หลังจากนั้นมู่เจียอีไม่เคยออกจากเรือนของนางอีกเลย เพียงสามเดือนก็เกิดเรื่องร้ายกับครอบครัวของนาง เมื่อมีโจรเข้าปล้นจวนตระกูลมู่ คนภายในเรือนไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้แม้แต่คนเดียว
ความเจ็บปวดครั้งเก่ายังไม่ทันหาย ความโหดร้ายครั้งใหม่ก็ประดังเข้ามาซ้ำเติมนาง มู่เจียอีรับศพของบิดามารดามาทำพิธี
นี้คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่นางพบเจอพี่สาว นางช่างสูงส่งใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ แม้แววตาจะเศร้าหมองก็ตาม ข้างกายของนางมีเว่ยอ๋องที่สง่างามเคียงข้างจนเป็นที่อิจฉา
ตอนที่นางอยู่ชายแดนได้ยินเรื่องที่เว่ยอ๋องสาบานในวันงานมงคล ว่าในตำหนักของเขาจะมีเพียงพระชายาเพียงผู้เดียวเท่านั้น มู่เจียอีไม่คิดเลยว่าจะเป็นพี่สาวของนางไปได้
“พี่หญิง ท่านหักห้ามใจเสียเถิด ทางการกำลังเร่งตามจับตัวคนร้ายมาลงโทษ ท่านอ๋องรับปากเรื่องนี้แล้ว ท่านอย่าได้เศร้าใจจนป่วยไข้ได้เล่า” มู่เฟยหย่าเดินเข้ามาเอ่ยพูดกับนาง
“หึ พี่หญิงเช่นนั้นรึ ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณพระชายามากเพคะ” แววตาของมู่เจียอีที่มองมู่เฟยหย่ามีแต่ความว่างเปล่า
นางจะพูดสิ่งใดได้ หากพูดความจริงออกไป คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดคงต้องตาย
เว่ยอ๋องมองจ้องมาที่นางตาไม่กะพริบ แต่มู่เจียอีไม่สนใจว่าเขาจะคิดเช่นไร อาจจะไม่พอใจที่นางเอ่ยพูดกับพระชายาของเขาเช่นนี้ก็ได้
ตลอดพิธีเคารพศพของตระกูลมู่ มู่เจียอีไม่ได้เดินทางกลับจวนโห่วเลยสักวัน หวงเต๋อฟานจึงให้พ่อบ้านจวนโห่วมาคอยช่วยเหลืองานนาง
หลังจากพิธีศพเสร็จสิ้น มู่เจียอีขออยู่ที่จวนตระกูลมู่ต่ออีกวัน นางกลับไปที่เรือนหลังเก่าของนาง เพื่อระลึกความหลัง พอทานมื้อเย็นเสร็จนางก็หลับสนิทไปในทันที
“ตื่นได้แล้วมู่เจียอี” เจียอีที่เห็นเหตุการณ์ร้องเรียกนางจากจิตใต้สำนึก แต่คนบนเตียงที่กำลังถูกเปลื้องผ้าก็ไม่ได้รู้ตัวสักนิด
เจียอีตกใจกับสิ่งที่เธอได้เห็น เมื่อร่างของหวงหมิงชุนกำลังสั่งการให้บ่าวพาตัวพ่อบ้านจวนโหว่ที่ร่างกายเปลือยเปล่าเช่นกันมาวางไว้ข้างนาง
“พระเจ้า นางเลี้ยงเจ้ามานะไอเด็กบ้า” เจียอีโมโหสุดขีด ที่คนวางแผนการเป็นหวงหมิงชุน
แต่แล้วนางก็ต้องตกใจมากกว่าเดิมเมื่อมู่เฟยหย่าเดินเข้ามาในห้อง แล้วหยุดอยู่ข้างเตียงของมู่เจียอี
“น้องสาวข้า หากไม่มีเจ้าสักคนชีวิตข้าคงดีกว่านี้ ข้าไม่เคยอยากเกิดมามีคนใบหน้าเหมือนข้าสองคน อย่าได้โทษข้าเลย โทษตัวเจ้าเองเถิดที่หัวอ่อนยอมข้าไปเสียทุกเรื่อง” มู่เฟยหย่าสั่งให้สาวใช้ปลุกมู่เจียอีให้ได้สติขึ้นมา
