LOGIN“สักครู่ของเจ้า ข้าว่านานเกินไปกระมัง ข้านั่งรอจนน้ำชาหมดกาแล้ว ขอข้าเข้าไปดูหน่อย หากน้องสี่เหงื่อออกมากเกินไป เขาอาจป่วยได้นะ”
“อ๊ะ! รัชทายาท พระองค์ทรงรอให้กระหม่อมเข้าไปแจ้งท่านอ๋องตามกฏระเบียบก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้านี่นะ บังอาจยิ่ง แต่เอาเถอะ ถือว่าเป็นคนซื่อตรงภักดีต่อน้องสี่ เราจะไม่ถือสา”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ในตอนนั้นเอง จ้าวเฟิ่งที่กอดรัดเพ่ยหนิงให้ใบหน้าฝังอยู่ตรงแผ่นอกก็โผล่ออกจากผ้าห่มเพียงผู้เดียว
เขาม้วนตัวนางเก็บไว้ใต้ผ้าห่มอย่างแน่นหนาไร้ช่องลม รีบหยิบเสื้อคลุมบนพื้นห้องมาสวมร่างเปล่าเปลือยของตนพลางก้าวข้ามประตูเล็กที่ทะลุห้องอาบน้ำไปอย่างรวดเร็ว
หลี่อี้ยืนปาดเหงื่ออยู่หลังประตูห้องอาบน้ำ เมื่อได้รับสัญญาณทางสายตาของจ้าวเฟิ่งที่ทำท่าเพิ่งลุกออกจากถังไม้ก็หันไปเปิดประตู ค้อมเอวผายมือเชิญรัชทายาทเดินเข้ามาอย่างผ่าเผย
“น้องสี่” จ้าวไท่หรงทักทายน้องชายอย่างอารมณ์ดี สายตายังแอบสำรวจไปทั่ว ตั้งแต่ห้องส่วนตัวและห้องอาบน้ำ ขื่อเพดาน
“พี่ใหญ่” จ้าวเฟิ่งหรี่ตา แค่นเสียงอย่างรู้ทัน “ท่านคงมิได้มาตรวจสอบผลจากงานเลี้ยงเมื่อคืนกระมัง?”
ฉับพลันนั้น เขาจึงได้เข้าใจ ยาในสุราเมื่อคืน ไม่แน่ว่าคือฝีมือของหวังซูเหยากับรัชทายาทร่วมมือกันหรือไร?
คำถามแฝงนัยทำรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับมุมปากจ้าวไท่หรง ส่งผลให้ใบหน้ายิ่งงดงามน่าหลงใหล “มีเพียงน้องสี่ที่รู้ใจพี่ใหญ่”
ขณะเอ่ย รัชทายาทหนุ่มยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้าใกล้ มองสำรวจไปทั่วเนื้อตัว ก่อนที่สายตาจะหยุดลงที่เส้นเลือดหลังมือของน้องชาย “เจ้าอย่าบอกนะว่า...ใช้มือ เอ่อ...ทั้งคืน!”
เมื่อคำนี้หลุดออกมา จ้าวไท่หรงขมวดคิ้วเครียด มิน่าเล่า เตียงนอนไม่ยับย่นแม้แต่น้อย “แล้วสาวใช้อุ่นเตียงผู้นั้นล่ะ”
“ข้าส่งตัวกลับบ้านเดิมไปแล้ว”
“ไล่ออกไปหรือแท้จริงเจ้าไม่เคยเรียกใช้กันแน่ ครั้งที่แล้วเจ้าใช้นางหลอกตาพี่ใหญ่ใช่หรือไม่?”
จ้าวเฟิ่งไม่ปฏิเสธ เพียงกระชับเสื้อคลุมซับหยดน้ำที่เกาะพราวไปทั้งแผงอกและกล้ามท้องตึงแน่น เดินกลับเข้าห้องส่วนตัว “พี่ใหญ่เลิกจัดการเรื่องคู่ครองให้ข้าเสียที”
จ้าวไท่หรงถอนหายใจ หมุนตัวเดินตามน้องชายออกมา
“น้องสี่ ครั้งก่อนพี่ใหญ่แบ่งชาชั้นดีมาให้ก็ไม่เห็นเจ้าเรียกสาวงามคนใด เมื่อคืนยังไม่ตกหลุมพรางน้องเหยาอีก สตรีมากมายที่พี่ส่งให้ เจ้าก็ล้วนไม่แตะต้อง แบบนี้จะให้พี่ใหญ่เข้าใจว่าอย่างไร ว่าที่คู่หมั้นคู่หมายเจ้าก็ปฏิเสธ อายุของเจ้าถึงวัยแต่งภรรยาแล้ว จะให้พี่ใหญ่ทำอย่างไร?”
