆ

“ฟู่! ——”

น่องกระแทกเข้ากับก้อนหินอย่างรุนแรง เสียงลมพัดเสียดใบหู

ซ่งถังหนิงเจ็บปวดจนแทบจะหมดสติไป

นางโบกมือคว้าก้อนหินที่อยู่ใกล้ที่สุด แขนถูกหินขูดจนเป็นรอยเลือดยาวเหยียด รอจนกระทั่งร่างกระแทกเข้ากับพงหญ้าบนทางลาดชันหลายครั้ง จึงสามารถยึดเกาะร่องหินไว้ได้และทรงตัวไว้ได้มั่นคง

ถังหนิงหอบหายใจอย่างหนัก ความรู้สึกขาดอากาศหายใจก่อนตายจากการถูกบีบคอนั้น ผสมปนเปกับความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่าง นางมองกิ่งไม้ที่หักโค่นอยู่บนที่สูงด้วยความมึนงง

เบื้องล่างคือป่าหิมะอันกว้างใหญ่ไพศาล ไกลออกไปมีเสียงร้องโหยหวนของม้าดังแว่วมา

ที่นี่คือ…

ภูเขาเชวี่ย?

นางกลับมาแล้วจริง ๆ

กลับมาตอนอายุสิบห้าปี ขณะที่ประสบอุบัติเหตุจนเสียโฉมที่วัดหลิงอวิ๋น

ปีนี้ ซ่งซูหลานซึ่งเป็นพี่สาวต่างมารดาเพิ่งจะเข้าจวน ก็อาศัยความน่าสงสารของชาติกำเนิด ทำให้พี่ชายของนางโปรดปรานและเอ็นดูเป็นพิเศษ

เพียงแค่ซ่งซูหลานหลั่งน้ำตา ก็สามารถหลอกล่อให้ลูกพี่ลูกน้องที่รักใคร่นางมาตั้งแต่เด็ก และคู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกันประคบประหงมนางราวกับดวงใจ

เพียงเพราะนางมีเรื่องทะเลาะกับซ่งซูหลาน คนที่เคยเป็นญาติสนิทที่สุดของนางทั้งสามคนกลับทอดทิ้งนางไว้ในป่ารกร้างไร้ผู้คน ปล่อยให้นางตกหน้าผา ขาหัก และเสียโฉม

สายฝนเย็นเยียบสาดซัดเข้าใบหน้า โลหิตไหลเข้าตาจนแสบไปหมด

ซ่งถังหนิงกัดฟันแน่นพยายามจะปีนขึ้นไป แต่พอขยับตัวก็กลับไถลลงไปเบื้องล่าง

นางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

เพิ่งจะกลับมา หรือว่าจะต้องตายอีกครั้ง...

“เมื่อครู่เหมือนจะได้ยินเสียงมาจากทางนี้ เอ๊ะ ตรงนี้มีม้าอยู่ตัวหนึ่ง... นายท่าน จะไปดูหรือไม่ขอรับ?”

“ดูคนตายหรือ?”

“...ก็จริง ตกจากที่สูงขนาดนี้ คนคงตายไปนานแล้ว...”

ซ่งถังหนิงได้ยินเสียงที่คลุมเครือจากทางลาดชันด้านบนราวกับกำลังจะเดินจากไป นางไม่สนใจความประหลาดใจและความสับสนจากการได้เกิดใหม่แล้ว นางคว้าก้อนหินใต้มือไว้แน่นแล้วตะโกนออกไปสุดเสียง “ข้างบนมีคนอยู่หรือไม่ ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!!”

ข้างบนเงียบไปชั่วขณะ ไม่นานก็มีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมา

“โอ้ ช่างดวงแข็งจริง ๆ ยังรอดชีวิตมาได้อีกหรือ?”

