หลังจากนั้นมู่เจียอีไม่เคยออกจากเรือนของนางอีกเลย เพียงสามเดือนก็เกิดเรื่องร้ายกับครอบครัวของนาง เมื่อมีโจรเข้าปล้นจวนตระกูลมู่ คนภายในเรือนไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้แม้แต่คนเดียว
ความเจ็บปวดครั้งเก่ายังไม่ทันหาย ความโหดร้ายครั้งใหม่ก็ประดังเข้ามาซ้ำเติมนาง มู่เจียอีรับศพของบิดามารดามาทำพิธี
นี้คงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่นางพบเจอพี่สาว นางช่างสูงส่งใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ แม้แววตาจะเศร้าหมองก็ตาม ข้างกายของนางมีเว่ยอ๋องที่สง่างามเคียงข้างจนเป็นที่อิจฉา
ตอนที่นางอยู่ชายแดนได้ยินเรื่องที่เว่ยอ๋องสาบานในวันงานมงคล ว่าในตำหนักของเขาจะมีเพียงพระชายาเพียงผู้เดียวเท่านั้น มู่เจียอีไม่คิดเลยว่าจะเป็นพี่สาวของนางไปได้
“พี่หญิง ท่านหักห้ามใจเสียเถิด ทางการกำลังเร่งตามจับตัวคนร้ายมาลงโทษ ท่านอ๋องรับปากเรื่องนี้แล้ว ท่านอย่าได้เศร้าใจจนป่วยไข้ได้เล่า” มู่เฟยหย่าเดินเข้ามาเอ่ยพูดกับนาง
“หึ พี่หญิงเช่นนั้นรึ ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณพระชายามากเพคะ” แววตาของมู่เจียอีที่มองมู่เฟยหย่ามีแต่ความว่างเปล่า
นางจะพูดสิ่งใดได้ หากพูดความจริงออกไป คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดคงต้องตาย
เว่ยอ๋องมองจ้องมาที่นางตาไม่กะพริบ แต่มู่เจียอีไม่สนใจว่าเขาจะคิดเช่นไร อาจจะไม่พอใจที่นางเอ่ยพูดกับพระชายาของเขาเช่นนี้ก็ได้
ตลอดพิธีเคารพศพของตระกูลมู่ มู่เจียอีไม่ได้เดินทางกลับจวนโห่วเลยสักวัน หวงเต๋อฟานจึงให้พ่อบ้านจวนโห่วมาคอยช่วยเหลืองานนาง
หลังจากพิธีศพเสร็จสิ้น มู่เจียอีขออยู่ที่จวนตระกูลมู่ต่ออีกวัน นางกลับไปที่เรือนหลังเก่าของนาง เพื่อระลึกความหลัง พอทานมื้อเย็นเสร็จนางก็หลับสนิทไปในทันที
“ตื่นได้แล้วมู่เจียอี” เจียอีที่เห็นเหตุการณ์ร้องเรียกนางจากจิตใต้สำนึก แต่คนบนเตียงที่กำลังถูกเปลื้องผ้าก็ไม่ได้รู้ตัวสักนิด
เจียอีตกใจกับสิ่งที่เธอได้เห็น เมื่อร่างของหวงหมิงชุนกำลังสั่งการให้บ่าวพาตัวพ่อบ้านจวนโหว่ที่ร่างกายเปลือยเปล่าเช่นกันมาวางไว้ข้างนาง
“พระเจ้า นางเลี้ยงเจ้ามานะไอเด็กบ้า” เจียอีโมโหสุดขีด ที่คนวางแผนการเป็นหวงหมิงชุน
แต่แล้วนางก็ต้องตกใจมากกว่าเดิมเมื่อมู่เฟยหย่าเดินเข้ามาในห้อง แล้วหยุดอยู่ข้างเตียงของมู่เจียอี
“น้องสาวข้า หากไม่มีเจ้าสักคนชีวิตข้าคงดีกว่านี้ ข้าไม่เคยอยากเกิดมามีคนใบหน้าเหมือนข้าสองคน อย่าได้โทษข้าเลย โทษตัวเจ้าเองเถิดที่หัวอ่อนยอมข้าไปเสียทุกเรื่อง” มู่เฟยหย่าสั่งให้สาวใช้ปลุกมู่เจียอีให้ได้สติขึ้นมา
