ทว่ายามนี้ช่างกระหายหิวนัก ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืน นางลอบมองตะเกียบของเขาที่คีบอาหารอย่างละเล็กละน้อยในทุก ๆ จาน ฉงเสว่ปิงเก็บรายละเอียดไม่คลาดสายตา นางจึงแน่ใจแล้วว่าอาหารบนโต๊ะไร้ซึ่งยาพิษ
นัยน์ตากลมโตค่อย ๆ เหลียวมองสีหน้าการกินด้วยความเอร็ดอร่อยของเขา จากนั้นจึงหยิบตะเกียบขึ้นเนิบนาบ
เอาเถิดเสว่ปิง ไว้คิดหาหนทางอีกที กองทัพต้องเดินด้วยท้องมิใช่หรือ
ปลายตะเกียบถูกคีบลงบนเนื้อปลาสีขาวช้า ๆ ภายในใจพยายามท่องเพียงคำว่า อย่าเห็นข้า ๆ ทำราวกับฝ่ายตรงข้ามตามืดบอด ฉงเสว่ปิงไม่กล้ากระทั่งหายใจแรง ปลายนิ้วเรียวพยายามใช้ตะเกียบยกชิ้นปลาอย่างระมัดระวัง พลันส่งเข้าปากฉับ แววตาหวาดระแวงเมื่อครู่แปรเปลี่ยนดั่งผืนฟ้าพลิกกลับ
นางไม่กล้าสบตาหรือมองหน้าเขา จึงไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังสังเกตทุกอิริยาบถของตนด้วยความขบขัน ตะเกียบในมือชายหนุ่มถูกวางลงตั้งแต่ที่นางหยิบส่วนของตนขึ้นมา จากนั้นจึงจิบน้ำชาไปพลาง เหลือบมองท่วงท่ายามละเลียดชิมอาหารทีละจานราวแมวน้อยหิวโซของนางไปพลาง เขาพยายามทบทวนและไตร่ตรองท่าทางน่าเอ็นดูเช่นนี้อย่างนึกเคลือบแคลง
ไ
เสด็จพ่อนะเสด็จพ่อ ท่านช่างรังแกธิดาของตนสนุกเชียว หากท่านทราบว่าชาติปางก่อนธิดาของท่านต้องตายด้วยเงื้อมมือของเขา ท่านจะยังเขียนสาส์นเช่นนี้หรือไม่ปึง!ฉงเสว่ปิงกระแทกสาส์นเสียงดัง ใบหน้างามหงิกงอพลางเบี่ยงกายหลบคนด้านหลัง จากนั้นเดินปั้นปึ่งไปยืนอีกด้านของโต๊ะ แขนเล็กกอดอกแน่น ดวงตากลมโตเขม้นมองบุรุษร่างสูงฝั่งตรงข้ามด้วยความถือดี"ท่านอ๋อง ในเมื่อท่านพ่ออนุญาตให้ข้าอยู่กับท่านเช่นนั้นเรามาเจรจากันเถิด"ไต้ฮ่าวเฉินเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย "ได้ องค์หญิงต้องการเจรจาเช่นใดเล่า มิสู้ไปเที่ยวเล่นด้านนอก จิบน้ำชาอุ่น ๆ ให้สบายใจแล้วค่อยพูดคุยดีหรือไม่"ฉงเสว่ปิงส่ายศีรษะ ขึงสายตามองด้วยความมาดมั่น "ไม่ ท่านต้องคุยกับข้าให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้""ย่อมได้" ไต้ฮ่าวเฉินโบกมือหนึ่งคราจื่อจ้งจึงหมุนกายตั้งท่าจากไป ทว่าเสียงเล็กกลับตัดบทขึ้นเสียก่อน"เดี๋ยว!"จื่อจ้งหยุดฝีเท้าลงฉับ เดิมทีเขาฟังเพียงคำสั่งของไต้ฮ่าวเฉินเท่านั้น นัยน์ตาคมเหลือบมองผู้เป็นนาย อีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