ซ่งถังหนิงมองผ่านม่านฝน ไม่เห็นชัดเจนว่าคนที่อยู่ข้างบนเป็นใคร เห็นเพียงเสื้อคลุมฟางที่เขาสวมอยู่

นางรีบอ้อนวอน “ท่านผู้กล้า ข้าคือคุณหนูรองแห่งจวนซ่งกั๋วกง พระชายาเฉิงคือท่านน้าของข้า ท่านลุงของข้าคือเสนาบดีผู้ช่วยสำนักราชเลขาธิการซ่งหง ขอท่านผู้กล้าโปรดช่วยข้าด้วย จวนของข้าจะต้องตอบแทนอย่างงามแน่นอน”

ทันทีที่นางอ้าปาก น้ำฝนก็ผสมกับเลือดไหลเข้าปาก ทำให้นางสำลักจนร่างกายโงนเงน

คนที่อยู่ข้างบนประหลาดใจ “นายท่าน เป็นคุณหนูจากจวนซ่งกั๋วกงขอรับ”

“คนของสกุลซ่งหรือ?”

เสียงของคนคนนั้นเมื่อครู่ไพเราะดุจหยกกระทบกันเบา ๆ “พาขึ้นมา”

“ขอรับ”

คนที่อยู่บนทางลาดชันรับคำสั่งแล้วกระโดดลงไป ก้อนกรวดที่สั่นคลอนอยู่แล้วก็ร่วงลงมาเพราะเขา

ซ่งถังหนิงตกใจจนต้องรีบหลับตา มือที่จับก้อนหินสั่นเทาและร้องเสียงหลง ขณะที่กำลังจะร่วงลงไป ก็ถูกใครบางคนคว้าตัวไว้แล้วดึงขึ้นมา พลิกตัวทะยานขึ้นไปด้านบน

วิชาตัวเบาของคนผู้นั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก ในชั่วพริบตาก็ถึงที่หมาย เมื่อเท้าแตะพื้นดินที่มั่นคงในป่าหิมะ และแน่ใจว่าตนเองรอดแล้ว ซ่งถังหนิงก็เข่าอ่อนทรุดลงนั่งบนพื้น

ม่านตาของนางถูกเลือดบดบัง ทุกสิ่งเบื้องหน้าจึงเป็นสีแดงฉาน นางเงยหน้าขึ้นมองรถม้าเบื้องหน้าแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณท่านผู้กล้าที่ช่วยชีวิต...”

“ผู้กล้าหรือ?”

ผนังรถม้าทำจากไม้แดงประดับด้วยทองสำริดแกะสลักลวดลาย หน้าต่างมีมือข้างหนึ่งยื่นออกมา

ซ่งถังหนิงเห็นม่านนั้นถูกเลิกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างที่คมคายราวกับแกะสลัก แฝงไปด้วยความสูงส่งและสง่างาม ม่านตาของนางหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว สีหน้าเหม่อลอย

ท้องฟ้าสีเลือด พื้นดินสีเลือด รถม้าสีเลือด

และ

เซียวเยี่ยน...

ใบหน้าของซ่งถังหนิงซีดขาวในทันที ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ช่วยนางจะเป็นคนของเซียวเยี่ยน

เดิมทีเซียวเยี่ยนมาจากสำนักขันที เป็นหัวหน้าขันทีในวัง เนื่องจากได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ จึงได้กุมอำนาจบัญชาการกองกำลังทหารในเมืองหลวง ในมือมีองครักษ์เกราะดำที่ทุกคนต่างหวาดกลัว คอยทำหน้าที่กำจัดเหล่าขุนนางที่ไม่เห็นพ้องหรือเป็นปฏิปักษ์กับฮ่องเต้โดยเฉพาะ

ผู้ใดที่ถูกเขาหมายหัวล้วนต้องพบกับจุดจบที่เลวร้าย คนที่ตายด้วยน้ำมือเขานั้นมีนับไม่ถ้วน

