เซี่ยซางเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูตำหนักไท่หัว ก็เห็นเจียงเฟิ่งหัวยืนอยู่บนทางเดินไม่ไกลออกไปแสงสุริยาตกต้องพวงแก้มอันงดงามของนาง ดวงตาทั้งคู่ของนางราวประกายด้วยความเปรมปรีดิ์ นางทั้งสงบเรียบร้อยและสง่างาม แม้กำลังตั้งครรภ์ก็ไม่สูญเสียความงามไปแม้แต่น้อยนิด ในรอยยิ้มของนางคล้ายแฝงด้วยแรงดึงดูดที่ยากจะอธิบายไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด เจียงเฟิ่งหัวล้วนสามารถรักษาความอ่อนโยนและสง่างามไว้ได้ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า บุตรสาวที่สกุลบัณฑิตอบรมสั่งสอนออกมาเดิมก็ควรเป็นเช่นนี้ในเสี้ยววินาทีที่เซี่ยซางได้เห็นนาง อารมณ์ของเขาก็ราวกับสว่างไสวขึ้นมาทันที ทันใดนั้นก็เติมเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต มุมปากของเขายกขึ้นเป็นความเบิกบานอันไร้สิ้นสุด เก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดภายในดวงใจไว้ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “หรวนหร่วน”เขาโอบนางไว้ในอ้อมกอด ทิ้งความคิดที่ว่าตนเป็นเพียงเครื่องมือในการผลิตทายาทเพื่อสืบทอดราชวงศ์ไปชั่วขณะ เขาเสพสุขกับความสุขสงบในห้วงเวลานี้หรวนหร่วนทั้งสามารถให้กำเนิดทายาทแก่เขา และยังเป็นที่ชมชอบของเขา เช่นนี้ก็สมบูรณ์แบบยิ่งเจียงเฟิ่งหัวสัมผัสได้ว่าเซี่ยซางอารมณ์ไม่ดี นางยิ้มบางๆ แล้วผลักเ
ฮ่องเต้ก็ชี้แนะเขาว่า “ได้ยินว่าเสด็จแม่ของเจ้าเตรียมจะรับชายารองสองสามนางเข้าจวนให้เจ้า แต่เจ้ากลับปฏิเสธแล้ว”“ตอนนี้ลูกมีเรื่องต้องศึกษามากมาย จะยังมีเวลาไปสนใจชายารองอะไรอีกได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างที่จวนของลูกก็มีสตรีตั้งหลายนางแล้ว หากมีมากเกินไปก็ไม่กะจิตกะใจจะไปรับมือกับพวกนางจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยซางกล่าว“เจ้าไม่มีกะจิตกะใจจะไปรับมือ หรือคิดจะรับมือแค่พระชายารัชทายาทกันล่ะ! การใช้ความรู้สึกจัดการเรื่องราวถือเป็นข้อห้ามร้ายแรงของราชวงศ์” ฮ่องเต้กล่าวอย่างตรงไปตรงมา“ในเมื่อนางมาเป็นสะใภ้ของราชวงศ์ ก็ควรรู้ถึงกฎธรรมเนียมของราชวงศ์ ควรเป็นฝ่ายออกตัวเลือกชายารับอนุให้เจ้า เพื่อสืบทอดทายาทราชวงศ์ เราเชื่อว่าพระชายารัชทายาทเป็นคนฉลาด ไม่ต้องให้ผู้ใดไปเตือน นางก็จะทำเช่นนั้น”เซี่ยซางกล่าวว่า “ตอนนี้พระชายารัชทายาทกำลังตั้งครรภ์อยู่ ที่ลูกรับเย่ซู่ซู่เข้าจวนก็รู้สึกว่าผิดต่อนางแล้ว ตอนนี้ก็จะทำผิดต่อนางอีก ลูกไม่อาจทำเรื่อง…เช่นนั้นกับสตรีนางอื่นได้พ่ะย่ะค่ะ”“ตอนนั้นที่เจ้าจะแต่งบุตรสาวสกุลซูเป็นพระชายา ก็นับว่าโวยวายจนเป็นเรื่องเอิกเกริกใหญ่โตอยู่หลายรอบ ตอนนั้นเจ้าว่าอย่า