ไต้ฮ่าวเฉินยืนขึ้นเต็มความสูง เขาวางฝ่ามือลงบนโต๊ะผะแผ่ว แล้วจึงยื่นหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายเช่นกัน นัยน์ตาคมกริบจดจ้องเข้าไปยังดวงตากระจ่างใสราวไข่มุกยามราตรี ทว่าดวงตางดงามคู่นี้กลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายอาฆาตแค้น นางทำราวกับเขาเคยเข่นฆ่าตนเองแต่ชาติปางก่อน"องค์หญิงไยจึงบอกว่าข้าให้ท่านเป็นเพียงชายารอง ใช้ตาวิเศษมองอีกแล้วรึ ข้าหรือจะหยามเกียรติสตรีผู้สูงศักดิ์เช่นท่าน งั้นหากข้ารับปากไม่แต่งตั้งสนม และองค์หญิงจะเป็นชายาเดียวของข้า อย่างนี้แล้วท่านยินดีรับหมั้นหรือไม่"ฉงเสว่ปิงหน้ากระตุก บุรุษปากมันลิ้นลื่น อย่าหมายเอ่ยวาจาตลบตะแลงเลย นางไม่มีวันคล้อยตามคำพูดของเขาเป็นอันขาด เมื่อกลับถึงแคว้นไต้เจีย เขายังคงมีสนมอีกมากโข ซ้ำร้ายสนมซินยังเป็นพวกริษยา นางไม่อยากไปตบตีแย่งชิงบุรุษกับผู้ใดแล้ว"ฮ่าวเฉิน ท่านพูดไม่เข้าใจรึ ข้าไม่รักท่าน และไม่มีวันแต่งงานกับท่าน อีกอย่างข้ามีคนรักอยู่แล้ว""มีคนรัก...เช่นนั้นก็หมายความว่ายังไม่ใช่สามี"ฉงเสว่ปิงหลุกหลิก ไต้ฮ่าวเฉินสอบสวนพวกผู้ร้ายปากแข็งมาตั้งเท่าใดมีหรือเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกุเรื่องเพื่อลวงหลอกเขา นางเช
อาชาตัวใหญ่ตระหง่านถูกจูงมายังเบื้องหน้ากระโจม ฉงเสว่ปิงเหลือบซ้ายแลขวาแล้วจึงเอ่ยถามบุรุษข้างกาย "ไยมีม้าตัวเดียว""ตัวเดียวก็พอแล้ว เป็นสตรีต้องควบม้าเองด้วยหรือ" ไต้ฮ่าวเฉินลอยหน้าตอบ"รถม้าไม่มีรึ ข้าไม่ขี่ม้าตัวเดียวกับท่าน""องค์หญิง เกรงความลำบากหรอกหรือ ขี่ม้ากับข้าสบายกว่านั่งรถม้าเป็นไหน ๆ" ร่างสูงค้อมลง ใบหน้าหล่อเหลายียวนกวนอารมณ์ฉงเสว่ปิงสาวเท้าไปเบื้องหลัง ทว่าเอวของนางกลับตึงวืด"เหวอ..."ร่างบอบบางเซถลาซบอกแกร่ง ไต้ฮ่าวเฉินยกตัวของนางขึ้นพาดนั่งเบื้องหน้า จากนั้นจึงกระโดดขึ้นหลังม้าตาม พลางกระชับบังเหียนคร่อมกายอีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตากลมโตค้างเติ่ง นางไม่ทันตั้งตัวก็ถูกจับโยนขึ้นด้านบนโดยง่ายดาย"จื่อจ้ง ฝากดูแลทางนี้ด้วย""พ่ะย่ะค่ะ"อาชาศึกห้อทะยานปานสายฟ้ากระแสหนึ่ง ลมเย็น ๆ ตีแสกหน้าเสียจนองคาพยพแทบหลุดหาย ด้วยเหตุฉะนี้เองสติของนางจึงถูกเรียกกลับ"นะ...นี่ ท่านอ๋อง ไยต้องบังคับขู่เข็ญข้า อีกอย่างควบม้าเร็วเพียงนี้หากข้าหล่นลงไปบาดเจ็บท่านรับผิด
"ท่านอยากลงทัณฑ์ข้าก็ลงมือเถิด ไยต้องทรมานกันถึงเพียงนี้" สุ้มเสียงที่เคยสดใสสั่นเครือแหบพร่า ฉงเสว่ปิงพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นและเสียงครวญครางซึ่งจุกอยู่ในลำคอไม่ให้เล็ดลอดออกมา อาภรณ์งดงามถูกฉีกทึ้งขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี แท่งทวนขนาดใหญ่เปียกชื้นกระทั้นเข้าออกในโพรงบุปผาอย่างไม่ปรานีซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือหยาบกร้านดึงรั้งแขนเล็กไพล่หลัง ร่างกำยำโน้มลงแนบชิดกายขาวเนียนดุจหยกเนื้อดี บุรุษผู้ควบคุมแรงปรารถนาเบื้องบนเปล่งเสียงกระเส่าระคนดุดัน "เจ้าเป็นชายารองของข้า ทว่าแอบคบชู้สู่ชาย