เจียอีที่เห็นเหตุการณ์กระทำอันเลวร้ายของสองแม่ลูกก็ได้แต่เจ็บแค้นแทนมู่เจียอี นางเจ็บที่หน้าอกจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ก็ไม่อาจจะช่วยเหลือสิ่งใดได้
มู่เจียอีที่รู้สึกตัวแล้ว นางก็ไม่อาจจะขยับเขยื้อนได้ ยิ่งเห็นมู่เฟยหย่าอยู่ภายในห้อง และพ่อบ้านที่นอนอยู่ข้างนาง นางก็ยิ่งหวาดกลัว
“พี่หญิงนี้มันเรื่องอะไรกัน”
“จะเรื่องอันใด ก็เห็นอยู่ว่าเจ้าลักลอบร่วมรักกับพ่อบ้าน น้องพี่เจ้าเก็บความปรารถนาไว้ไม่ได้เลยรึ ศพของท่านพ่อท่านแม่ลงหลุมยังมิทันเย็นเลย” มู่เฟยหย่ายิ้มเยาะออกมา
“ข้าไม่ได้ทำ ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าทำสิ่งใดผิดต่อท่าน” นางกรีดร้องออกมาเท่าที่เสียงของนางจะมี
“ข้าทำผิดต่อท่านที่ใด ถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้” มู่เจียอีเอ่ยถามพี่สาวทั้งน้ำตา
“มันเป็นเพราะเจ้าทุกเรื่อง ทุกคนล้วนแต่รัก สนใจเพียงแค่เจ้า แล้วข้าเล่า ข้าได้รับความรักจากผู้ใด” มู่เฟยหย่าดวงตาแดงก่ำจ้องหน้าน้องสาวฝาแฝดที่เหมือนกับนางแทบจะทุกอย่าง
“เป็นข้า…ที่ยอมลงให้ท่านตลอด” เจียอีเอ่ยเสียงสั่นอย่างปวดใจ ไม่คิดว่าพี่สาวจะคิดกับนางเช่นนี้
“หึ มันไม่พอ ไม่พอ!!! ข้าไม่ต้องการความหวังดีของเจ้า ข้าต้องการมันจากเขาผู้นั้น”
เจียอีไม่เข้าใจในสิ่งที่เฟยหย่านางพูด แต่พอนางจะเอ่ยถาม เสียงของหวงหมิงชุนก็เอ่ยเร่งมารดาของเขาให้รีบออกมา
ตามมาด้วยเสียงฝีเท้ามากมายที่เข้ามาเห็นร่างเปลือยเปล่าของเจียอีนอนอยู่บนเตียงกับพ่อบ้านที่สลบไม่ได้สติ หลังจากนั้นนางกับพ่อบ้านถูกพาตัวไปขังไว้ที่คุกศาลต้าเยี่ยน
โทษของมู่เจียอีมีมากเกินกว่าที่ใครจะเอ่ยขอร้องแทนนางได้ คบชู้ก็ว่าเลวร้ายแล้ว แต่นางร่วมรักในจวนตระกูลมู่ที่เพิ่งจะฝังร่างของบิดามารดาไป
ยิ่งทำให้ถูกชาวบ้านสาปแช่งก่นด่าตามหลังนาง มู่เฟยหย่าแสร้งร้องไห้คร่ำครวญขอให้ลดโทษให้นางอยู่ที่หน้าตำหนักอ๋อง
เมื่อมู่เจียอีรู้เรื่องก็ได้แต่ยิ้มเยาะออกมา การแสดงครั้งนี้ของมู่เฟยหย่าคงได้รับคำชื่นชมไปไม่น้อย ผิดกับตัวนางที่ถูกบันทึกว่าเป็นหญิงชั่วช้าของแคว้น
“สวรรค์ ท่านช่างโหดร้ายกับข้ายิ่งนัก ด่านเคราะห์ครั้งนี้ข้าเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก หากภพหน้ามีจริงขออย่าให้ข้าตกเป็นเหยื่อของพวกเขาอีกเลย” นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ส่องแสงลอดห้องขังเข้ามา
เจียอีได้แต่สงสารในชะตาชีวิตของนาง นางร่วมเจ็บปวดไปกับมู่เจียอีด้วย ราวกับว่านางเองเป็นผู้ถูกกระทำ