ซึ่งก็หมายความว่า ฮ่องเต้ทรงไว้ใจหัวหน้าขันทีเฉาและผู้บัญชาการซาง ในอนาคต เมื่อเซี่ยซางเข้าวังก็จะมีคนของตัวเองกลุ่มหนึ่งไว้ให้เขาใช้งานเช่นกันเซี่ยซางกล่าวว่า “อันที่จริง พวกเราต่างก็มิใช่รู้คำตอบแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ยังจำเป็นต้องให้เขาสารภาพสิ่งใดอีกเล่า? และต่อให้เขาสารภาพออกมาว่าเป็นสกุลซูที่แอบวางสายลับไว้ในวัง เสด็จพ่อก็คงไม่นำตัวเขาไปเผชิญหน้ากับคนสกุลซูอยู่ดี อีกทั้งตอนนี้พวกเราก็ยังแตะต้องสกุลซูไม่ได้ด้วย”“อันที่จริง เรื่องที่เศรษฐีหวังต้องการปรักปรำราชครูเจียงนั้นไม่สามารถทนต่อการตรวจสอบได้ พ่อค้าผู้หนึ่งจะวางแผนละเอียดเพียงนี้มาให้ร้ายขุนนางราชสำนักได้อย่างไร เสด็จพ่อก็แค่ทรงต้องการให้บัณฑิตในใต้หล้าได้ยิน เพื่อมอบผลลัพธ์ให้พวกเขาเท่านั้นเอง”และที่เหล่าบัณฑิตสนใจก็มีแค่ผลลัพธ์เท่านั้น เพียงเท่านี้ก็พอแล้วส่วนเรื่องความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับเจียงหวยจะมีผู้ใดมาจัดการ มิได้อยู่ในการพิจารณาของฮ่องเต้อยู่แล้ววันนี้เจียงหวยชะตาแข็ง เป็นเพราะเขาโชคดีฮ่องเต้หรี่ตาลง “เจ้าพูดต่อไปสิ”“สกุลซูกุมอำนาจทางทหารจำนวนมากไว้ในมือมานานหลายสิบปีแล้ว นับตั้งแต่เสด็จปู่ยังทรงมีพระชน
ในเวลาเดียวกัน ฮ่องเต้ก็ใช้ข้ออ้างว่ายังมีเรื่องต้องจัดการ มอบหมายการทดสอบเหล่าบัณฑิตให้ท่านราชครูพานรับผิดชอบ ส่วนเขาก็กลับห้องทรงอักษรไปก่อนแล้วเมื่อยืนอยู่ที่นี่ ฮ่องเต้ก็รู้สึกไม่สบายตัวขึ้นมา รู้สึกเพียงว่ามีดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองเขา เขากล่าวด้วยสุรเสียงเย็นชาว่า “เฉาเต๋อ”“บ่าวอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีเฉารู้ว่าฮ่องเต้จะบันดาลโทสะแล้ว“คนอยู่ที่ไหน?” ฮ่องเต้ถามอย่างเย็นชา“ทูลฝ่าบาท ท่านผู้บัญชาการซางได้คุมขังคุณชายพันหน้าไว้อย่างลับๆ แล้วพ่ะย่ะค่ะ พร้อมรับพระบัญชาจากฝ่าบาทตลอดเวลาพ่ะย่ะค่ะ”“ลับๆ? ตอนนี้เรายังเหลือความลับใดอีกหรือ? เจ้าเป็นถึงหัวหน้าขันที คนในวังมีใจทรยศขายข่าวเจ้ากลับไม่รู้ แล้วเราเลี้ยงเจ้าไว้จะยังมีประโยชน์ใดอีก” ฮ่องเต้พิโรธยิ่งเฉาเต๋อหวาดหวั่นจนคุกเข่าลงกับพื้น “ฝ่าบาทโปรดทรงระงับโทสะ อย่าทรงพิโรธจนเสียสุขภาพเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ บ่าวทราบความผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ บัดนี้บ่าวสืบได้ความแล้วว่าผู้ที่ติดต่อกับแม่ทัพซูมีนามว่าอู๋ฉางโซ่ว และได้ให้คนควบคุมตัวไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ บ่าวถามออกมาแล้วว่าที่แท้เขาเป็นคนที่เคยปรนนิบัติคังชินอ๋องมาก่อน นับตั้งแต่ค