ก่อนข้าส่งเจ้าไปลงปรโลก ข้ายังใจดีมอบความสุขครั้งสุดท้ายให้ ยังไม่คิดขอบคุณอีกหรือ" ใบหน้างามซับสีแดงระเรื่อเบี่ยงมองด้านข้าง ฟันเรียงสวยขบแน่นจนกายสั่นระริก "ชินอ๋อง ข้าไม่เคยต้องการสักนิด อีกอย่างลีลาของท่านนั้นมันไม่ได้เรื่อง! ข้าหรือจะมีความสุข หากใคร่อยากนักควรไปลงกับสนมของท่าน ในเมื่อเชื่อในคำพูดของนางแต่ไม่รับฟังข้า ก็รีบส่งข้าไปปรโลกเถอะ คนอำมหิต!" ไต้ฮ่าวเฉินกัดฟันกรอด ยิ่งได้ยินวาจาประชดประชันความโกรธเกรี้ยวก็ยิ่งปะทุเป็นทบทวีคูณ เขาเพิ่มแรงกระแทกบดอัดอาวุธร้ายของบุรุษเข้าไปอย่างดุดันเสียจนอีกฝ่ายร้อง
ฉงเสว่ปิงถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง จะพิสูจน์ความจริงว่าตนยังไม่เกินเลยกับบุรุษแปลกหน้าก็ทำไม่ได้ ในเมื่อแต้มพรหมจรรย์ของนางมลายหายไปตั้งแต่วันแรกที่เข้าหอกับชินอ๋องแล้วนี่อย่างไร หนำซ้ำชายผู้นี้ยังปากแข็งเสียด้วย ดูเหมือนคงพร้อมสละชีพแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าสนมซินทำอย่างไรจึงสามารถยืมดาบฆ่าคนได้เฉียบขาดเพียงนี้ "เอาล่ะท่านอ๋อง ข้าเบื่อหน่ายเต็มทน หากครั้งนี้ข้ายังไม่ตายข้าจะไม่ยอมแพ้อีกต่อไป ท่านเอาสุราพิษมาเถิด" ฉงเสว่ปิงกล่าวเนิบนาบ ท่าทางของนางไม่อนาทรร้อนใจ สีหน้าเรียบเฉยเช่นนี้ส่งผลให้คนมองรู้สึกกรุ่นโกรธยิ่งนัก นางทำราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อยก็เท่านั้น คิ้วเข้มขมวดฉับ ไต้ฮ่าวเฉินกัดฟันกรอด ฝ่ามือกว้างคว้าหมับบริเวณข้อมือเล็ก เขากระชากกายของนางลอยหวือติดมือ จากนั้นจึงยกร่างบอบบางขึ้นพาดบ่าด้วยความกราดเกรี้ยว"อ๊ะ!...ท่านอ๋อง ปล่อยหม่อมฉัน" "อยู่นิ่ง ๆ ก่อนข้าจะหมดความอดทนกับเจ้า!" ทว่าฉงเสว่ปิงไม่เกรงกลัวเขา ถึงอย่างไรอีกไม่กี่ชั่วยามนางก็ต้องได้รับเหล้าพิษตายอีกหนอยู่ดี เพียงแต่ครานี้นางจะไม่ยินยอมให้เขาข่มเหงรังแกเช่นสองครั้งที่ผ่านมาแล้ว "ปล่อยข้า ท่านเอาสุราพิษมา!" เพียะ!ฉงเสว่
"องค์หญิง องค์หญิงเพคะ" อีกแล้วหรือ เสียงผู้ใดกัน ครานี้เรียกข้าองค์หญิงรึแพขนตางอนไหวระริก เปลือกตาบางขยับแผ่ว ดวงตากลมโตเปิดปรือเชื่องช้า ดูเหมือนครานี้นางไม่รู้สึกตื่นเต้นใดแล้ว ปรโลกไม่ต้องการ สวรรค์กลั่นแกล้ง หรือการจบชีวิตโดยวิธีกรอกสุราไม่อาจทำให้นางตายได้จริง ๆ กันเล่า"องค์หญิง ตื่นบรรทมเถิดเพคะ" ฉงเสว่ปิงผินหน้ามองอีกฝ่าย ดวงตากลมโตกะพริบขึ้นลงปริบ ๆ "มู่หลิน เจ้าเองหรือ" "หม่อมฉันเองเพคะ ตะวันทอแสงแล้วฝ่าบาทและพระชายารอองค์หญิงที่ห้องเสวยแล้วเพคะ" ฉงเสว่ปิงเลิกคิ้ว พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ดวงตากลมโตเป็นทุนเดิมเบิกกว้างตื่นตะลึง "นะ...