ขุนนางทั่วทั้งราชสำนักต่างมองว่าเขาเป็นขันทีทรราช แต่เพราะอำนาจล้นฟ้าของเขา แม้แต่เชื้อพระวงศ์และขุนนางผู้มีอำนาจเมื่อพบเขาก็ต้องก้มหัวเรียกเขาว่า “หัวหน้าเซียว”

เซียวเยี่ยนเป็นคนเย็นชาอำมหิต ใช้วิธีการที่เหี้ยมโหดปรานี เขาไม่มีญาติมิตรหรือคนรู้จัก ไม่มีพันธะใด ๆ แต่ในชาติที่แล้ว เขากลับกลายเป็นที่พึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุดของซ่งซูหลาน พี่หญิงของนางผู้มีชาติกำเนิดเป็นบุตรีอนุนอกเรือน

ใบหน้าของซ่งถังหนิงซีดขาว นางก้มหน้าลงต่ำ นึกถึงเรื่องราวที่นางได้ยินคนเฝ้ายามคุยกัน ในระหว่างที่นางถูกสกุลซ่งกักขัง

พวกเขาบอกว่า หัวหน้าเซียวรับซ่งซูหลานเป็นน้องสาวบุญธรรม

พวกเขาบอกว่า หัวหน้าเซียวดูแลน้องสาวคนนี้เป็นอย่างดี

ด้วยอำนาจของเซียวเยี่ยน ไม่มีใครกล้าดูถูกซ่งซูหลาน

ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันประจบประแจงและยกย่องซ่งซูหลานเพราะสถานะนี้ แม้ว่าภายนอกบุตรีอนุนอกเรือนคนนี้จะมีตำแหน่งเป็นเพียงบุตรอนุภรรยา แต่กลับมีชีวิตที่สูงส่งกว่าองค์หญิงเสียอีก

ซ่งถังหนิงจำได้ไม่เคยลืม หลังจากที่นางตกหน้าผาที่ภูเขาเชวี่ยจนเสียโฉม เพราะ “ความริษยา” ที่มีต่อซ่งซูหลาน นางจึงถูกคนสกุลซ่งกักขังไว้ในจวนนานหลายปี ส่วนซ่งซูหลานกลับได้แต่งงานกับลู่จื๋อเหนียน คู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกันและหมั้นหมายกันมานานหลายปีของนาง

ในวันที่พวกเขาแต่งงานกัน นางอาศัยช่วงชุลมุนหนีออกมาได้อย่างยากลำบาก ทว่าที่หน้าประตู นางกลับชนเข้ากับเซียวเยี่ยนที่สวมชุดคลุมขนปีกนกกระเรียน ผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ต่อหน้าซ่งจิ่นซิวพี่ชายของนาง

“นางคือ?” เซียวเยี่ยนแสดงสีหน้าเย็นชา

พี่ชายของนางซ่งจิ่นซิว ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ “คนบ้าในจวน ทำให้ท่านหัวหน้าตกใจแล้ว”

“ในเมื่อเป็นคนบ้า ก็ดูแลให้ดี”

เพียงประโยคเดียว นางก็ถูกจับตัวกลับไป

ในคืนนั้น นางก็ถูกรัดคอจนตายในห้อง ก่อนตายได้ยินเพียงเสียงเย็นยะเยือกของคนข้างหลังว่า

“ใครใช้ให้เจ้าไปรบกวนคนที่ไม่ควรรบกวน”

......

ความรู้สึกขาดอากาศหายใจจากการถูกผ้าขาวรัดคอทำให้นางหายใจถี่ขึ้น ราวกับว่านางเห็นตัวเองคอพับ ตาเบิกโพลง ตายตาไม่หลับ

ซ่งถังหนิงตกใจจนอยากจะถอยหลัง แต่กลับชนเข้ากับขาของชางลั่งโดยไม่ทันได้ระวัง

ชางลั่งเห็นเด็กสาวหนาวจนหน้าซีดเผือด ก็หยิบร่มขึ้นมากางให้นาง “แม่นางน้อยซ่งไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? ฝนตกหนักขนาดนี้ ที่นี่ก็เปลี่ยวและเดินทางลำบาก แม่นางน้อยซ่งมาที่นี่คนเดียวได้อย่างไร?”