เจียอีที่เห็นเหตุการณ์กระทำอันเลวร้ายของสองแม่ลูกก็ได้แต่เจ็บแค้นแทนมู่เจียอี นางเจ็บที่หน้าอกจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ก็ไม่อาจจะช่วยเหลือสิ่งใดได้
มู่เจียอีที่รู้สึกตัวแล้ว นางก็ไม่อาจจะขยับเขยื้อนได้ ยิ่งเห็นมู่เฟยหย่าอยู่ภายในห้อง และพ่อบ้านที่นอนอยู่ข้างนาง นางก็ยิ่งหวาดกลัว
“พี่หญิงนี้มันเรื่องอะไรกัน”
“จะเรื่องอันใด ก็เห็นอยู่ว่าเจ้าลักลอบร่วมรักกับพ่อบ้าน น้องพี่เจ้าเก็บความปรารถนาไว้ไม่ได้เลยรึ ศพของท่านพ่อท่านแม่ลงหลุมยังมิทันเย็นเลย” มู่เฟยหย่ายิ้มเยาะออกมา
“ข้าไม่ได้ทำ ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าทำสิ่งใดผิดต่อท่าน” นางกรีดร้องออกมาเท่าที่เสียงของนางจะมี
“ข้าทำผิดต่อท่านที่ใด ถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้” มู่เจียอีเอ่ยถามพี่สาวทั้งน้ำตา
“มันเป็นเพราะเจ้าทุกเรื่อง ทุกคนล้วนแต่รัก สนใจเพียงแค่เจ้า แล้วข้าเล่า ข้าได้รับความรักจากผู้ใด” มู่เฟยหย่าดวงตาแดงก่ำจ้องหน้าน้องสาวฝาแฝดที่เหมือนกับนางแทบจะทุกอย่าง
“เป็นข้า…ที่ยอมลงให้ท่านตลอด” เจียอีเอ่ยเสียงสั่นอย่างปวดใจ ไม่คิดว่าพี่สาวจะคิดกับนางเช่นนี้
“หึ มันไม่พอ ไม่พอ!!! ข้าไม่ต้องการความหวังดีของเจ้า ข้าต้องการมันจากเขาผู้นั้น”
เจียอีไม่เข้าใจในสิ่งที่เฟยหย่านางพูด แต่พอนางจะเอ่ยถาม เสียงของหวงหมิงชุนก็เอ่ยเร่งมารดาของเขาให้รีบออกมา
ตามมาด้วยเสียงฝีเท้ามากมายที่เข้ามาเห็นร่างเปลือยเปล่าของเจียอีนอนอยู่บนเตียงกับพ่อบ้านที่สลบไม่ได้สติ หลังจากนั้นนางกับพ่อบ้านถูกพาตัวไปขังไว้ที่คุกศาลต้าเยี่ยน
โทษของมู่เจียอีมีมากเกินกว่าที่ใครจะเอ่ยขอร้องแทนนางได้ คบชู้ก็ว่าเลวร้ายแล้ว แต่นางร่วมรักในจวนตระกูลมู่ที่เพิ่งจะฝังร่างของบิดามารดาไป
ยิ่งทำให้ถูกชาวบ้านสาปแช่งก่นด่าตามหลังนาง มู่เฟยหย่าแสร้งร้องไห้คร่ำครวญขอให้ลดโทษให้นางอยู่ที่หน้าตำหนักอ๋อง
เมื่อมู่เจียอีรู้เรื่องก็ได้แต่ยิ้มเยาะออกมา การแสดงครั้งนี้ของมู่เฟยหย่าคงได้รับคำชื่นชมไปไม่น้อย ผิดกับตัวนางที่ถูกบันทึกว่าเป็นหญิงชั่วช้าของแคว้น
“สวรรค์ ท่านช่างโหดร้ายกับข้ายิ่งนัก ด่านเคราะห์ครั้งนี้ข้าเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก หากภพหน้ามีจริงขออย่าให้ข้าตกเป็นเหยื่อของพวกเขาอีกเลย” นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องแสงลอดห้องขังเข้ามา
เจียอีได้แต่สงสารในชะตาชีวิตของนาง นางร่วมเจ็บปวดไปกับมู่เจียอีด้วย ราวกับว่านางเองเป็นผู้ถูกกระทำ