นี่..." "นี่อะไรหรือเพคะ" มู่หลินกะพริบตางุนงง ฉงเสว่ปิงหันหน้าขวับ "มู่หลิน ข้าแต่งงานหรือยัง!" "องค์หญิง ท่านยังไม่ได้อภิเษกนะเพคะ ถึงจะมีสัญญาหมั้นหมายกับชินอ๋อง แต่ว่ากำหนดวันอภิเษกคืออีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเพคะ" ฉงเสว่ปิงฉีกยิ้มลิงโลด "หนึ่งเดือนข้างหน้า มู่หลินบอกข้าทีว่าตอนนี้ข้าอยู่ในตำหนักปิงสุ่ย" มู่หลินพยักหน้าหงึกหงัก "เพคะ ยามนี้องค์หญิงอยู่ตำหนักปิงสุ่ยแคว้นสุ่ยเหอขององค์หญิงและฝ่าบาทเพคะ" ฉงเสว่ปิงลุกพรวด ร่างบอบบางกระ
ฉงเสว่ปิงแหงนมองบิดา นางผละกายจากร่างสูงใหญ่ แล้วจึงสาวเท้าไปเบื้องหน้าเฉิงเหยา เอ่ยเสียงอ้อมแอ้มพลางทำสีหน้าออดอ้อน "เสด็จแม่เพคะ ท่านรักข้าหรือไม่""ปิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดหรือ มีเรื่องไม่สบายใจใด" ผู้เป็นมารดาเอื้อมมือขึ้นลูบศีรษะบุตรธิดาด้วยความห่วงใย"ท่านตอบข้าก่อน""หากพ่อแม่ไม่รักลูกจะให้ไปรักผู้ใดงั้นหรือเด็กโง่"จากสีหน้าแย้มยิ้ม จู่ ๆ ก็มีน้ำตาพรั่งพรูออกมา เฉิงเหยาตื่นตระหนก ฉงเสว่ปิงรัดกายมารดาแน่นยิ่งขึ้น "เสด็จแม่ ฮึก...ฮือ...ข้าไม่อยากแต่งงานกับชินอ๋องเพคะ"ฉงเจิ่งหมินและเฉิงเหยาตัวแข็งทื่อ จากนั้นจึงเรียกสติกลับ ฝ่ามือยังคงลูบศีรษะคนในอ้อมกอดเนิบช้า"ทำไมเล่า ก่อนหน้าเจ้าก็มิได้ขัดอะไร อีกอย่างหากเจ้าไม่แต่งงานออกไปรู้หรือไม่จะเกิดเรื่องราวใหญ่โตเพียงไหน"ฉงเสว่ปิงพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ นางพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจึงผละจากอ้อมแขนมารดา "แล้วถ้าหากลูกแต่งออกไป จากนั้นมีคนทำร้ายลูกจนถึงแก่ชีวิต เสด็จแม่และเสด็จพ่อจะทำอย่างไรเพคะ"ทั้งสองตกใจเบิกตากว้าง ฉงเจิ่งหมินโพล่ง "ปิงเอ๋อร์ เจ้าเอ่ยวาจาอัปมงคลใด หากเป็นเช่นนั้นจริงพ่อหรือจะนิ่งดูดาย""ฮึก!..." ฉงเสว่ปิงสะอึกหนึ่งครา
"ท่านพี่เหยียนเฟิง" ฉงเสว่ปิงลุกพรึบจากแววตาเศร้าสร้อยแปรผันเป็นยิ้มร่าดีอกดีใจ ร่างบอบบางถลันเข้าหาบุรุษตัวสูงทันควัน เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาส่งยิ้มอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ฝ่ามือหยาบกร้านจากการกรำศึกง้างธนูยกขึ้นยีศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา"เด็กดื้อ เจ้ากำลังสร้างความลำบากใดให้เสด็จพ่อเสด็จแม่กันเล่า"ฉงเสว่ปิงนิ่วหน้า "ข้าเปล่าเสียหน่อย"ตู้เหยียนเฟิงส่ายหน้าพลางอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู"ปิงเอ๋อร์ วิ่งกระโดกกระเดกเช่นนี้ได้อย่างไร โตเป็นสาวแล้ว ไยจึงเกาะแขนเกาะขาพี่เขาอย่างนั้นเล่า" เฉิงเหยาตำหนิเสียงแผ่ว"เสด็จแม่อย่าต่อว่านางเลยพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีนางกับข้าเราก็สนิทสนมกันตั้งแต่เยาว์" ตู้เหยียนเฟิงกล่าว"ได้อย่างไร เจ้าเองก็เป็นบุรุษ ควรออกเรือนมีชายาและองค์หญิงองค์ชายน้อยให้แม่กับเสด็จพ่ออุ้มได้แล้ว"ตู้เหยียนเฟิงค้อมศีรษะ "เสด็จแม่ ช่วงนี้แถบชายแดนยังไม่สงบ เรื่องนี้กระหม่อมยังไม่เร่งร้อนพ่ะย่ะค่ะ"ผู้เป็นดั่งบิดามารดาแห่งแคว้นสุ่ยเหอต่างระบายลมหายใจอ่อน เสียงทุ้มเอ่ย "เอาเถิด พวกเจ้าสองพี่