ซ่งถังหนิงก้มหน้าลงเพื่อซ่อนความตื่นตระหนก “ข้าไม่ได้มาคนเดียว ข้ามากับพี่ชายเพื่อไหว้พระที่วัดหลิงอวิ๋น”

“ไหว้พระหรือ?” ชางลั่งประหลาดใจ “ที่นี่ห่างจากวัดหลิงอวิ๋นไกลมากนะ”

ซ่งถังหนิงกลัวเซียวเยี่ยน และไม่รู้ว่าตอนนี้เขามีความเกี่ยวข้องกับซ่งซูหลานแล้วหรือไม่

นางไม่กล้าพูดถึงความผิดของซ่งซูหลาน ได้แต่พูดอย่างระมัดระวัง “พี่ชายของข้ามีธุระด่วนต้องกลับเมืองหลวงก่อน ให้ข้าอยู่ที่วัดแล้วจะมารับทีหลัง เป็นข้าที่ดื้อรั้นตามออกมาเลยหลงทาง...”

“โกหก”

คนบนรถม้าพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ขึ้นไปไหว้พระมีถนนหลวง ลงเขาก็มีเช่นกัน คุณหนูจวนกั๋วกงเดินทางย่อมมีบ่าวไพร่ติดตามเป็นกลุ่ม แม้จะดื้อรั้นออกจากวัด ก็ไม่มีทางที่จะขี่ม้ามาถึงที่นี่ตามลำพังเด็ดขาด”

“ข้า...” ถังหนิงตัวสั่น

“ใครส่งเจ้ามา”

คนในเมืองหลวงทุกคนต่างรู้ดีว่า ทุกปีในวันนี้เขาจะขึ้นภูเขาเชวี่ยเพื่อเซ่นไหว้ สตรีผู้นี้บอกว่าไปวัดหลิงอวิ๋น แต่กลับเดินในเส้นทางเล็ก ๆ ที่เขาใช้ขึ้นลงเขา

ช่วงนี้เขากำลังสืบสวนเรื่องราวในอดีตบางอย่าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตระกูลใหญ่หลายตระกูลในเมืองหลวง และยังไปเหยียบตาปลาของใครหลายคนเข้า

เขาต่อสู้กับคนเหล่านั้นในราชสำนักมานานหลายปี พวกสุนัขจนตรอกที่อยากจะเอาชีวิตเขาก็มีอยู่ไม่น้อย

ตระกูลใดกันที่สืบรู้การเดินทางของเขา แล้วใช้ชื่อของคุณหนูสกุลซ่งมา หวังจะใช้แผนเสี่ยงอันตรายเพื่อเข้าใกล้ตัวเขา?

สายตาของเซียวเยี่ยนเย็นชา “สารภาพมาตามตรง จะให้ศพอยู่ในสภาพสมบูรณ์”

ซ่งถังหนิงตกใจในทันที “ข้าเป็นบุตรสาวสกุลซ่งจริง ๆ ข้าไม่ได้โกหกท่านผู้สูงศักดิ์ ข้าแค่หลงทางชั่วขณะจึงมาถึงที่นี่...”

เซียวเยี่ยนก้มหน้าลงมองเด็กสาวที่ตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่บนพื้น

ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวกับดอกตูมเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ดวงตากลมโตเมื่อร้องไห้ก็แดงก่ำช้ำเลือด ขดตัวเป็นก้อนราวกับสัตว์ป่าตัวน้อยที่บาดเจ็บ แต่เขากลับไม่รู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย

“ฆ่าทิ้งเสีย”

“เจ้าคนเนรคุณ คิดจะทำร้ายนายท่านของข้าหรือ?”

