เพียงเจ็ดวันถัดมา ข่าวเรื่องการตายของท่านชายแห่งซีหนานก็ได้เงียบหายไป ร่างของชายหนุ่มถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิด โดยมีภรรยาในท่านแม่ทัพติดตามไปส่งและไว้ทุกข์ให้พี่ชาย ทว่าไร้ซึ่งสามีร่วมทางไปด้วยร่างสูงยืนมองขบวนของเล็ก ๆ ซึ่งมีผู้ติดตามไปเพียงเล็กน้อย เขามิลงมือสังหารนางด้วยตนเอง ก็นับว่าเมตตาต่อนางมากแล้ว การที่หลิวจงบอกแก่ทุกคนว่ามาศึกษาหาสถานที่ เพื่อทำการค้ายังซานซีมันเป็นเพียงข้ออ้าง สองพี่น้องลักลอบเป็นชู้กัน ทั้งยังพยายามที่จะหาหนทางทำให้ด่านซานซีแตกพ่ายการให้นางได้กลับไปตายยังบ้านเกิด นับว่ามีวาสนามิน้อย ความปราณีครั้งนี้หาได้มาจากใจของเขาไม่ ถ้ามิใช่เพราะท่านหญิงอวี้ร้องขอ มีหรือเขาจะยินยอมให้นางได้ก้าวพ้นซานซี“ท่านแม่ทัพจะสังหารนางที่นี่ก็ย่อมเป็นสิ่งสมควร แต่เหตุใดเราต้องให้เลือดชั่วช้าเช่นนั้น มาแปดเปื้อนเมืองเราด้วยเล่าเจ้าค่ะ”“หากนางกลับสู่ชีหนาน เราก็ยากที่จะลงมือ”“นางจะต้องสิ้นใจ ก่อนที่สกุลหลิวจะทันได้หล่มสลายอย่างแน่นอน พวกท่านลองคิดดูให้ดี หลิวหลีไร้ประโยชน์ต่อสกุลหลิวแล้ว พวกเขาจะเก็บนางไว้เพื่อสิ่งใดกัน สิ้นหลิวหลีเราก็ใช้ข้อนี้รวบจบสกุลหลิวเพิ่มเติมจากขอหาคิดก่
“ข้าอำมหิตจริงหรือเจ้าคะ พี่เยี่ย”อวี้หลานหยุดเดิน ก่อนจะหันกลับไปถามชายหนุ่ม ที่ก้าวตามหลังมาเงียบ ๆ“ไม่มีคำนั้น ในโลกของคำว่าอำนาจขอรับ ท่านหญิงทำเพื่อปกป้องครอบครัวและชาวเมือง ข้ามิเห็นว่าจะเป็นอย่างที่หลิวจงกล่าวหาสักนิดขอรับ”“ข้าเชื่อพี่เยี่ยเจ้าค่ะ”อวี้หลานยิ้มกว้าง เมื่อได้รับคำยืนยันจากชายหนุ่ม เพราะต่อให้สิ่งที่เยี่ยคังพูดเป็นเพียงคำปลอบใจ ซึ่งนางรู้ดีว่าการสังหารศัตรู โดยไม่แม้แต่จะให้อีกฝ่าย ได้มีโอกาสปกป้องตนเอง นับเป็นเรื่องที่ผู้คนส่วนใหญ่ถือว่าไร้เกียรติ แต่สำหรับนางแล้วนี่นับว่าเป็นการเมตตาอย่างถึงที่สุดแล้ว‘เจ้าตายสบายไปด้วยซ้ำ หากเทียบกับอวี้หลาน’ หญิงสาวยังจำความรู้สึกเจ็บปวดของเจ้าของร่างได้เป็นอย่างดี“ดึกแล้ว เรารีบกลับจวนกันเถอะขอรับ”เยี่ยคังรีบชวนหญิงสาวกลับจวนเสีย เมื่อท่าทางประหนึ่งลูกแมวของนาง ดูเหมือนเริ่มจะทำให้ใจของเขาสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้งหมับ! อวี้หลานคว้าจับมือหนาเอาไว้แน่น ก่อนจะจูงชายหนุ่มไปยังทิศทางกลับจวน เยี่ยคังถึงกับเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากทั้งที่อากาศยามค่ำคืนนั้นหาได้อบอ้าวไม่เรือนหลิวหลี จวนแม่ทัพหยางเค่อร่างบางเดินกลับไปกลับมาด้วยควา