อาชาตัวใหญ่ตระหง่านถูกจูงมายังเบื้องหน้ากระโจม ฉงเสว่ปิงเหลือบซ้ายแลขวาแล้วจึงเอ่ยถามบุรุษข้างกาย "ไยมีม้าตัวเดียว""ตัวเดียวก็พอแล้ว เป็นสตรีต้องควบม้าเองด้วยหรือ" ไต้ฮ่าวเฉินลอยหน้าตอบ"รถม้าไม่มีรึ ข้าไม่ขี่ม้าตัวเดียวกับท่าน""องค์หญิง เกรงความลำบากหรอกหรือ ขี่ม้ากับข้าสบายกว่านั่งรถม้าเป็นไหน ๆ" ร่างสูงค้อมลง ใบหน้าหล่อเหลายียวนกวนอารมณ์ฉงเสว่ปิงสาวเท้าไปเบื้องหลัง ทว่าเอวของนางกลับตึงวืด"เหวอ..."ร่างบอบบางเซถลาซบอกแกร่ง ไต้ฮ่าวเฉินยกตัวของนางขึ้นพาดนั่งเบื้องหน้า จากนั้นจึงกระโดดขึ้นหลังม้าตาม พลางกระชับบังเหียนคร่อมกายอีกฝ่ายเอาไว้ ดวงตากลมโตค้างเติ่ง นางไม่ทันตั้งตัวก็ถูกจับโยนขึ้นด้านบนโดยง่ายดาย"จื่อจ้ง ฝากดูแลทางนี้ด้วย""พ่ะย่ะค่ะ"อาชาศึกห้อทะยานปานสายฟ้ากระแสหนึ่ง ลมเย็น ๆ ตีแสกหน้าเสียจนองคาพยพแทบหลุดหาย ด้วยเหตุฉะนี้เองสติของนางจึงถูกเรียกกลับ"นะ...นี่ ท่านอ๋อง ไยต้องบังคับขู่เข็ญข้า อีกอย่างควบม้าเร็วเพียงนี้หากข้าหล่นลงไปบาดเจ็บท่านรับผิด
ไต้ฮ่าวเฉินยืนขึ้นเต็มความสูง เขาวางฝ่ามือลงบนโต๊ะผะแผ่ว แล้วจึงยื่นหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายเช่นกัน นัยน์ตาคมกริบจดจ้องเข้าไปยังดวงตากระจ่างใสราวไข่มุกยามราตรี ทว่าดวงตางดงามคู่นี้กลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายอาฆาตแค้น นางทำราวกับเขาเคยเข่นฆ่าตนเองแต่ชาติปางก่อน"องค์หญิงไยจึงบอกว่าข้าให้ท่านเป็นเพียงชายารอง ใช้ตาวิเศษมองอีกแล้วรึ ข้าหรือจะหยามเกียรติสตรีผู้สูงศักดิ์เช่นท่าน งั้นหากข้ารับปากไม่แต่งตั้งสนม และองค์หญิงจะเป็นชายาเดียวของข้า อย่างนี้แล้วท่านยินดีรับหมั้นหรือไม่"ฉงเสว่ปิงหน้ากระตุก บุรุษปากมันลิ้นลื่น อย่าหมายเอ่ยวาจาตลบตะแลงเลย นางไม่มีวันคล้อยตามคำพูดของเขาเป็นอันขาด เมื่อกลับถึงแคว้นไต้เจีย เขายังคงมีสนมอีกมากโข ซ้ำร้ายสนมซินยังเป็นพวกริษยา นางไม่อยากไปตบตีแย่งชิงบุรุษกับผู้ใดแล้ว"ฮ่าวเฉิน ท่านพูดไม่เข้าใจรึ ข้าไม่รักท่าน และไม่มีวันแต่งงานกับท่าน อีกอย่างข้ามีคนรักอยู่แล้ว""มีคนรัก...เช่นนั้นก็หมายความว่ายังไม่ใช่สามี"ฉงเสว่ปิงหลุกหลิก ไต้ฮ่าวเฉินสอบสวนพวกผู้ร้ายปากแข็งมาตั้งเท่าใดมีหรือเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกุเรื่องเพื่อลวงหลอกเขา นางเช