ชางลั่งที่เมื่อครู่ยังมีสีหน้าเป็นห่วง บัดนี้กลับบีบคอของนางไว้

ความกลัวในวินาทีที่ถูกรัดคอจนตายจู่โจมเข้ามาในใจ ซ่งถังหนิงยื่นมือไปเกาะขอบรถม้าแล้วล้มลงกับพื้น “หัวหน้าเซียวโปรดไว้ชีวิตด้วย!”

“โอ้?”

บนรถม้ามีเสียงหัวเราะเยาะ เซียวเยี่ยนมองลงมาจากที่สูง “เลิกแกล้งทำเป็นไม่รู้จักข้าแล้วหรือ?”

แม้จะเป็นเพียงประโยคเบา ๆ หนึ่งประโยค แต่ถังหนิงกลับรู้สึกราวกับว่าวินาทีต่อมาจะถูกถลกหนัง “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงท่านหัวหน้า เพียงแต่ตอนแรกจำท่านไม่ได้...”

“ตอนนี้จำได้แล้ว”

“ข้า...”

ซ่งถังหนิงรู้สึกชาวาบไปทั้งศีรษะ

เซียวเยี่ยนหัวเราะเบา ๆ “อะไรกัน กลัวข้าหรือ?”

เขาสลัดความโหดเหี้ยมออกไปราวกับเป็นคนอารมณ์ดี แต่ถังหนิงกลับรู้สึกลำคอตีบตัน “ไม่เจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่ได้ยินคนพูดว่าท่านหัวหน้าชอบความสงบ”

“คำพูดเหลวไหลมาจากไหนกัน”

เซียวเยี่ยนราวกับได้ยินเรื่องน่าสนใจอะไรบางอย่าง เขาเท้าแขนกับขอบหน้าต่าง ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย

“ข้าชอบความครึกครื้นที่สุด โดยเฉพาะตอนถลกหนังคนทั้งเป็น เลือดเนื้อที่แหลกเละผสมกับเสียงร้องขอชีวิตอันโหยหวน ช่างไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก หนังแผ่นนั้นลอกจากศีรษะลงมา ถลกออกมาทั้งแผ่น งดงามอย่างยิ่ง”

“...”

เมื่อเห็นว่านางหน้าซีดไร้สีเลือด เซียวเยี่ยนก็หัวเราะเยาะ สายตาเย็นชาลงทันที

“โยนนางลงไป”
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 80

    สีเลือดบนใบหน้าของผู้ตรวจการเหอพลันจางหายไปในพริบตาเซียวเยี่ยนหัวเราะเยาะออกมา “ข้าทราบดีในอดีตเพื่อกวาดล้างราชสำนักแทนฝ่าบาท ข้าได้ทำให้ผลประโยชน์ของผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องสั่นคลอน และรู้ด้วยว่ามีคนบางส่วนไม่พอใจที่ข้าได้ถืออำนาจควบคุมองครักษ์เกราะดำกำราบผู้ที่มีใจคิดกบฏให้สิ้นแทนฝ่าบาท ทว่าข้ากลับไม่คาดคิดเลยสักนิดว่า คนของฝ่ายตรวจการที่ได้ชื่อว่าซื่อตรงไม่ยอมโอนอ่อนก็เป็นพวกเหลวไหลจับแต่ลมคว้าแต่เงาเหมือนกัน”“ใต้เท้าเหอไม่มีหลักฐานแม้เพียงสักนิดก็คิดจะกล่าวหาว่าร้ายข้าแล้ว มิหนำซ้ำยังหยิบยกเหตุผลน่าขบขันที่สุดมาโจมตีข้าอีก ท่านไม่พอใจที่เมื่อก่อนข้าลงมือแทนฝ่าบาท หรือไม่พอใจที่ฝ่าบาทให้ข้ารับผิดชอบตำแหน่งหัวหน้าของคณะองคมนตรี ดังนั้นถึงได้ยอมละทิ้งชื่อเสียงอันบริสุทธิ์หมดจดของผู้ตรวจการเพื่อจะได้ทำลายข้า?”สีหน้าของฮ่องเต้อันพลันเย็นเยียบลงทันใดผู้ตรวจการเหอมีเหงื่อเย็นผุดพรายเป็นสาย เข่าสองข้างอ่อนยวบทรุดลงกับพื้นทันที “ฝ่าบาทโปรดวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนเที่ยงธรรม กระหม่อมหาได้มีเจตนาเห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย กระหม่อมเพียงแค่ปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้ตรวจการอย่างเคร่งครัดก็เท่านั้นพ่ะย่ะค