วันตัดสินโทษเว่ยอ๋องเดินทางมาพร้อมกับมู่เฟยหย่าเพื่อดูการลงโทษ หวงเต๋อฟานและหวงหมิงชุนก็มาด้วยเช่นกัน
มู่เจียอี ถูกมัดด้วยโซ่ตรวน ท่ามกลางเสียงด่าทอของชาวบ้านนางไม่ได้ฟังสิ่งใดเลย นอกจากสายตาที่มองหวงเต๋อฟานกับหวงหมิงชุน สามีและบุตรเลี้ยงของนาง
แววตาของทั้งคู่ที่มองมามีแต่ความเกลียดชัง ว่างเปล่า จนนางอดสะท้านในอกไม่ได้
“ข้าไม่ได้ทำ”
หวงหมิงชุนเม้มปากแน่น เขารู้เรื่องนี้แก่ใจดี พอได้เห็นผู้ที่เลี้ยงดูเขามาอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
หวงเต๋อฟานเบือนหน้าหนีไม่อาจทนดูได้ จะบอกว่าไม่เคยรู้สึกกับนางเลยตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันก็ดูจะไม่ใช่
“ลงโทษได้” เว่ยอ๋องร้องบอกเจ้าหน้าที่
มู่เจียอีหันไปมองหน้าพี่สาวของนางเป็นครั้งสุดท้าย นางยิ้มออกมาเช่นตอนที่นางเคยยิ้มให้มู่เฟยหย่า ยามที่นางได้ของเหลือจากพี่สาว เพื่อบอกว่าตัวนางไม่เป็นอันใด
รอยยิ้มของนางทำให้เว่ยอ๋องตกตะลึง ยิ่งดวงตาที่เคยหมองหม่นยามนี้กับเปล่งประกายราวกับดวงดาวมันท้องฟ้า
“ช้าก่อน...” คำสั่งที่เขาร้องตะโกนออกมามิได้เร็วไปกว่าม้าทั้งห้าตัวที่พันธนาการร่างของมู่เจียอีอยู่
ร่างกายของนางถูกแยกออกเป็นห้าส่วน โดยการดึงรั้งของม้าที่วิ่งไปคนละทิศทาง เจียอีเธอกรีดร้องออกมาเช่นกัน เมื่อรับรู้ได้ถึงบทลงโทษ เธอเจ็บปวดจนหมดสติไป เสียงสุดท้ายของเว่ยอ๋องตัวเธอก็ไม่ได้ยินว่าเขาพูดเช่นไร
“เฮือกกกก” เจียอีเด้งตัวขึ้นมาจากที่นอน
ทั่วทั้งตัวของเธอมีแต่เหงื่อที่ไหลราวกับเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ ด้านข้างมีป้าตงที่มองมาทางเธออย่างเป็นห่วง
“คุณหนู คุณหนูของป้า ตื่นขึ้นมาเสียที ป้าตกใจหมดเลยค่ะ” ป้าตงพุ่งเข้ามาสวมกอดเจียอีไว้
“เกิดอะไรขึ้นคะ หนูนอนไปนานเลยเหรอ” เธอถามออกมาอย่างมึนงง
“จะเย็นเที่ยงแล้วค่ะ ป้าจะเรียกรถพยาบาลอยู่แล้ว หากคุณหนูยังไม่ตื่นมา”
“หนูไม่เป็นอะไร ขอไปอาบน้ำก่อนค่ะ” เจียอียังหวาดกลัวความฝันไม่หาย
เธอนั่งแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำ พลางคิดเรื่องความฝันไปด้วย “เหมือนจริงเลย” เธออดที่จะขนลุกไม่ได้ มันเหมือนไม่ใช่ความฝัน แต่เหมือนว่าเธอได้ไปเป็นมู่เจียอีมาจริงๆ
วันที่นางเดินทางกลับบ้านเดิม ข้าวของที่ตำหนักอ๋องจัดเตรียมไปมอบให้บ้านพระชายาก็มากกว่าห้าคันรถม้า คนไม่น้อยที่ต่างอิจฉาในวาสนาของรองเจ้ากรมมู่ที่มีบุตรสาววาสนาดีเช่นเจียอีและอีกไม่นานตำแหน่งเสนาบดีที่ว่างอยู่คงตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน สิ่งที่ชาวเมืองกับพวกขุนนางคิดไว้ก็ไม่ผิดไปจากนั้น เมื่อพระราชโองการแต่งตั้งรองเจ้ากรมมู่ ขึ้นเป็นเสนาบดีแทนที่ตำแหน่งของเสนาบดีกงที่ว่างอยู่ หลังจากที่เจียอีนางแต่งออกไปได้เพียงห้าวันเท่านั้นก่อนวันที่มู่เฟยหย่าจะออกเรือน เจียอีกลับไปนอนที่จวนตระกูลมู่ โดยไร้เงาเว่ยอ๋องติดตามไปด้วย เพราะน้องจะนอนกับพี่สาวของนางก่อนที่นางจะแต่งออกไป“อีอี แล้วท่านอ๋องยอมปล่อยเจ้ามาได้อย่างไร” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามน้องสาวอย่างสงสัย เมื่อได้ข่าวจากเสี่ยวถิงเรื่องที่เว่ยอ๋องเป็นเงาคอยติดตามน้องสาวของนาง“ก็ข้าจะมานอนกับพี่หญิง แล้วเขาจะมาเพื่ออันใดเล่าเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาร่วมดื่มสุรามงคลก็พอแล้ว” นางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจให้นางได้หยุดพักหายใจบ้างเถิด ในแต่ละคืนเขาเคี่ยวกรำนางไม่น้อย ยิ่งรู้ว่านางจะกลับจวนตระกูลมู่เพื่อมานอนกับมู่เฟยหย่า ก่อนวันแต่งของนางเขาก็บังคับให้นางพาเข้
เว่ยอ๋องอยู่ในชุดมงคลสีแดง ปักลายพยัคฆ์คำรามสูงส่งดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ตลอดทางนางกำนัลขันทีต่างโปรยเงินตำลึงและขนมหวานไปตลอดทางองครักษ์กองทัพพยัคฆ์ของเขาก็อยู่ในชุดมงคลสีแดงเช่นกัน ต่างแบกเกี้ยวมงคลแปดคนหามหลังใหญ่ ทั้งแบกสินสมรสที่ยาวหลายลี้เจียอีถูกจางมามา ประคองออกจากเรือนของนางมาที่ส่วนหน้า เพื่อทำพิธีกราบลาบิดามารดาเว่ยอ๋องทำทุกอย่าง อย่างเร่งรีบ ก่อนจะอุ้มเจ้าสาวไปขึ้นเกี้ยว โดยไม่รอให้น้องชายแต่งมารดาของเจียอีเดินไปส่งนางแต่ก่อนที่เขาจะวางนางลงบนเกี้ยวเขาเปิดผ้าคลุมเจ้าสาวออก เพื่อดูว่าเป็นเจียอีหรือมู่เฟยหย่ากันแน่“ว้ายยยย” จางมามากรีดร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นเว่ยอ๋องเปิดผ้าคลุมหน้าดู ก่อนจะที่จะวางเจ้าสาวลงในเกี้ยว“ท่านนี่มัน” เจียอีทุบที่แขนของเขาอย่างมันเขี้ยว“เปิ่นหวางต้องตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อน” เขายกยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะปิดหน้านางไว้เช่นเดิมพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่ตำหนักอ๋องมีฮ่องเต้และไทเฮาเสด็จออกจากวังหลวงมาร่วมงานเว่ยอ๋องยังสร้างความตกตะลึงให้คนที่มาร่วมงาน เมื่อเขาประกาศสาบานต่อหน้าฟ้าดิน“ข้าเยี่ยนเซวียน สาบานต่อหน้าฟ้าดิน ทั้งชีวิตนี้จะมีเพียงมู่เจียอี เป็นภ