วันตัดสินโทษเว่ยอ๋องเดินทางมาพร้อมกับมู่เฟยหย่าเพื่อดูการลงโทษ หวงเต๋อฟานและหวงหมิงชุนก็มาด้วยเช่นกัน
มู่เจียอี ถูกมัดด้วยโซ่ตรวน ท่ามกลางเสียงด่าทอของชาวบ้านนางไม่ได้ฟังสิ่งใดเลย นอกจากสายตาที่มองหวงเต๋อฟานกับหวงหมิงชุน สามีและบุตรเลี้ยงของนาง
แววตาของทั้งคู่ที่มองมามีแต่ความเกลียดชัง ว่างเปล่า จนนางอดสะท้านในอกไม่ได้
“ข้าไม่ได้ทำ”
หวงหมิงชุนเม้มปากแน่น เขารู้เรื่องนี้แก่ใจดี พอได้เห็นผู้ที่เลี้ยงดูเขามาอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
หวงเต๋อฟานเบือนหน้าหนีไม่อาจทนดูได้ จะบอกว่าไม่เคยรู้สึกกับนางเลยตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันก็ดูจะไม่ใช่
“ลงโทษได้” เว่ยอ๋องร้องบอกเจ้าหน้าที่
มู่เจียอีหันไปมองหน้าพี่สาวของนางเป็นครั้งสุดท้าย นางยิ้มออกมาเช่นตอนที่นางเคยยิ้มให้มู่เฟยหย่า ยามที่นางได้ของเหลือจากพี่สาว เพื่อบอกว่าตัวนางไม่เป็นอันใด
รอยยิ้มของนางทำให้เว่ยอ๋องตกตะลึง ยิ่งดวงตาที่เคยหมองหม่นยามนี้กับเปล่งประกายราวกับดวงดาวมันท้องฟ้า
“ช้าก่อน...” คำสั่งที่เขาร้องตะโกนออกมามิได้เร็วไปกว่าม้าทั้งห้าตัวที่พันธนาการร่างของมู่เจียอีอยู่
ร่างกายของนางถูกแยกออกเป็นห้าส่วน โดยการดึงรั้งของม้าที่วิ่งไปคนละทิศทาง เจียอีเธอกรีดร้องออกมาเช่นกัน เมื่อรับรู้ได้ถึงบทลงโทษ เธอเจ็บปวดจนหมดสติไป เสียงสุดท้ายของเว่ยอ๋องตัวเธอก็ไม่ได้ยินว่าเขาพูดเช่นไร
“เฮือกกกก” เจียอีเด้งตัวขึ้นมาจากที่นอน
ทั่วทั้งตัวของเธอมีแต่เหงื่อที่ไหลราวกับเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ ด้านข้างมีป้าตงที่มองมาทางเธออย่างเป็นห่วง
“คุณหนู คุณหนูของป้า ตื่นขึ้นมาเสียที ป้าตกใจหมดเลยค่ะ” ป้าตงพุ่งเข้ามาสวมกอดเจียอีไว้
“เกิดอะไรขึ้นคะ หนูนอนไปนานเลยเหรอ” เธอถามออกมาอย่างมึนงง
“จะเย็นเที่ยงแล้วค่ะ ป้าจะเรียกรถพยาบาลอยู่แล้ว หากคุณหนูยังไม่ตื่นมา”
“หนูไม่เป็นอะไร ขอไปอาบน้ำก่อนค่ะ” เจียอียังหวาดกลัวความฝันไม่หาย
เธอนั่งแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำ พลางคิดเรื่องความฝันไปด้วย “เหมือนจริงเลย” เธออดที่จะขนลุกไม่ได้ มันเหมือนไม่ใช่ความฝัน แต่เหมือนว่าเธอได้ไปเป็นมู่เจียอีมาจริงๆ