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 79

    ผู้ตรวจการเหอหน้าแดงก่ำ “เจ้าเล่นลิ้นเล่นสำนวน ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งคนนั้นก็แค่ไปเยี่ยมคุณหนูของนาง…”“วิธีการเยี่ยมของท่านคือการโจมตีใบหน้าอีกฝ่ายให้เสียโฉม ตีอีกฝ่ายจนสลบ หรือว่าทุบตีอีกฝ่ายจนกระอักเลือดล้มป่วยไม่ฟื้น?”ประโยคเดียวของเซียวเยี่ยนตอกหน้าจนคนผู้นั้นสะอึกไป“อย่าว่าแต่เรือนหลังนั้นข้ายังมิได้โอนมอบให้แม่นางน้อยซ่งเลยด้วยซ้ำ การที่คนสกุลซ่งบุกเข้ามาย่อมมีความผิด หรือต่อให้ข้าจะมอบเรือนให้แม่นางน้อยซ่งแล้วก็จริง ข้าในฐานะหัวหน้าสำนักองคมนตรีฝ่ายใน เห็นคนบุกเข้าเรือนผู้อื่นทำร้ายร่างกายอย่างโหดเหี้ยมต่อหน้าต่อตา หนำซ้ำยังได้ยินเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือมาจากในจวนแล้ว จะต้องนิ่งดูดายทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอย่างนั้นหรือ?”ผู้ตรวจการเหอหน้าแดงหน้าขาว ตะคอกเสียงดังออกมาด้วยโทสะ “แบบนั้นจะไปเทียบกันได้อย่างไร ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งก็แค่สั่งสอนผู้น้อยในจวนเท่านั้น”“ที่แท้ผู้ตรวจการเหอก็สั่งสอนบุตรหลานด้วยการทุบตีหวังให้ตายคาที่อย่างนั้นเองหรือ?”“เจ้า!” ผู้ตรวจการเหอถูกตอกหน้าหงายก็ตะคอกขึ้นด้วยโทสะ “เจ้าจงใจบ่ายเบี่ยงเลี่ยงประเด็น ต่อให้ตัดประเด็นที่ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งกับแม่นางน้อยซ่งคนนั้