เสด็จพ่อนะเสด็จพ่อ ท่านช่างรังแกธิดาของตนสนุกเชียว หากท่านทราบว่าชาติปางก่อนธิดาของท่านต้องตายด้วยเงื้อมมือของเขา ท่านจะยังเขียนสาส์นเช่นนี้หรือไม่ปึง!ฉงเสว่ปิงกระแทกสาส์นเสียงดัง ใบหน้างามหงิกงอพลางเบี่ยงกายหลบคนด้านหลัง จากนั้นเดินปั้นปึ่งไปยืนอีกด้านของโต๊ะ แขนเล็กกอดอกแน่น ดวงตากลมโตเขม้นมองบุรุษร่างสูงฝั่งตรงข้ามด้วยความถือดี"ท่านอ๋อง ในเมื่อท่านพ่ออนุญาตให้ข้าอยู่กับท่านเช่นนั้นเรามาเจรจากันเถิด"ไต้ฮ่าวเฉินเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย "ได้ องค์หญิงต้องการเจรจาเช่นใดเล่า มิสู้ไปเที่ยวเล่นด้านนอก จิบน้ำชาอุ่น ๆ ให้สบายใจแล้วค่อยพูดคุยดีหรือไม่"ฉงเสว่ปิงส่ายศีรษะ ขึงสายตามองด้วยความมาดมั่น "ไม่ ท่านต้องคุยกับข้าให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้""ย่อมได้" ไต้ฮ่าวเฉินโบกมือหนึ่งคราจื่อจ้งจึงหมุนกายตั้งท่าจากไป ทว่าเสียงเล็กกลับตัดบทขึ้นเสียก่อน"เดี๋ยว!"จื่อจ้งหยุดฝีเท้าลงฉับ เดิมทีเขาฟังเพียงคำสั่งของไต้ฮ่าวเฉินเท่านั้น นัยน์ตาคมเหลือบมองผู้เป็นนาย อีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
ทว่ายามนี้ช่างกระหายหิวนัก ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืน นางลอบมองตะเกียบของเขาที่คีบอาหารอย่างละเล็กละน้อยในทุก ๆ จาน ฉงเสว่ปิงเก็บรายละเอียดไม่คลาดสายตา นางจึงแน่ใจแล้วว่าอาหารบนโต๊ะไร้ซึ่งยาพิษนัยน์ตากลมโตค่อย ๆ เหลียวมองสีหน้าการกินด้วยความเอร็ดอร่อยของเขา จากนั้นจึงหยิบตะเกียบขึ้นเนิบนาบเอาเถิดเสว่ปิง ไว้คิดหาหนทางอีกที กองทัพต้องเดินด้วยท้องมิใช่หรือปลายตะเกียบถูกคีบลงบนเนื้อปลาสีขาวช้า ๆ ภายในใจพยายามท่องเพียงคำว่า อย่าเห็นข้า ๆ ทำราวกับฝ่ายตรงข้ามตามืดบอด ฉงเสว่ปิงไม่กล้ากระทั่งหายใจแรง ปลายนิ้วเรียวพยายามใช้ตะเกียบยกชิ้นปลาอย่างระมัดระวัง พลันส่งเข้าปากฉับ แววตาหวาดระแวงเมื่อครู่แปรเปลี่ยนดั่งผืนฟ้าพลิกกลับนางไม่กล้าสบตาหรือมองหน้าเขา จึงไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังสังเกตทุกอิริยาบถของตนด้วยความขบขัน ตะเกียบในมือชายหนุ่มถูกวางลงตั้งแต่ที่นางหยิบส่วนของตนขึ้นมา จากนั้นจึงจิบน้ำชาไปพลาง เหลือบมองท่วงท่ายามละเลียดชิมอาหารทีละจานราวแมวน้อยหิวโซของนางไปพลาง เขาพยายามทบทวนและไตร่ตรองท่าทางน่าเอ็นดูเช่นนี้อย่างนึกเคลือบแคลงไ