เว่ยอ๋องที่เห็นว่านางยังดื้อรั้นจึงได้จุมพิตนางอีกครั้ง เพื่อเตือนนางว่าอย่าได้ขัดใจเขา “โอ๊ยย” นางร้องออกมาเบาๆ เมื่อเขาขบริมฝีปากที่ปิดแน่นของนาง“เจ้าดื้อกับเปิ่นหวางเอง อีอี” เขาตะโบมจุมพิตนางอย่างดุดัน ทั้งยังจับยึดตัวของนางไว้ให้ดิ้นรนถอยหนี“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเปิ่นหวางตามหาเจ้าตลอด”“ยะ อย่า” นางเอ่ยขอร้องเสียงสั่น เมื่อฝ่ามือร้อนของเขาปลดเชือกที่รัดเอวของนางออก“ขออภัย” เขาซุกหน้าลงกับซอกคอของนาง เพื่อปรับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านให้สงบลง แต่กลิ่นกายของนางก็ราวกับเป็นกำหนัดชั้นดี ยิ่งสูดดมเขายิ่งอยากจะรังแกนางเสียในคืนนี้เลย“ท่านอ๋อง” เจียอีเอ่ยเรียกเสียงเบา เมื่อรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เริ่มถี่ขึ้นของเขา“อีอี เจ้าทรมานเปิ่นหวาง” เขาดูดเม้มที่ติ่งหูของนาง“เป็นท่านเองที่ทำตัวเอง กลับไปได้แล้ว” นางดันตัวเขาที่คร่อมทับนางอยู่ออก เพราะดูเหมือนส่วนล่างของเขาจะพร้อมรบเสียแล้ว“ช่วยเปิ่นหวางได้หรือไม่” เขามองนางอย่างอ้อนวอน“ไปหอคณิกาเลย” นางเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา“ไม่เอา ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว” เขาจับมือน้อยๆ ของนางอย่างแฝงไปด้วยความหมาย“ไม่ได้ ไม่เอา” นางดึงมือกลับ แต่กลับถูกเขาดึงฉ
มื้อเย็นเจียอีนางก็ยังมิได้ออกไปทานที่เรือนหลัก นางยังคงทานที่เรือนของตนเองเช่นเดิม“ข้าต้องกินอีกแล้วรึ” นางมองถ้วยยาน้ำสีดำที่ทั้งเหม็นทั้งขม จากมือของเสี่ยวถิงที่ยื่นมาตรงปากของนาง“กินเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูจะให้แข็งแรงเร็วๆ” เสี่ยวถิงจ่อไปให้ถึงปากของนาง เหลือเพียงแค่บีบปากแล้วกรอกยาลงไปเจียอีจำต้องรีบกลืนลงคอไปให้เร็วที่สุด แต่อย่างไรนางก็เกือบจะอ้วกออกมาอยู่ดี “พรุ่งนี้ข้าไม่กินแล้ว เจ้าไม่ต้องต้มมาแล้ว” นางรีบดื่มน้ำตามลงไปหลายจอกทันทีเสี่ยวถิงยังคงดูแลจนเจียอีเข้านอน พอเจียอีนางหลับสนิท นางก็ถอยกลับไปนอนที่เรือนพักบ่าวที่อยู่ด้านหลังเว่ยอ๋องที่มาถึงห้องเจียอี ก็เห็นว่านางหลับไปแล้ว ครั้งนี้เขาไม่คิดจะปลุกนาง แต่กลับขึ้นไปซุกตัวเข้าผ้าห่มนอนลงข้างกายของนางแทน“อื้อออ” เจียอีซุกตัวเข้าหาไออุ่น เมื่อนางหันหลังหนีไม่ยอมพลิกมาทางเขา เขาจึงแย่งผ้าห่มของนางไปเสียหมด เพื่อให้นางหันมาทางเขา“หึ เป็นเจ้าเองนะที่กอดเปิ่นหวาง” เขาดึงตัวเจียอีมาสวมกอดไว้แน่น แล้วเอ่ยออกมาอย่างหน้าหนาองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกได้ยินคำพูดของผู้เป็นนายก็แทบจะร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ “สวรรค์ ท