“ข้าบอกแล้วว่ายังไม่อยากแต่งงาน”
“เจ้ายังรอนางอยู่อีกหรือ?”
“...”
‘นาง’ ที่ว่า สองพี่น้องรู้ดีว่า ‘ใคร’ โดยไม่ต้องเอ่ย เพียงแต่ใครคนนั้นกลับไม่รู้อะไรเลย
นอกจากไม่รู้ นางยังยืนพิงผนังแอบฟังจากห้องลับอีกฝั่งอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เพราะอย่างนี้ปะไร นางถึงไม่อยากทำดีกับจ้าวเฟิ่ง เขามีหญิงอื่นอยู่ในใจ แต่กลับมานอนกับนางทุกคืน หึ! คิดแล้วช่างน่าโมโหยิ่งนัก
หญิงสาวตัวเปลือยหอบผ้าห่มยืนแอบฟัง นางกัดผ้าห่มแทบขาด อยากเกรี้ยวกราดแต่ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ
โถงรับรองเรือนเฉินเฟิง
เฉิงอ๋องจ้าวเฟิ่งที่นั่งประจันหน้ากับรัชทายาทจ้าวไท่หรงยังคงไม่พูดจา หลี่อี้จึงดูแลปรนนิบัติชงชาด้วยมือสั่นเทา
เมื่อได้รับสัญญาณทางแววตาของเฉิงอ๋องให้ออกไปเฝ้าหน้าประตูห้อง หลี่อี้ก็แทบติดปีกโบยบิน รีบซอยเท้าไปยืนเฝ้าทันทีไม่มีรีรอ
เมื่ออยู่ตามลำพัง พี่น้องที่มีความลับต่อกันน้อยมาก จึงไม่มีเรื่องปิดบัง จ้าวไท่หรงเอ่ย “เจ้าควรตัดใจจากนางเสียที น้องสี่”
เขาอุตส่าห์พาสตรีมายัดเยียดให้น้องชายขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่ละนางหยาดเยิ้มยวนใจปานนั้น ยังไม่สนใจอีก
เสียงตอบของจ้าวเฟิ่งราบเรียบ “พี่ใหญ่ก็เลิกส่งคนออกตามหานาง และหยุดส่งคนมาค้นในจวนของข้าเสียที”
เมื่อถูกรู้ทัน รัชทายาทจึงกระแอมเบาๆ “พี่ใหญ่แค่อยากตรวจสอบให้มั่นใจว่าจวนเฉิงอ๋องจะไม่ใช่เรือนทองซ่อนสตรี”
เขายื่นใบหน้างดงามเข้าหาน้องชาย กระซิบเสียงเย็นอีกว่า “และสตรีผู้นั้น ยังเป็นนักฆ่าเสียด้วย”
จ้าวเฟิ่งยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนสี “พี่ใหญ่กลัวข้าจะมีเรือนทองซ่อนสตรีหรือกลัวว่าตัวเองจะคลาดจากนางกันแน่”
ขณะเอ่ย สายตาคมยังจ้องมองพี่ชายนิ่งๆ ทุกสิ่งที่สะท้อนเข้าม่านตาล้วนใช้คำว่ามองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง รู้ถึงจิตใจ
จ้าวเฟิ่งยกถ้วยชาขึ้นไล้ปลายจมูกก่อนดื่ม ครู่หนึ่งค่อยพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อนอีกว่า “ที่แท้พี่ใหญ่ก็พึงใจนางถึงเพียงนี้ กลัวว่าหากข้าซ่อนนางไว้ในจวนตัวเองจริงๆ การที่ท่านส่งคนออกไปค้นหาทั่วเมืองล้วนไร้ผล คนไม่อาจกลับมาให้ท่านได้ยลโฉมโดยง่าย”