"เสด็จพ่อ เป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ปิงเอ๋อร์อยู่ที่ใด" ตู้เหยียนเฟิงร้อนใจ เช้านี้ไม่พบฉงเสว่ปิงที่ตำหนักทว่ากลับมีม้าเร็วของชินอ๋องมาเยือนถึงที่ฉงเจิ่งหมินลดสาส์นในมือลง เขาเหลียวมองสีหน้าชายาซึ่งร้อนใจไม่ต่างกัน จากนั้นจึงถอนหายใจด้วยความปลดปลง "ปิงเอ๋อร์ช่างซุกซนนัก นางอยู่กับชินอ๋อง เกรงว่านางคงอยากเที่ยวเล่นนอกราชวัง จึงรั้งอยู่ด้านนอกสักสองสามวัน ไม่นานจะพาปิงเอ๋อร์กลับ""หา...เสด็จพ่อ ปิงเอ๋อร์เป็นสตรี จะอยู่กับบุรุษแปลกหน้าได้อย่างไร ข้าจะไปตามนางเอง" ตู้เหยียนเฟิงคำนับด้วยความรวดเร็ว พลันหมุนกายตั้งท่าเดินจากไปอย่างเร่งร้อน"เหยียนเฟิง ไม่ต้อง"ขาสูงยาวซึ่งตั้งท่าเดินจากไปชะงักค้างทันควัน คิ้วเข้มขมวดมุ่น ตู้เหยียนเฟิงหันกลับอีกครา "ทำไมเล่า ข้าเป็นห่วงนาง ไม่รู้ว่าชินอ๋องจะทำอันใดนางหรือไม่ ทั้งสองยังไม่ได้อภิเษกกันนะพ่ะย่ะค่ะ""นางอยากเล่นพิเรนทร์ก็ปล่อยให้ท่านอ๋องอบรมดูสักหน ดูซิจะยังอยากยกเลิกงานอภิเษกหรือไม่" ฉงเจิ่งหมินสะบัดแขนเสื้อสีเข้มปักดิ้นทองพรึบ พลันยอบกายลงนั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ฉงเสว่ปิงได้ย้อนกลับมาร่างเดิมของตนขณะที่ยังมิเคยผ่านมือชายใด ทว่ากลับจดจำรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้วยามทั้งสองร่วมอภิรมย์ได้เป็นอย่างดี ทั้งรอยกอด รอยจูบ ตอนฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้จะด้วยความอ่อนโยนก็ดี หรือยามหยาบโลนก็ช่าง ทุกการกระทำล้วนติดตรึงมิอาจแสร้งลืม กายของนางเริ่มสั่นระริกและหวาดกลัวขึ้นมาหน่อยเสียแล้ว"องค์หญิง คิดไปถึงไหนกัน" คิ้วเข้มเลิกขึ้นหยั่งเชิง เขาผินหน้ามองเบื้องหลัง เอ่ยต่อว่า "จื่อจ้ง พาผู้ติดตามองค์หญิงไปพักผ่อน อ้อ...อย่าลืมปลดเชือกให้นาง และดูแลอย่างดีเล่า""พ่ะย่ะค่ะ"ฉงเสว่ปิงพูดไม่ออกดั่งริมฝีปากถูกเย็บติดหนึบ กายของนางสั่นเทาไม่หยุด สีหน้าแตกตื่นมองตามมู่หลินซึ่งกำลังร้องไห้ขี้มูกโป่ง สายตาอีกฝ่ายเว้าวอน มู่หลินส่งสัญญาณด้วยการส่ายหน้าเป็นเชิงปรามให้นางอย่าคิดเล่นพิเรนทร์ใดอีก ทั้งที่ตัวเองย่ำแย่กว่าตนด้วยซ้ำลมหายใจถูกพ่นเพื่อรวบรวมสติ เสียงใสเอ่ยกะพร่องกะแพร่ง "อะ…เอาล่ะท่านอ๋อง ข้าขออภัยท่านที่คิดเล่นแผลง ๆ ท่านช่วยปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ สัญญาจะไม่กระโตกกระตาก"มุมปากของเขาเหยียดยิ้มน้อย ๆ "ไม่ดื้อแล้วหรือ"ฉงเสว่
มีดสั้นลดลงจากลำคอคนเบื้องล่าง จากสีหน้าตื่นตระหนกเมื่อครู่ แปรผันเป็นเจ้าเล่ห์แสนกล "เจ้าเป็นใคร เหตุใดใจกล้าลอบทำร้ายข้า"ฉงเสว่ปิงผินหน้ากลับ "ไม่รู้จักข้าหรือ อ้อ...ลืมไป ชาตินี้คงมีเพียงข้าที่รู้จักและรู้เช่นเห็นชาติบุรุษอย่างท่าน"ไต้ฮ่าวเฉินเลิกคิ้ว "หมายความว่าอย่างไร ชาตินี้?""ทำไมจับข้าได้แล้ว ไม่บั่นคอข้าอีกหนไปเลยเล่า น่าเสียดายที่ข้าไม่ตาย ทว่ายังหวนกลับมาใช้ชีวิตแสนบัดซบซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากข้าเลือกได้ข้าขอไม่รู้จักท่าน ฮ่าวเฉิน!"