เจียอีเดินเข้าไปโอบกอดมู่เฟยหย่าไว้แน่น พร้อมทั้งตบที่หลังของนางเบาๆ เพื่อปลอบประโลม“ไม่ต้องร้องแล้วเจ้าค่ะ ไม่ว่าท่านจะฝันเห็นสิ่งใด แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว” มู่เฟยหย่าเอ่ยขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาและร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนบ่าวที่อยู่ในเรือนอดที่จะร้องไห้เพราะสงสารคุณหนูของตนไม่ได้สุดท้ายเจียอีก็พูดจนมู่เฟยหย่ายอมรับเครื่องประดับทั้งหมดไว้ สองพี่น้องจึงได้กลับมาคุยเล่นเช่นเดิมได้อีกครั้ง เมื่อเอ่ยเรื่องที่ติดค้างในใจออกมาเว่ยอ๋องที่ถูกคุมตัวอยู่ภายใต้สายตาของไทเฮา เขาหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ไม่ได้แอบไปหาเจียอีนางที่เรือน“เหอะ ท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่รังแกอีอีนางไปแล้วเล่า” เมื่อไม่มีใครอยู่ในห้องโถงไทเฮาก็เอ่ยตำหนิบุตรชายออกมาวันนั้นที่จัดการเรื่องในวังหลวงเสร็จ เว่ยอ๋องหายตัวออกไปจากวังหลวงทั้งคืน กลับมาอีกทีก็ฟ้าสว่างแล้ว จะไม่ให้ไทเฮาสงสัยได้อย่างไร“ลูกเป็นเช่นนั้นรึอย่างไรเล่าเสด็จแม่” เว่ยอ๋องเกาจมูกแก้เก้อ“เพ้ย ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วจะเป็นเช่นใด” ไทเฮาถลึงตามองบุตรชายตัวดีของนาง“เสด็จแม่ ให้ลูกกลับตำหนักเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขานอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว เมื่อไม่มีเนื้อชิ้นงามอยู่ในอ้อมแขน
นางถูกเขาวางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม สายตาของเว่ยอ๋องมองเรือนร่างของนางอย่างปรารถนา ก่อนจะเริ่มเล้าโลมนางอีกครั้งเจียอีหลุดเสียงครางออกมาด้วยความรู้สึกที่เสียวซ่านยามลิ้นร้ายของเขาเลียไปทั่วเรือนร่างของนาง นิ้วมือของเขาก็รุกเข้าไปในส่วนที่คับแคบของนางอย่างต่อเนื่อง จนเจียอีกระตุกเกร็งขึ้นมาอย่างสุขสมเมื่อโดนรังแกทั้งด้านบนและด้านล่างเช่นนี้เมื่อเห็นว่านางพร้อมแล้ว เว่ยอ๋องปลดเสื้อผ้าที่เกะกะออกอย่างรีบร้อน ก่อนจะจ่อลำทวนไปที่ช่องรักของนาง เพียงส่วนหัวที่เข้าไปด้านใน เจียอีก็สะดุ้งสุดตัวไปด้วยความเจ็บปวด“โอ๊ยยย เอาออกไปเถิด ข้าเจ็บ” นางร้องออกมาอย่างน่าสงสาร แต่เว่ยอ๋องจะยอมตามใจนางในเรื่องนี้ได้อย่างไร“เพียงครู่เดียวเจ้าก็ไม่เจ็บแล้ว” เขาค่อยๆ กดลำทวนเข้าไปช้าๆ เพื่อให้เจียอีนางปรับตัว ทั้งยังเล้าโลมนางไปด้วยเพื่อให้นางคลายความเจ็บปวด"อื้มมมม" นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อหายเจ็บปวดแต่แทนที่ด้วยความคับแน่นแทน“หายเจ็บแล้วใช่หรือไม่” เขาจูบที่ข้างริมฝีปากของนางอย่างรักใคร่“อืม” นางพยักหน้าอย่างเขินอายท่าทางน่าเอ็นดูเช่นนี้ ทำให้เว่ยอ๋องใจอ่อนยวบ เอวหน้าเริ่มขยับทำหน้าที่ของมันอย่างรู้งาน