“ฮ่า ๆ มิใช่เพียงข้าหรอกกระมังเจ้าคะ ที่เชื่อในคำบุรุษ” สาวใช้เอ่ยย้อนคำพูดองอวี้หลาน พร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน“เจ้าเห็นข้าเป็นเช่นนั้นรึ เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตลอด มียามใดกันที่ข้าลงมือทำทุกสิ่งอย่างเพื่อบุรุษ แม้ข้าจะเสียใจ แต่ข้าไม่เคยคิดที่จะยอมตาย เพื่อบุรุษที่มิเคยเหลียวแลข้าอย่างแน่นอน มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ยินยอมแลก เพื่อสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง”“อย่าได้คิดจะมาหว่านล้อม ให้ข้าตายใจเลยท่านหญิง”“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว คนเช่นข้ามิคิดเก็บงูเง่าตัวเดิมกลับมาเลี้ยงอีกครั้งอย่างแน่นอน อย่าได้สำคัญตนให้มากชุ่ยหลิน ยังมีอีกเรื่องเจ้าอย่าได้คิดว่าการที่ข้าพูดคุยกับเจ้า คือการตกลงไปในหลุมพรางของเจ้าเลย เพราะสำหรับข้าแล้ว มันคือการสนทนาระหว่างนายบ่าวเป็นครั้งสุดท้าย เพราะคนเช่นข้ามิจำเป็นต้องแลกกับอสรพิษเช่นเจ้า”“พูดมากเสียจริงนายข้า”เอ่ยจบสาวใช้คนสนิทได้ยันตัวลุกขึ้น ก่อนจะพุ่งเข้าหาผู้เป็นนายด้วยสายตามาดร้าย การต่อสู้ในครานี้ต้องจบลงเสียก่อนที่องครักษ์เงาจะปรากฏกายขึ้น เพราะหากเป็นเช่นนั้น นางจะไม่อาจเอาชีวิตรอด ไปจากจวนอ๋องแห่งนี้ได้อีกเลยการต่อสู้ดำเนินต่อเพียงครึ่งก้านธูป ชุ่ยหลินทรุดลงตรงหน้
ยามค่ำคืน ณ จวนอ๋องอวี้หลานนั่งอยู่ภายในห้องหนังสือของพี่ชาย สายตาคู่งามไล่มองตัวหนังสือบนกระดาษในมือ ก่อนที่หญิงสาวจะยื่นส่งให้แก่เยี่ยคัง ชายหนุ่มอ่านทุกตัวอักษรจนถี่ถ้วน ก่อนจะยื่นกระดาษจ่อยังเปลวเทียน ก๊อก ๆ เสียงเคาะประตูห้อง ทำให้ทั้งคู่สบตากันเล็กน้อย“เข้ามาได้”ประตูเปิดออกเบา ๆ ก่อนที่สาวใช้คนสนิททั้งสอง ก้าวเข้ามาด้านใน ทั้งคู่ได้ถือถาดใส่อาหารเข้ามาด้วย“มื้อค่ำเจ้าค่ะท่านหญิง ท่านเยี่ย”“อืม...วางไว้ก่อน ที่เหลือข้าจัดการเอง”หลังจากสองสาวใช้ออกไปแล้ว เยี่ยคังได้ลุกไปจัดอาหารเพื่อรอผู้เป็นนาย เยี่ยคังทดสอบอาหารทั้งหมดด้วยเข็มเงิน ก่อนจะโรยผงบางอย่างลงไปเพื่อป้องกันพิษอีกขั้นตอน“ซานซีคือเมืองแรก ที่จะถูกโจมตีสินะเจ้าคะพี่เยี่ย”อวี้หลานยังคงมองแผนที่ซึ่งกางอยู่ตรงหน้า โดยมิได้เงยขึ้นมองคนที่นางพูดด้วย“ย่อมเป็นเช่นนั้นขอรับ แต่ท่านหญิงอย่าได้เป็นกังวลไปเลยขอรับ ทุกอย่างจะเรียบร้อยในมิช้า”เยี่ยคังตอบผู้เป็นนายเบา ๆ โดยมือหนายังคงจัดเตรียมอาหารให้แก่หญิงสาวต่อไป แผนที่ตรงหน้าของหญิงสาว เขาดูมันจนจำได้อย่างขึ้นใจในทุกเส้นทางแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเดินไปดู“เจ้าค่ะ”เยี่ยคังไ