ระหว่างทางที่นางเดินกลับ ก็พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งที่รีบร้อนเดินมาทางนาง พอเขาเข้ามาใกล้นางจึงเห็นใบหน้าของเขาได้ถนัด จะเป็นผู้ใดไปได้เล่าถ้าไม่ใช่ หวงเต๋อฟาน“หยุด!!! ท่านเข้ามาด้านในได้อย่างไร” เจียอียกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาเดินเข้ามาใกล้นาง“คุณหนูรอง หย่าหย่าเล่า เห็นนางหรือไม่ นางบอกให้ข้ามาพบที่ศาลาริมน้ำ”“เช่นนั้นท่านเข้าไปรอนางก่อนแล้วกัน ข้าขอตัว” เจียอีรีบหมุนตัวกลับไปทางเรือนพักของนางให้เร็วที่สุด ด้วยกลัวว่าหากมีคนมาพบเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันในยามนี้จะเข้าใจผิดคิดว่านางลอบนัดพบกับว่าที่พี่เขยของตนเองแต่เหมือนสวรรค์จะส่งบททดสอบแรกมาให้นาง เมื่อเสียงฝีเท้าของจำนวนคนไม่น้อยกำลังมุ่งหน้ามาทางที่ทั้งสองยืนอยู่“กะ อุ๊บ” เจียอีนางยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมาก็ถูกมือตะครุบปิดปากนางไว้เสียก่อนตัวของนางลอยขึ้นจากพื้นทะยานไปต้นไม้แล้วต้นไม้เล่า จนมาหยุดอยู่ที่เรือนพักของนางหวงเต๋อฟานยืนนิ่งอึ้งด้วยคนตกใจ หากเขามองไม่ผิด บุรุษที่มาพาตัวคุณหนูรองมู่ออกไป ต้องเป็นเว่ยอ๋องอย่างแน่นอน“ไหน อีอี นางอยู่ที่ใด” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับเดินเข้ามาทางหวงเต๋อฟาน แล้วมองสำรวจรอบๆ บร
เว่ยอ๋องรู้สึกว่ามีคนจ้องมองมาทางเขา เขาจึงหันไปมองก็พบว่าเป็นมู่เฟยหย่า พอเห็นว่าเป็นนางเขาก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันที“บุตรสาวรองเจ้ากรมมู่เป็นฝาแฝดรึ” เขาหันไปเอ่ยถามขันทีข้างกาย“พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูมู่เฟยหย่าแฝดคนพี่ กำลังเอ่ยเรื่องหมั้นหมายกับคุณชายหวง ส่วนคนน้องคุณหนูมู่เจียอี บ่าวยังมิได้ข่าวเรื่องงานดูตัวของนางพ่ะย่ะค่ะ”“มู่เจียอี งั้นรึ” เว่ยอ๋องยกยิ้มที่มุมปาก แต่รอยยิ้มเช่นนี้ขันทีข้างกายได้แต่ขนลุกไปทั้งตัว ยิ้มเช่นนี้ทีไรมีเรื่องทุกทีมู่เฟยหย่าเห็นขันทีมองมาทางนางแล้วกระซิบบอกกล่าวเว่ยอ๋อง ยิ่งเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของเขา นางก็เขินอายขึ้นมาทันที คงสนใจตัวนางเช่นบุรุษอื่นเป็นแน่เจียอีที่กลับมาถึงจวน เสี่ยวถิงก็รีบร้อนไปหาน้ำร้อนมาประคบให้นางทันที พอกลับมาถึงเรือน นางก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ จึงได้เห็นรอยแดงบนหน้าผากจากคันฉ่องว่ามันบวมแดงแค่ไหน“นี่ขนาดกระจกเหลืองขนาดนี้ ยังเห็นรอยแดงชัด ถ้ากระจกใสจะเป็นเช่นใดเนี่ย” นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างมีโทสะ ก่อนจะทิ้งกระจกในมือลงบนที่นอนเสี่ยวถิงประคบร้อนให้นางอยู่นานกว่ารอยบวมจะยุบลง บิดามารดา และมู่เฟยหย่าที่กลับมาจากงานเลี้ยงก็รีบมา