ตอนที่เว่ยอ๋องเดินเข้ามาในห้องขัง นางถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัว เพราะมีดสั้นที่อยู่ในมือของเขา“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใด ถึงได้ใจกล้าเช่นนี้” เว่ยอ๋องเอ่ยเสียงเหยียบเย็นที่ดูราวกับจะมาเอาชีวิตของนางไปเขาเดินช้าๆ มาหยุดนั่งย่องๆ ที่ตรงหน้าของนาง แม้แต่เสียงร้องขอชีวิตก็ไม่อาจจะเปล่งออกมาได้“ยิ่งเห็นใบหน้าเจ้า เปิ่นหวางอยากจะอาเจียนออกมา”ยามที่มีดสั้นบรรจงเฉือนเนื้อส่วนใบหน้าของมู่เฟยหย่าออกทีละนิด มันแสนเจ็บปวดจนนางต้องกรีดร้องออกมา นางโดนทรมานเช่นนั้นอยู่นับสองชั่วยาม ก่อนจะมีหมอมารักษานาง เพื่อยื้อไม่ได้ตายเร็วเกินไปนางถูกทรมานจนไม่อาจนับวันคืนได้ จนวันหนึ่งนางก็จบชีวิตลงอย่างน่าสมเพชภายในคุกใต้ดินของตำหนักอ๋องแม้แต่หลุมฝังศพ เว่ยอ๋องก็ไม่ยอมให้นางได้อยู่ เขาสั่งให้องครักษ์นำร่างของมู่เฟยหย่าไปโยนทิ้งที่สุสานศพไร้ญาติ โดยไม่มีการฝังแต่อย่างใด ปล่อยให้หมาป่ากัดกินเนื้อส่วนที่เหลือของนางมู่เฟยหย่าสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งหอบหายใจ อยู่ที่บนเตียงของนาง เสียงกรีดร้องของนางทำให้คนในตระกูลมู่ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากวังหลวงต่างรีบร้อนเข้ามาดูนาง“หย่าหย่า เจ้าเป็นอันใด” สวีซื่อเดินเข้าไปจับ
เจียอีรีบเดินไปที่บ่อน้ำอย่างร้อนใจ นางไม่เคยพบเจอว่าผู้ใดที่แช่น้ำในบ่อแล้วจะเรียกไม่ฟื้น“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะ” นางเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่น ทั้งยังประคองใบหน้าของเขาไว้แล้วตบเรียกสติเบาๆเว่ยอ๋องที่ยังคงวนเวียนอยู่ในภาพฝัน เงยหน้าขึ้นมาจากหลุมศพของเจียอี แล้วมองหาเสียงเรียกของนาง“อีอี เป็นเจ้ารึ เจ้าอยู่ที่ใด” เขาลุกขึ้นมองหา โดยที่ยังได้ยินเสียงเรียกที่ร้อนใจของนางอยู่ไม่ขาด“ท่านอ๋อง ได้โปรด ลืมตาตื่นเถิดเพคะ” เจียอีจรดหน้าผากของนางติดกับหน้าผากของเว่ยอ๋อง แล้วเอ่ยเรียกเขาเสียงสั่นเทาน้ำตาของเจียอีไหลรินลงที่ใบหน้าที่หลับใหลของเว่ยอ๋อง นางยังคงเอ่ยเรียกเขาไว้ไม่ขาด เพียงไม่นานเว่ยอ๋องก็ลืมตาตื่นขึ้นมา“อีอีรึ” เขากะพริบตาที่พร่ามัว ด้วยไม่เชื่อว่าตรงหน้าของเขาจะเป็นนางไปได้“ท่านฟื้นเสียที” นางยิ้มออกทั้งน้ำตาด้วยความดีใจเพิ่งจะได้รู้ว่าต้องการเขามากเพียงใด ก็ต่อเมื่อเรียกเขาแล้วไม่มีการตอบโต้กลับ ในภพที่แล้วคู่ชะตาของเขาจะใช่นางรึไม่ ตอนนี้เจียอีไม่สนใจแล้ว นางต้องการเพียงแค่เขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พอ“อีอี เปิ่นหวางมิได้ฝันใช่หรือไม่” เขาดึงนางเข้ามากอดไว้แน่น เขาแยกไม่ออกแล้วว่