“สักครู่ของเจ้า ข้าว่านานเกินไปกระมัง ข้านั่งรอจนน้ำชาหมดกาแล้ว ขอข้าเข้าไปดูหน่อย หากน้องสี่เหงื่อออกมากเกินไป เขาอาจป่วยได้นะ”“อ๊ะ! รัชทายาท พระองค์ทรงรอให้กระหม่อมเข้าไปแจ้งท่านอ๋องตามกฏระเบียบก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้านี่นะ บังอาจยิ่ง แต่เอาเถอะ ถือว่าเป็นคนซื่อตรงภักดีต่อน้องสี่ เราจะไม่ถือสา”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”ในตอนนั้นเอง จ้าวเฟิ่งที่กอดรัดเพ่ยหนิงให้ใบหน้าฝังอยู่ตรงแผ่นอกก็โผล่ออกจากผ้าห่มเพียงผู้เดียวเขาม้วนตัวนางเก็บไว้ใต้ผ้าห่มอย่างแน่นหนาไร้ช่องลม รีบหยิบเสื้อคลุมบนพื้นห้องมาสวมร่างเปล่าเปลือยของตนพลางก้าวข้ามประตูเล็กที่ทะลุห้องอาบน้ำไปอย่างรวดเร็วหลี่อี้ยืนปาดเหงื่ออยู่หลังประตูห้องอาบน้ำ เมื่อได้รับสัญญาณทางสายตาของจ้าวเฟิ่งที่ทำท่าเพิ่งลุกออกจากถังไม้ก็หันไปเปิดประตู ค้อมเอวผายมือเชิญรัชทายาทเดินเข้ามาอย่างผ่าเผย“น้องสี่” จ้าวไท่หรงทักทายน้องชายอย่างอารมณ์ดี สายตายังแอบสำรวจไปทั่ว ตั้งแต่ห้องส่วนตัวและห้องอาบน้ำ ขื่อเพดาน“พี่ใหญ่” จ้าวเฟิ่งหรี่ตา แค่นเสียงอย่างรู้ทัน “ท่านคงมิได้มาตรวจสอบผลจากงานเลี้ยงเมื่อคืนกระมัง?”ฉับพลันนั้น เขาจึงได้เข้าใจ ยาในสุราเมื่อคื
น้ำค้างพร่างพราว สายลมยามเช้าในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำมาถึงห้องลับด้านในเพ่ยหนิงซุกตัวอยู่ในอ้อมอกอุ่น จ้าวเฟิ่งกอดรัดนางไว้ด้วยอ้อมแขนแข็งแรง ทั้งสองหลับสนิทและกอดกันแน่นอยู่ใต้ผ้าห่มครั้นเสียงของหลี่อี้ดังขึ้นจากในห้องส่วนตัวอีกฝั่ง“ท่านอ๋องกำลังอาบน้ำขอรัชทายาททรงรอสักครู่พ่ะย่ะค่ะ”“น้องสี่อาบน้ำตอนเช้าด้วยรึ? รักสะอาดเกินไปหรือไม่?” เสียงรัชทายาทถามขึ้น เสียงนั้นดังอยู่ทางห้องฝั่งเดียวกันกับหลี่อี้ขันทีตอบเร็ว “เมื่อคืนท่านอ๋องมีเหงื่อออกมากพ่ะย่ะค่ะ จึงลุกขึ้นอาบน้ำตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง”“อ้อ...”สิ้นเสียงสนทนา ทั้งสองในห้องลับพลันตื่นเต็มตาเพ่ยหนิงที่ได้สติฉับพลันรีบออกจากวงแขนอย่างรังเกียจ จ้าวเฟิ่งขมวดคิ้ว สีหน้าไม่ยินดี พลางดึงนางเข้ามาแนบชิดอีกครา แต่เพ่ยหนิงไม่ยอม จึงมีการยื้อยุดมุดตัวอยู่ในผ้าห่ม“ปล่อยข้านะ” ใต้ผ้าห่ม สาวน้อยถลึงตาโตเขากระซิบดุดัน “เจ้าอย่าฝันว่าจะได้ออกไปพบหน้าเขา”เพ่ยหนิงกัดแขนเขาทีหนึ่ง ดวงตาวับวาวราวกับแมวป่า “ข้ากับเขามีวาสนาต่อกัน ท่านจะกีดกันข้าเพื่ออันใดนักหนา”จ้าวเฟิ่งชะงัก พลันนึกถึงคำพูดที่นางเคยสารภาพความจริงถึงสาเหตุใน