สวีซื่อกับรองเจ้ากรมมู่เอ่ยถามเจียอีอีกสองสามประโยค เมื่อเห็นว่านางไม่เป็นอันใดแล้วจึงได้วางใจลง“รู้ตัวว่าเป็นไข้ เหตุใดยังมาอีก” มู่เฟยหย่าเอ่ยถามเจียอีขึ้นมา นางมองที่กำไลข้อมือทั้งสองข้างและปิ่นปักผมอย่างไม่พอใจนัก“ข้าบอกท่านแม่แล้ว ข้าก็ไม่ได้อยากจะมาเสียหน่อย” นางบ่นเสียงเบา ก่อนจะหันไปสนใจของว่างที่อยู่ตรงหน้าแทน หากได้มองหน้ามู่เฟยหย่าต่อ นางอาจจะเผลอโต้ตอบออกไปก็ได้“เว่ยอ๋องเสด็จ” เสียงขันทีประกาศเสียงดัง เพื่อให้ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพ ตะเกียบในมือของเจียอีกชะงักค้าง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วถอยไปอยู่ด้านหลังของมู่เฟยหย่า เพื่อไม่ให้เขาเห็นนางนางมองสังเกตว่ามู่เฟยหย่าจะมีอาการเช่นไร และก็เป็นอย่างที่นางคิด เมื่อดวงตาของมู่เฟยหย่าจับจ้องสนใจอยู่ที่ตัวของเว่ยอ๋องจนเขาเดินไปถึงที่นั่งนางได้เห็นทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งด้วย จึงได้ก้มหน้าลงเช่นเดิม แล้วลอบยิ้มในใจ ผู้ใดที่เห็นพี่สาวนางแล้วจะไม่ตกหลุมรักบ้างเล่า คงไม่มีแน่เชื้อพระวงศ์ ทั้งหมดเข้ามาภายในงานเลี้ยงแล้ว เสียงดนตรี และอาหารเริ่มทยอยเข้ามาด้านใน เจียอีได้แต่ก้มหน้าลงสนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้าของนาง หรือเงยหน้าขึ้นมามองการแสดงเป
เจียอีถูกพาไปที่ตำหนักวังหลัง ระหว่างทางเดินมีคนเดินสวนไปมาไม่น้อย เจียอีที่มัวแต่มองความงามของวังหลวงก็บังเอิญชนเข้ากับคนผู้หญิง“โอ๊ยยย” นางเซหงายหลังเกือบที่จะล้มไปกองกับพื้น แต่ถูกคว้าโอบรอบเอวไว้ก่อนที่จึงมิได้ล้มลงไป“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันมอง” นางรีบขอโทษ พร้อมทั้งดันตัวเขาออกมา“เดินเยี่ยงไร ถึงมิได้ดูทาง” เจียอีเงยหน้าขึ้นไปมองบุรุษที่ตำหนินางเสียงเย็น“เห้ยยย” นางตกใจถอยหลังหนี ด้วยรีบร้อนเกินไปจึงได้ล้มไปกองกับพื้นทันที“อย่างไรกัน คุณหนูจวนใดถึงได้ไร้มารยาทเช่นนี้”เจียอีถูกนางกำนัลพยุงลุกขึ้น นางรีบไปแอบอยู่ด้านหลังของนางกำนัลทันที ความกลัวพุ่งสูงจนเหงื่อซึมออกมาตามใบหน้าและแผ่นหลัง ใบหน้าของนางซีดขาวจนนางกำนัลต้องเข้าไปประคองนางไว้“ขออภัยอีกรอบเพคะ” นางก้มหน้านิ่งไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาสบสายตาของเขา“ท่านอ๋องเพคะ พระองค์กำลังทำให้คุณหนูมู่หวาดกลัวอยู่เพคะ” จางมามา นางกำนัลข้างกายของไทเฮาเอ่ยบอกเว่ยอ๋องที่กำลังจ้องมองเจียอีอยู่“เหอะ เปิ่นหวางเป็นปีศาจหรืออย่างไร ถึงได้หวาดกลัวเสียจะเป็นลมเช่นนี้”“หะ หามิได้เพคะ” เจียอีเอ่ยเสียงสั่นออกมาเช่นนี้แล้วผู้ใดจะเชื่อว่านา