อีกฝ่ายต่อว่าเขาฉอด ๆ ไต้ฮ่าวเฉินงุนงง ทว่ายังคงปั้นหน้าเย็นชา "รนหาที่ตายนี่เอง"ร่างสูงยันกายขึ้นจากนั้นดึงแขนของนางให้ลุกตาม มืออีกด้านควานหาบางสิ่งด้านข้างเตียง เชือกเส้นหนาถูกสะบัดออกต่อมาก็ใช้พันกายอีกฝ่ายพลางผูกปมไว้แน่น"โอ๊ย! อ๋องบ้า นี่ท่านยังโรคจิตไม่เปลี่ยนเลยหรือ ข้าเจ็บ" ใบหน้างามเหยเกเป็นนางที่โง่เอง เดิมทีเขาฉลาดเป็นกรดมีหรือยานอนหลับเพียงเล็กน้อยจะทำอันใดเขาได้"หุบปาก เจ้าบุกรุกเข้ามาเอง จู่ ๆ ก็มาพูดจาเพ้อเจ้อเป็นน้ำตก ต้องการสิ่งใดกั
"องค์หญิง ออกมาดึกดื่นเช่นนี้อันตรายยิ่งนัก ข้าว่า..." มู่หลินหวาดกลัวเสียจนตัวสั่น เหลียวมองไปทางใดก็พบเพียงความอนธการ"ชู่ว...เจ้ากลัวไปไย วิชากระบี่ยิงธนูของข้าหาด้อยไปกว่าบุรุษ หากมีอันตรายข้าจะปกป้องเจ้าเอง" นิ้วเรียวยกขึ้นจรดริมฝีปากฉงเสว่ปิงลอบออกจากราชวังกลางดึก โดยอาศัยช่องสุนัขลอด หนำซ้ำยังลอบปลดม้าผู้อื่นโดยพลการจากโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ทว่านางมิใช่ขโมยขโจร ทุกอย่างทำไปล้วนมาจากความจำเป็น นางจึงวางก้อนทองคำไว้ให้เจ้าของเพื่อสำนึกผิดต่อมโนธรรมในจิตใจแล้ว ต่อมาจึงควบอาชาตัวสูงใหญ่พร้อมสาวใช้คนสนิทด้วยเครื่องแต่งกายบุรุษ อีกคนคุมบังเหียน อีกคนโอบกอดจากทางด้านหลัง มู่หลินหวาดกลัวเสียจนสีหน้าซีดขาวน้ำตาพานจะไหลอยู่รอมร่อหากเจ้าแคว้นทราบว่าธิดาของตนหนีออกจากวังศีรษะน้อย ๆ นี้คงไม่อาจรักษาได้แล้ว ไยองค์หญิงจึงซุกซนนัก พวกนางเดินทางมาได้สักพัก สายตาเฉียบแหลมก็ทันสังเกตเห็นกระโจมสีขาวตั้งอยู่ไกลลิบ คาดว่าคงเป็นขบวนของชินอ๋อง ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มไต้ฮ่าวเฉิน ข้าจะทำให้ท่านไม่ได้พักผ่อน หวาดกลัวจนวิ่งแจ้นกลับแคว้นไต้เจียไม่ทันเลยคอยดูร่าง
"ข้าไม่เห็นด้วย!" ฉงเจิ่งหมินโพล่งเสียงเข้ม"เสด็จพ่อ... แล้วท่านพี่เหยียนเฟิงไม่ดีอย่างไรเพคะ อีกอย่างเขาสามารถช่วยแบ่งเบาภาระให้ท่านได้ ไม่เหมือนชินอ๋องจอมร้ายกาจนั่น""เช่นนั้นพ่อถามสักคำ เจ้ารักเหยียนเฟิงหรือ""รักเพคะ" ฉงเสว่ปิงตอบอย่างหนักแน่น"รัก!? เจ้ารักแบบใด""ท่านพี่เหยียนเฟิงทั้งเก่ง หน้าตาหล่อเหลา เพียบพร้อมทุกอย่าง ข้ารักและเทิดทูนเขา" ฉงเสว่ปิงเอ่ยด้วยแววตาเปล่งประกาย"ปิงเอ๋อร์ เจ้านะเจ้า ไม่รู้ความสักนิด" ฉงเจิ่งหมินยกฝ่ามือคลึงขมับนางเพียงมีความรู้สึกรักและผูกพันธ์กับตู้เหยียนเฟิงเฉกเช่นพี่ชายกับน้องสาวทว่าการแต่งงานมิใช่เรื่องล้อเล่น เรื่องใหญ่โตเช่นนี้เขาจะปราบพยศธิดาผู้ดื้อรั้นของตนเช่นไรดี"เสด็จพ่อ เชื่อลูกสักครา การไม่อภิเษกกับชินอ๋องเป็นเรื่องดีที่สุด ท่านส่งสาส์นกลับไปยังแคว้นไต้เจียได้เลยเพคะ ว่าลูกมีคู่หมั้นแล้วไม่อาจตอบรับหนังสือสัญญาอภิเษกได้ จะชดเชยตามกฎมณเฑียร" ฉงเสว่ปิงเขย่ากายผู้เป็นบิดา ใบหน้างามเว้าวอนนางไม่อยากเอาชีวิตไปผู