จื่อจ้ง "ท่านอ๋องจัดการคนผู้นี้เรียบร้อยแล้วเอาอย่างไรต่อดีพ่ะย่ะค่ะ"
นัยน์ตาคมลดมองร่างไร้วิญญาณของชายฉกรรจ์สวมเครื่องแต่งกายมิดชิด ซ้ำใบหน้ายังบดบังด้วยหน้ากากสีทะมึน มุมปากของเขาเหยียดยิ้มน้อย ๆ "ข้าจัดการต่อเอง ส่วนเจ้าจับตามองตู้เหยียนเฟิงอย่าได้คลาดสายตา หากข้าไม่เรียกไม่ต้องปรากฏกาย"
"พ่ะย่ะค่ะ" จื่อจ้งค้อมศีรษะรับคำพลันกระโจนหายไปในความอนธการ
ใต้ฮ่าวเฉินทอดสายตามองภาพบุรุษและสตรีเบื้องหน้าซึ่งนั่งพะเน้าพะนอด้วยความหงุดหงิด ยามนี้เขาไม่อาจเปิดเผยตัวตนจำต้องกล้ำกลืนความหึงหวงจนหน้ามืดเพื่อกระทำตามแผนอย่างจนใจ
สายลมพัดเอื่อย ๆ ท่ามกลางป่ามืดครึ้ม กองเพลิงถูกสุมขึ้นเพื่อมอบความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย กระนั้นฉงเสว่ปิงกลับยังนั่งสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บ
ตู้เหยียนเฟิงปลดผ้าคลุมไหล่พลางยื่นมือเป็นวงกว้างเฉกเช่นกำลังโอบร่างบอบบางอยู่ในอ้อมแขน ฉงเสว่ปิงสะดุ้งโหยง ทว่าเมื่อลดสายตามองว่าอีกฝ่ายกำลังคลุมผ้าผืนหนาให้ตน เรียวปากสีกุหลาบจึงคลี่ยิ้มละไม
"ขอบพระคุณท่านพี่เหยียนเฟิง" ยามที่นางได้ใกล้ชิดตู้เหยียนเฟิง ควา
ฉงเสว่ปิงได้ไปเยี่ยมมารดาของตนแล้ว ทว่าสิ่งที่นางเห็นกลับทำให้เข่าแทบทรุด เฉิงเหยากลายเป็นคนเสียสติพูดจาไม่รู้ความ หนำซ้ำตู้เหยียนเฟิงมักให้เวลานางอยู่กับทั้งสองแทบจะนับได้ว่าชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น อีกทั้งช่วงดึกเขามักเอ่ยเสมอว่าอย่าได้ออกมาเพ่นพ่านนอกตำหนัก ราชกิจรัดตัวอยู่ทุกค่ำคืน"มู่หลิน ข้าเบื่อ คืนนี้เจ้าไปเอาสุรามา" ฉงเสว่ปิงทอดถอนใจเส้นผมนุ่มสลวยปล่อยสยายลงกลางหลัง เดิมทียามนี้ต้องเข้านอนแล้วแท้ ๆ ทว่านางไม่อาจข่มตาให้หลับได้จริง ๆ"องค์หญิงแต่นี่ดึกมากแล้วนะเพคะ"จู่ ๆ ฉงเสว่ปิงก็นึกบางอย่างขึ้นได้ "เอ่อ...ถ้างั้น เจ้านอนก่อนข้าเลย" มือเรียวหยิบเสื้อคลุมตัวหนาขึ้นสวมทับมู่หลินมองตามด้วยความฉงน "องค์หญิงจะไปที่ใดเพคะ"ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มซุกซน "ไปร่ำสุราอย่างไรเล่า ในเมื่อเจ้าร่ำสุรากับข้าไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะไปหาสหายสักหน่อย"มู่หลินกะพริบเปลือกตาปริบ "เอ่อ...องค์หญิง ท่านมีสหายที่ใดกันเจ้าคะ"ฉงเสว่ปิงแต่งกายไปพิศมองความเรียบร้อยผ่านคันช่องบานใหญ่ไป "มีสิ ข้าว่าองครักษ์เซวียนหลิ่วไม