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 78

    ภายในจวนถังที่ตรอกจีอวิ๋น ถังหนิงกำลังหลับใหลอย่างสงบ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าด้านนอกมีคนกำลังโต้เถียงกันเพราะนาง ทว่าราชสำนักในห้วงความฝันของนางบัดนี้ กลับกำลังวุ่นวายโกลาหล ราวหม้อน้ำมันเดือดภายในราชสำนักการยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจระลอกที่สองดูจะรุนแรงกว่าที่พวกซ่งหงคิดเอาไว้มาก ครั้งนี้มิเพียงหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินเฉาเต๋อเจียง แม้แต่ขุนนางระดับมุขมนตรีสามสำนักทั้งสำนักราชเลขาธิการ สำนักอัครเสนาบดี และสำนักสนองราชโองการก็ทยอยกันออกมายื่นฎีกาไม่ไว้วางใจเช่นกัน ถ้อยคำรุนแรงในท้องพระโรงนั้น ทำให้ชื่อเสียงและเกียรติยศที่สะสมมาหลายปีของซ่งหงพ่อลูกพังทลายลงเพียงชั่วข้ามคืนเพื่อให้สมน้ำสมเนื้อ เรื่องที่เซียวเยี่ยนทำร้ายร่างกายสตรีบรรดาศักดิ์เก้ามิ่งในราชสำนัก แอบอ้างสิทธิ์สำนักแพทย์หลวง ใช้อำนาจองครักษ์เกราะดำบีบบังคับหอโอสถในเมืองหลวง และทำตัวกร่างข่มเหงรังแกผู้คนในเมือง ก็ถูกลู่ฉงหยวนหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการและพรรคพวกจับเป็นความผิดไม่ปล่อยเช่นกัน“เป็นเพราะสกุลซ่งเป็นฝ่ายกระทำความผิดก่อน บุกเข้าตรอกจีอวิ๋นมาทำร้ายร่างกายผู้อื่นก่อน…”“นั่นก็มิใช่เหตุผลสมควรให้เขาทำร้ายร่างกายสตรีบรร

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 77

    พระชายาเฉิงจะไปขอความช่วยเหลือจากเขาได้อย่างไร?เซียวเยี่ยนได้ฟังถ้อยคำของจิ้นอวิ๋นก็เอ่ยด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “มีความแค้นอย่างนั้นหรือ?”“ใช่ขอรับ”เซียวเยี่ยนหัวเราะออกมาเบา ๆจิ้นอวิ๋นยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าประโยคไหนของตนเองทำให้ท่านหัวหน้าขบขันขึ้นมาได้ ขณะที่เขาถือเสื้อคลุมเดินตามหลังเซียวเยี่ยนออกไปด้านนอก ก็ถามขึ้นด้วยเสียงเบาหวิว “เช่นนั้นแล้วเรื่องของสกุลซ่งนี้พวกเราต้องออกมือด้วยหรือไม่ขอรับ?”“ไม่ต้อง”หากเรื่องแค่นี้กู้เฮ่อเหลียนยังสืบไม่ได้ ก็เสียแรงที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพไฉ่เสิ่งเอี้ยแล้วรถม้าเคลื่อนมาหยุดหน้าประตูจวนแล้ว ตอนที่เซียวเยี่ยนก้าวออกไปสายตาก็เหลือบไปมองเรือนข้าง ๆ ที่ยังคงมืดสนิทเหมือนเคย พอนึกถึงเมื่อวานตอนบ่ายที่แม่นางน้อยฟังเขาเล่าเรื่องราวน่าสนุกในราชสำนักให้ฟัง จนเผลอฟุบหลับไปบนโต๊ะแล้วยังส่งเสียงออกมาเบา ๆ เหมือนแมวน้อยแบบนั้น แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มขึ้นมา“อีกเดี๋ยวจงให้คนไปที่ตลาดเลือกคนที่ชาติกำเนิดสะอาดไร้มลทินส่งไปที่จวนถัง แล้วหาสตรีที่เรียบร้อยเชื่อฟังในเรือนของขุนนางต้องโทษมาสักสองสามคน ส่งไปปรนนิ