เพ่ยหนิงปรือตามองก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาประชิดมา ก่อนที่ริมฝีปากร้อนผ่าวจะประกบอย่างอุกอาจเอาแต่ใจ หญิงสาวถูกจุมพิตที่ไม่หยาบกระด้างแต่ก็ไม่อ่อนโยนถาโถมเข้าใส่จนมึนงงลมหายใจของนางกำลังถูกลมหายใจของเขาที่ร้อนเร่ายิ่งกว่าเตาไฟเผาไหม้จนแทบละลาย ความแข็งขืนมิผ่อนปรนของเขาทำหัวใจของนางเต้นแรง ริมฝีปากของนางถูกเขาครอบครอง ฝ่ามือยังถูกเขากอบกุมยากปัดป้อง เนื้อตัวถูกเขารุกเร้าเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อย ๆเพ่ยหนิงรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกสูบ สมองขาวโพลน คล้ายถูกมอมเมาด้วยจุมพิตอันร้อนแรง ร้ายที่สุดก็คือถูกชักจูงด้วยสิ่งที่ฝ่ามือนางกุมแทบไม่หมดนั้นและก่อนที่นางจะขาดอากาศหายใจ เขาค่อยๆ ผละออก แต่ยังคลอเคลียไม่ห่าง ปลายลิ้นที่ไล้เลียเปลี่ยนจูบเร่าร้อนเป็นการละเลียดชิมริมฝีปากอย่างเว้าวอน คล้ายอ้อนวอนให้ช่วยเหลือกัน“ท่านอ๋อง” นางเสียงสั่น“ช่วยหน่อย” เขาสั่งเสียงเข้ม แฝงนัยร้องขอสาวน้อยหลับตา ข่มอารมณ์ข่มใจอย่างยากลำบาก นางปวดมือมากยิ่งนางขยับ เขาก็เหมือนยิ่งขยาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป...“ท่านเอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ”“คืนนั้นเจ้าเอาแต่ใจมากกว่านี้มิใช่หรือไร
หลังจากนั้นไม่นานตัวนางก็ร้อนรุ่ม รู้สึกถึงเพลิงผลาญที่แล่นพล่านจะไปทั่วตัวก่อนจะพุ่งขึ้นสูงและดิ่งลงต่ำไปที่ท้องน้อย ท้ายที่สุดนางก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ร้องขอเขาเสียงสั่นเครือ ขณะทิ้งตัวลงนั่งบนตักของเขาเขาตัวเกร็ง นิ่วหน้ามองพวกเราต่างไม่รู้ว่าในน้ำชามีอันใดขันทีที่อยู่นอกห้องถูกเฉิงอ๋องเรียกมาสอบถามถึงได้รู้ว่าเป็นชาพระราชทานจากฮ่องเต้ที่รัชทายาทแบ่งมาให้สองมือแกร่งที่ประคองบั้นท้ายของนางซึ่งกำลังถูไถไปมาบนหน้าขาของเขาชะงักค้างไปทันที“ไหวหรือไม่?” เขาถามเสียงเครียดนางตอบเสียงสั่น “ไม่ไหว...”หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกค่ำคืน คือนางไม่ได้ออกจากห้องลับ และเขาก็จะกลับมานอนด้วยแทบทุกคืนไม่รู้ว่าใครติดใจใครเฉิงอ๋องจ้าวเฟิ่งที่แค่กระดิกนิ้วก็มีสาวงามวิ่งตามเป็นพรวนกับนางที่เรียกร้องเขาเพราะยาแค่ครั้งเดียว...หญิงสาวถอนหายใจให้กับความโง่เขลาของตัวเองเป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับ จากนั้นพลันลุกขึ้น กระชับชุดนางกำนัลไร้สีสันให้แน่นขึ้น ทำท่าจะเดินไปทางเตียงนอนในตอนนี้เอง ประตูเล็กฝั่งที่ติดกับห้องอาบน้ำก็เปิดออก ร่างบุรุษสูงสง่าสวมเพียงเสื้อคลุมเผยแผ่นอกตึงแน่น