“คนเช่นหยางเค่อแม้ภายนอกจะดูฉลาดล้ำ แต่บุรุษทั่วหล้ามักพลาดท่ากับมารยาทของสตรี หาใช่เพียงใบหน้าอันงดงามไม่ หญิงสาวที่แสดงออกว่าพร้อมเป็นภรรยาของบุรุษเช่นนาง หรือจะสู้สตรีอ่อนหวานที่ไว้ตัวเช่นเจ้ากันเล่า”หลิวจงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ให้ได้ยินกันเพียงสองคน ก่อนจะยกยิ้มอย่างมีความนัยกับผู้เป็นน้องสาว“หากเป็นเช่นที่ท่านพี่ว่ามาข้าก็เบาใจ แต่หากมิใช่เราสองพี่น้องคงต้องลำบากอีกครั้งเป็นแน่”“หึ ๆ หากเจ้าเป็นกังวลมาก ก็ลงมือในตอนที่อวี้จ้านกับหยางเค่อไม่อยู่ เจ้าคิดเห็นเป็นเช่นไร”“บางทีเราควรเร่งมือกับทุกเรื่อง ท่านพี่ว่าจริงหรือไม่เจ้าคะ”“เช่นนั้นเรากลับกันเถอะ ข้าอยากผ่อนคลายก่อนทำงานใหญ่ในคืนนี้”ทั้งคู่สบตากันอย่างมีความนัย การสนทนาของนางกับพี่ชาย นางมิใส่ใจว่าจะมีผู้ใดพยายามสอดรู้ โต๊ะที่นางกับผู้เป็นพี่นั่งอยู่ รอบกายมีแต่คนของพวกนางแฝงตัวอยู่เพราะเหตุนี้นางและพี่ชาย จึงหาได้หวั่นเกรงว่าจะมีใครได้ยิน และต่อให้มีจริง ย่อมไร้หลักฐานที่จะกล่าวหานาง คำพูดนั้นผู้ใดก็เอ่ยออกมาได้ ไร้ซึ่งตัวอักษรย่อมไร้ซึ่งหลักฐานใด ๆ มากล่าวโทษแก่นาง“ไปกันเจ้าค่ะ”หลิวหลีลุกขึ้นยืน ก่อนจะก้าวไปยังหน้า
‘เป็นไปได้อย่างไรกัน’ หลิวหลีเก็บทุกความสงสัยเอาไว้ภายในใจ ด้วยเหตุใดอวี้หลานดูไม่สลดสักนิด เมื่อรู้ว่านางคือภรรยาในแม่ทัพหนุ่มอีกทั้งในตอนนี้สายตาของผู้คน เริ่มจับจ้องมาที่นาง และสิ่งที่ทำให้นางรู้สึกได้ นั่นคือความไม่เป็นมิตรเท่าใดนักนางก้าวพลาดตรงไหนกัน ไยทุกคนมองเหมือนนางรังแกท่านหญิงผู้นี้กัน เพราะนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาภายในร้าน นางยังไม่ได้ทำอันใดเลย แต่ทำไมทุกคนมองนางเช่นนี้ด้วยเล่า‘ร้อนตัว’ อวี้หลานมองตามสายตาและได้เห็นสีหน้าของหลิวหลี ทำให้หญิงสาวคิดอยู่ในใจ อวี้หลานคือคนของซานซี ถ้าต้องเลือกผู้คนย่อมเลือกท่านหญิงที่พวกเขาเห็นมาตั้งแต่เกิด มากกว่าจะเลือกสตรีต่างถิ่นอยู่แล้วมิใช่รึ“ต้องขอโทษหยางฮูหยินด้วย ที่ข้ามิอาจเชิญท่านร่วมโต๊ะได้ พอดีมันเต็มแล้ว”อวี้หลานยิ้มจนตาหยี พร้อมหันมองสาวใช้คนสนิททั้งสองและองครักษ์หนุ่มที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ในตอนนี้ เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่านางมิได้โกหกแต่อย่างใด“ขอบคุณท่านหญิง ข้ามากับพี่ชายย่อมมิกล้ารบกวน”อวี้หลานทำเพียงพยักหน้าตอบรับเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน หากคิดที่จะประชันเรื่องเสแสร้งกับคนเช่นนาง ผู้ที่เคยมีชีวิตในอีกโลก ย่อมมิอาจเทียบเคีย