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 76

    เจี่ยงหมอมอตื่นตระหนกตกใจ “พระชายาเพคะโปรดระงับอารมณ์อย่าคิดมากวิตกกังวลไปก่อนเลยเพคะ ท่านอ๋องอาจเพราะเกิดความเกรงกลัวในใจ ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะกลัวว่าหากคุณหนูขัดแย้งกับสกุลซ่งมากเกินไปจะทำให้ชื่อเสียงของนางเสื่อมเสีย กลัวว่าหากสกุลซ่งก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแล้วคุณหนูจะถูกคนสกุลลู่รังเกียจ”“ไหนจะมีไท่เฟยผู้เฒ่าด้วยอีกคนเพคะ ไท่เฟยผู้เฒ่าเองก็ทรงขุ่นเคืองมาตลอดที่พระชายารักและสงสารคุณหนูมากเกินไป ท่านอ๋องเองก็อาจเป็นเพราะกังวลว่าพระชายาจะทำให้ไท่เฟยผู้เฒ่าไม่พอใจ กลัวว่าหากเกิดเรื่องอะไรกับสกุลซ่งขึ้นมาจริง ๆ อาจพัวพันมาถึงท่านและคุณหนูได้…”นางพยายามหาข้ออ้างอย่างสุดชีวิต เพื่อจะบอกว่าเฉิงอ๋องมิได้ตั้งใจ ทว่าพระชายาเฉิงกลับไม่ฟังแม้แต่ประโยคเดียว“พวกข้าเป็นสามีภรรยากันมาสิบกว่าปี เขาจะมีความกังวลใจใดที่มิอาจบอกข้า?”“โกหกก็คือโกหก ต่อให้เหตุผลจะมีมากแค่ไหนสุดท้ายทั้งหมดก็คือข้ออ้าง”“เรื่องอื่นข้ายังพอมองข้ามไม่คิดเล็กคิดน้อยได้ ทว่าเขารู้อยู่แก่ใจว่าสกุลซ่งรังแกถังหนิงอย่างไร รู้อยู่แก่ใจว่าเขาทำลายชื่อเสียงความรักใคร่ปรองดองของพี่หญิงและพี่เขยของข้าอย่างไร แล้วก็รู้ทั้งรู้ว่า

  • ยามบุปผางามผลิบานทั้งใจ   บทที่ 75

    เฉิงอ๋องโอบกอดพระชายาไว้พลางปลอบประโลมอย่างอ่อนโยนพระชายาเฉิงเอนกายซบลงบนไหล่ของเขา “ท่านอ๋อง คนที่ท่านส่งไปที่อันโจวส่งข่าวกลับมาบ้างหรือยังเพคะ สืบเรื่องของซ่งซูหลานมาได้บ้างหรือไม่เพคะ?”เฉิงอ๋องชะงักมือไปเล็กน้อย ก่อนจะลูบแผ่นหลังของนางต่อไปอย่างแผ่วเบา “จะรวดเร็วปานนั้นได้อย่างไร ระยะห่างระหว่างอันโจวกับเมืองหลวงต้องใช้เวลาตั้งหลายวัน หลังจากไปถึงแล้วยังต้องคิดหาวิธีสืบถามอีก เรื่องราวเหล่านี้พอสืบมาได้ความตามสมควรแล้ว ต่อให้ใช้ม้าเร็วไปกลับก็ยังต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนเดือนเชียว ข้าว่าเรื่องนี้เจ้าน่าจะคิดมากไปเอง”“สกุลซ่งก็มิใช่พวกเสียสติ พวกเขาจะเอาสตรีไม่รู้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาปะปนในสายเลือดของจวนกั๋วกงได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นบุตรีอนุนอกเรือนคนนั้นโฉมหน้าก็พอจะคล้ายคลึงคนสกุลซ่งอยู่บ้าง”“ถังหนิงเองก็เพราะบาดหมางกับสกุลซ่งถึงได้จิตฟุ้งซ่านคิดมากไปเอง เจ้าเองก็ปล่อยให้นางก่อเรื่องวุ่นวาย แม้ข้าจะตกปากรับคำว่าส่งคนไปสืบแล้วก็จริง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ควรเปิดเผยเป็นการใหญ่ มิเช่นนั้นหากสืบแล้วไม่พบอะไรขึ้นมา แล้วคนนอกรู้ว่าถังหนิงกล้าสอดปากสอดคำขัดแย้งกับผู้ใหญ่ในจวนขึ้นมา เกร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status