นางมองทุกส่วนที่ทรงเสน่ห์นั้นอย่างหลงใหลยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหวงแหนลำพองใจ ไม่ว่าใครหากได้มองล้วนรู้สึกเฉกเดียวกับนาง“หม่อมฉันหนิงเอ๋อร์เพคะ ท่านอ๋องทรงให้หม่อมฉัน...”ยังพูดไม่จบ นางพลันรับรู้ถึงกลิ่นอายอันตราย ได้ยินบุรุษในถังไม้แค่นเสียงลอดไรฟันว่า “ออกไป”“แต่ว่า ท่านอ๋องเพคะ...”จ้าวเฟิ่งช้อนตาขึ้นมองแวบหนึ่ง “หากเข้ามาอีกครึ่งก้าว เปิ่นหวางจะฆ่าเจ้า”ได้ยินดังนั้น ใครจะกล้ารั้งอยู่ “พ่ะ เพคะ ไปแล้วเพคะ”“ช้าก่อน”เมื่อเสียงเข้มนี้กระทบโสตประสาท หนิงเอ๋อร์พลันชะงักฝีเท้า ในใจลิงโลดทันใด คิดว่าท่านอ๋องต้องทนไม่ไหว คิดเปลี่ยนใจให้นางปรนนิบัติแน่แล้วทว่ายังไม่ทันหันไปยิ้มหวานกลับได้ยินคำพูดเย็นเยียบแทน“ต่อไปอย่าให้เปิ่นหวางได้ยินว่าเจ้าใช้ชื่อนี้อีก”“...!?”“และอย่ามาให้เห็นหน้าอีก ออกไป!”“เอ่อ...ท่ะ”ยังไม่ทันอ้าปาก หลี่อี้ที่ได้ยินพลันเข้ามากระชากตัวนางลากออกไปทันทีประตูห้องอาบน้ำปิดลงอีกครั้ง จ้าวเฟิ่งหลับตาขบกราม จัดการกับตัวเองต่อไปผ่านไปค่อนคืน น้ำในถังกระฉอกไปเกือบครึ่ง แต่พายุอารมณ์ในกายก็ยังไม่ยอมสงบลง จ้าวเฟิ่งหอบหายใจหนักหน่วง ทั้งกระเส่าและถี่กระชั้น
หญิงสาวรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย วิ่งไปดักหน้าเขา“พี่เฟิ่ง ท่านรู้ดีว่าตั้งแต่ข้าเป็นเด็กหญิงไม่ประสา ในใจข้าก็มีเพียงท่านแล้ว ทำไมเล่า ทำไมท่านไม่มองข้าบ้าง ไยต้องมองหาสตรีที่ไม่คู่ควรที่หายตัวไปทางใดก็ไม่รู้ผู้นั้นด้วย”ฝีเท้าอันหนักอึ้งชะงักกึก หางตาจ้าวเฟิ่งกระตุกเบาๆ หวังซูเหยาเห็นดังนั้นก็เริ่มลำพองใจ สองตาปริ่มน้ำแลดูงดงามหยาดเยิ้มจึงส่งให้ไม่มีลดละ จ้องมองอย่างลึกซึ้งเข้าไปในดวงตาคมดำไร้ก้นบึ้งของเขาอย่างจงใจด้วยสภาพของเขายามนี้หากถูกสตรียื้อเวลาให้ร่วมเสวนา เกรงว่าพรุ่งนี้คงต้องส่งแม่สื่อไปเจรจาหมั้นหมายตามแผนการหวังซูเหยาลอบแย้มยิ้มอยู่ในใจ เมื่อเห็นหนทางสำเร็จรำไรทว่าท้ายที่สุด จ้าวเฟิ่งกลับไม่ใส่ใจว่านางจะรู้เรื่องส่วนตัวของเขามากน้อยแค่ไหน แววตาของเขายังคงเฉยเมยคล้ายผลักไส น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบผิดกับอาการร้อนรุ่มในอก“ไม่เกี่ยวว่าข้ามีใครเคียงหรือครองตัวสันโดษ เพราะสิ่งเดียวคือข้าไม่ต้องการเจ้า”กล่าวจบเขาปรายตามองนางนิ่งๆ เดินจากไปอย่างเย็นชาอีกคราที่หวังซูเหยาทำได้เพียงมองเงาร่างสูงสง่าจนลับตา รับรู้เพียงกลิ่นอายรังเกียจที่เขาทิ้งไว้ให้แผ่ซ่าน




![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