ทั้งสองออกมาจากด้านในแล้ว ดวงตาคมกริบภายใต้หน้ากากหนาชำเลืองมองฝ่ามือที่โอบประคองไหล่บอบบางก็ยิ่งหัวเสีย เขาลอบค่อนขอดในใจพี่ชายจริงหรือ แนบชิดดุจนางเดินเองไม่ได้ ไยไม่อุ้มเสียเลยเล่า หึ…ตู้เหยียนเฟิง "ปิงเอ๋อร์ คืนนี้ข้ามีเรื่องต้องไปสะสาง ไว้เรียบร้อยแล้วข้าจะรีบกลับ เจ้าอยู่กับเซวียนหลิ่วไปพลาง ๆ ก่อนแล้วกัน"ฉงเสว่ปิงพยักหน้าหงึกหงัก "เพคะ"ไต้ฮ่าวเฉินแค่นยิ้มเรื่องที่ต้องสะสางของเจ้า คงไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดกระมังตู้เหยียนเฟิงเหลียวมองบุรุษร่างสูงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "ดูแลปิงเอ๋อร์ให้ดี ดึกดื่นอย่าได้ให้นางออกมาตากน้ำค้างเล่า"ไต้ฮ่าวเฉินจึงปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ จากนั้นค้อมศีรษะลงเล็กน้อย..ราตรีกาลนี้ช่างให้ความรู้สึกหมองมัวเฉกเช่นสีของผืนนภา แม้นมีดวงดาวโอบล้อมเคียงจันทร์เป็นทิวทัศน์แสนงดงาม กระนั้นกลับมิอาจช่วยคลายความร้อนใจได้สักกระผีกริ้น ฉงเสว่ปิงทอดสายตามองออกไปนอกบานหน้าต่างอย่างเหม่อลอย จิตใจของนางห่อเหี่ยวไร้ทิศทาง ทว่าท่ามกลางความอนธการเบื้องหน้านี้ยังมีสายตาของใครบางคนเฝ้ามองน
บรรยากาศแสนคุ้นเคยสะท้อนเข้าดวงตา ยามนี้ฉงเสว่ปิงอดรนทนไม่ไหว นางเร่งฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปยังห้องบรรทมของผู้เป็นบิดา ทว่าเมื่อเท้าก้าวเข้าไปเพียงหนึ่งฝั่งนางถึงกับต้องชะงักงัน ฝ่ามือเล็กเย็นเยียบ ลมหายใจติดขัดหนักหน่วงฉงเสว่ปิงแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงขนาบข้าง เขาส่งยิ้มละไมให้กับนาง พลางยกมือนุ่มนิ่มขึ้นมากอบกุมราวต้องการปลอบประโลม ส่วนผู้ที่ยืนด้านหลังทำได้เพียงกลอกดวงตาขมวดคิ้ว นัยน์ตาคมเขม้นมองสองมือที่จับกันไว้อย่างเหนียวแน่นด้วยความรู้สึกขัดใจยิ่งเขาอยากเดินเข้าไปแล้วดึงร่างบอบบางปลิวถลาออกมาเสียจริงเชียว"ท่านพี่เหยียนเฟิง เหตุใดห้องของเสด็จพ่อจึงอึมครึมเช่นนี้เล่า" ขาเรียวค่อย ๆ เยื้องย่างเข้ามาภายในด้วยหัวใจไหวระทึกฉงเสว่ปิงแหงนมองโดยรอบทุกอย่างล้วนดูแปลกตาไม่น่าอภิรมย์ หน้าต่างสักบานก็ยังไม่แง้มออก ซ้ำยังมีหมอกควันปกคลุมเต็มไปหมดตู้เหยียนเฟิง "แพทย์หลวงบอกว่าไม่อาจให้เสด็จพ่อต้องแดดต้องลมได้""จริงหรือ ดู ๆ ไปแล้วหากไม่ระบายอากาศเสียหน่อย เสด็จพ่ออาจอึดอัดและหายช้ากว่าปกตินะเพคะ" คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม
จื่อจ้ง "ท่านอ๋องจัดการคนผู้นี้เรียบร้อยแล้วเอาอย่างไรต่อดีพ่ะย่ะค่ะ"นัยน์ตาคมลดมองร่างไร้วิญญาณของชายฉกรรจ์สวมเครื่องแต่งกายมิดชิด ซ้ำใบหน้ายังบดบังด้วยหน้ากากสีทะมึน มุมปากของเขาเหยียดยิ้มน้อย ๆ "ข้าจัดการต่อเอง ส่วนเจ้าจับตามองตู้เหยียนเฟิงอย่าได้คลาดสายตา หากข้าไม่เรียกไม่ต้องปรากฏกาย""พ่ะย่ะค่ะ" จื่อจ้งค้อมศีรษะรับคำพลันกระโจนหายไปในความอนธการใต้ฮ่าวเฉินทอดสายตามองภาพบุรุษและสตรีเบื้องหน้าซึ่งนั่งพะเน้าพะนอด้วยความหงุดหงิดยามนี้เขาไม่อาจเปิดเผยตัวตนจำต้องกล้ำกลืนความหึงหวงจนหน้ามืดเพื่อกระทำตามแผนอย่างจนใจสายลมพัดเอื่อย ๆ ท่ามกลางป่ามืดครึ้ม กองเพลิงถูกสุมขึ้นเพื่อมอบความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย กระนั้นฉงเสว่ปิงกลับยังนั่งสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บตู้เหยียนเฟิงปลดผ้าคลุมไหล่พลางยื่นมือเป็นวงกว้างเฉกเช่นกำลังโอบร่างบอบบางอยู่ในอ้อมแขน ฉงเสว่ปิงสะดุ้งโหยง ทว่าเมื่อลดสายตามองว่าอีกฝ่ายกำลังคลุมผ้าผืนหนาให้ตน เรียวปากสีกุหลาบจึงคลี่ยิ้มละไม"ขอบพระคุณท่านพี่เหยียนเฟิง" ยามที่นางได้ใกล้ชิดตู้เหยียนเฟิง ควา
ฉงเสว่ปิงยังคงติดแหง็กอยู่ที่ตำหนักชินอ๋องเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ทว่านางกลับป่วนตำหนักเขาเสียจนนับว่าทุกอย่างแทบวอดวาย บ้างเข้าครัวทำอาหารรสประหลาดส่งให้เขา ซ้ำยังพยายามกลั่นแกล้งวางกับดักจากมดไปทั่วสารทิศ อีกทั้งยังทำลายข้าวของมีค่าแตกยับไม่เหลือชิ้นดี นับได้ว่าบรรดาทหารและนางกำนัลที่ดูแลตำหนัก ต่างวิ่งวุ่นอลหม่านกันอย่างถ้วนทั่ว ทว่าไต้ฮ่าวเฉินกลับยังใจเย็นประดุจหุบเขาน้ำแข็งทั้งลูกเขาไม่ไล่ตะเพิดนางกลับแคว้นสุ่ยเหอ หนำซ้ำยังยิ้มร่ายียวนคอยส่งเสริมให้นางกระทำตามใจเสียด้วย"มู่หลิน เมื่อไหร่ข้าจะได้กลับแคว้นสุ่ยเหอเสียที ข้าคร้านจะก่อกวนเขาแล้ว" ฉงเสว่ปิงถอนหายใจ นัยน์ตาทอดมองริมน้ำเบื้องหน้าด้วยจิตใจห่อเหี่ยว เรียวมือขว้างหินก้อนเล็กเพื่อระบายโทสะอย่างเนือย ๆ"องค์หญิง หากฝ่าบาทยังไม่มีรับสั่งก็มิอาจกลับได้นะเพคะ""แต่ก่อนนั้นท่านพี่เหยียนเฟิงส่งสาส์นมาแล้ว ทว่าไม่มีผู้ใดตอบรับ ซ้ำซินอี๋ยังเอามาล่อลวงข้า ถ้างั้นข้าจะลอบส่งสาส์นไปหาท่านพี่เหยียนเฟิงอีกครา ให้เขามารับข้าเองเจ้าว่าดีหรือไม่"มู่หลินเบิกตากว้าง "องค์หญิงไม่ได้นะเพ
ดูเหมือนชินอ๋องไปสะสางเรื่องของซินอี๋ที่กระทำกับนางคืนที่ผ่านมา เดิมทีซินอี๋ต้องเป็นสนมของไต้ฮ่าวเฉิน ทว่ายามนี้กลับถูกลงทัณฑ์พร้อมกับบิดาซึ่งเป็นขุนนางยศใหญ่ เพราะลักลอบฉ้อราษฎร์บังหลวง บุตรสาวยังกระทำเรื่องเสื่อมเสียให้กับแคว้น ตระกูลซินจึงถูกริบทรัพย์ และโดนเนรเทศไปใช้แรงงานยังชายแดนทุรกันดารแต่แล้วอย่างไร ถึงแม้ไม่มีซินอี๋ เขาก็ยังสามารถมีสนมนางอื่นได้ ต่อให้ยามนี้เขาแสร้งทำดีกับนางเพียงใด นางก็ไม่มีวันหวนกลับไปยังหลุมพรางที่เขาขุดล่อเอาไว้เด็ดขาด"ท่านอ๋องกลับมาแล้วเพคะ" มู่หลินผู้เดินรายงานสถานการณ์ทั้งวันจนเท้าแทบขึ้นสะเก็ดไฟวิ่งหน้าตั้งเข้ามาฉงเสว่ปิงแสร้งสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับตื่นตระหนกร้อนรน "มาแล้วก็เรื่องของเขา เกี่ยวอะไรกับข้า""วันนี้องค์หญิงให้ข้าจับตาดูว่าท่านอ๋องกลับมาหรือยังมิใช่หรือเพคะ"นางกระแอมเสียงแผ่ว "ชู่ว...เบา ๆ เดี๋ยวเขาได้ยิน""เพคะ" มู่หลินหน้าเจื่อนเอ่ยกระซิบฉงเสว่ปิงกวักมือยิก ๆ มู่หลินจึงยื่นหูให้นาง "ขนมที่ข้าบอกเล่า เอาไปให้เขาหรือยัง""เรียบร้อยแล้วเพคะ"ริมฝีปากบางฉีกยิ้มเริงร่า นางอ