“เรื่องที่แม่คิดจะรับคนให้ซางเอ๋อร์ หรวนหร่วนก็อย่าได้คิดมากไปเลย เจ้าก็รู้ว่าบุรุษล้วนจิตใจโลเล ปีก่อนเขายังไม่ใช่ซูถิงหว่านไม่ยอมแต่ง แล้วต่อมาเป็นเช่นใดเล่า ยังมิใช่รักใคร่จนตัวห่างกันมิได้กับหรวนหร่วนเจ้าหรือ ยามนี้ผ่านไปหนึ่งปีเขาก็ไปถูกใจสตรีสามัญชนนางหนึ่งแล้วรับนางเป็นเหลียงเชี่ยอีก ในอนาคตเมื่อเข้าวังแล้ว ก็ยังจะต้องรับชายารองอีกสองสามนาง”น้ำเสียงของเฉิงฮองเฮาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนสนิทสนมขึ้นมา “แม่เห็นเจ้าเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ จริงๆ ตอนนี้ในท้องเจ้ามีเด็กอยู่ เจ้าก็ครองความได้เปรียบ ในจุดนี้ถือว่าเจ้าชนะไปแล้ว”“โดยเฉพาะในอนาคตเรื่องที่สตรีนางใดจะสามารถเข้าสู่จวนได้ หากพวกนางมีนายหญิงของจวนเป็นผู้รับเข้าจวนด้วยตนเอง พวกนางก็ย่อมจดจำความดีของเจ้า แต่หากเป็นผู้ชายไปเกาะแกะแล้วรับตัวเข้ามา พวกนางก็จะหยิ่งยโส ไม่เห็นนายหญิงของจวนอยู่ในสายตา”“มีพวกที่ชอบยั่วยวนบางคนยังจะครองความโปรดปรานไว้คนเดียวอีก ดังนั้นหรวนหร่วนเอ๋ย ที่แม่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าล้วนเป็นการคิดเพื่อเจ้าทั้งนั้น”“เจ้าดูซูถิงหว่านสิ เป็นซางเอ๋อร์ชอบนางเองใช่ไหมล่ะ แล้วนางเคยเคารพเจ้าผู้เป็นนายหญิงของจวนอย่างแท้
อีกด้านหนึ่ง เจียงเฟิ่งหัวไปยังตำหนักคุนหนิงเพื่อคารวะฮองเฮาอีกครั้งเมื่อฮองเฮาเห็นนางเข้าวังก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน “เหตุใดหรวนหร่วนจึงเข้าวังมาเล่า?”“ลูกเข้าวังมากับองค์รัชทายาทเพคะ คิดจะมาลองชุดที่ใช้ในพิธีสถาปนาเสียหน่อย ตอนเช้าสนทนาเป็นเพื่อนเสด็จพ่ออยู่ครู่หนึ่ง แต่พวกเขามีราชกิจต้องทำ ลูกจึงคิดมาคารวะเสด็จแม่แทนเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวไม่แน่ใจว่าฮองเฮารู้เรื่องที่เกินขึ้นในตำหนักหน้าหรือไม่ แต่ดูจากการแสดงออกของฮองเฮา นางคล้ายจะไม่อยากรู้เรื่องราชสำนักเท่าใดนัก“ควรมาลองสักหน่อยจริงๆ” จากนั้นนางก็หันไปกล่าวกับสี่หมัวมัวว่า “ไปเรียกนางข้าหลวงโจวของกองภูษามา บอกว่าพระชายารัชทายาทเข้าวังมาแล้ว ถามพวกนางว่าชุดพิธีการทำไปถึงไหนแล้ว ให้เอามาลองที่ตำหนักคุนหนิงสักหน่อย”“ไม่ต้องรบกวนนางข้าหลวงโจวแล้ว อีกครู่ลูกจะไปลองสวมเองเพคะ อันที่จริงนางข้าหลวงโจวก็มักไปวัดขนาดที่จวนอ๋องเป็นประจำเพคะ” เจียงเฟิ่งหัวกล่าว “เป็นเพราะลูกมิได้พบเสด็จแม่มานานแล้ว จึงอยากมาสนทนากับเสด็จแม่เพคะ”เฉิงฮองเฮาก็มิได้ฝืนใจ นางไล่ข้ารับใช้ในตำหนักออกไปจากนั้นก็จับมือนางมากุมไว้อย่างสนิทสนม “สุดท้ายซางเอ๋อร์